
สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีเรื่องแปลกๆของทั้งคุณพ่อและของเรามาแชร์ (รูปถ่ายจริงวันนั้นว่าบรรยากาศครึ้มจริงง)
คุณพ่อเราเป็นคนบุรีรัมย์โดยกำเนิดก่อนจะมาลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวที่กรุงเทพและย้ายภูมิลำเนา แต่ที่ทางและบ้านที่โน่นก็ให้คุณลุงอาศัยอยู่ทำไร่ทำนากับป้าสะใภ้ เพราะพี่น้องทุกคนของพ่อมาทำมาหากินที่กรุงเทพหมดแล้ว แต่ยังสลับกลับไปเยี่ยมบ้านบ้างจากเมื่อก่อนทุกเทศกาลเพราะ ญาติพี่น้องของทั้งคุณปู่คุณย่ายังอยู่และรุ่นลูกของปู่ย่า(รุ่นพ่อ)สนิทกันมากแต่รุ่นเราเริ่มไม่รู้จักกันเพราะ พ่อแม่แต่ละคนก็แตกซ่านกระเซ็นไปทำมาหากิน กทม. ตปท. หรือจังหวัดอื่นบ้างกลับมาเจอกันช่วงเทศกาล แต่พอพี่น้องของปู่ย่าเริ่มทยอยเสียกันไป ถ้าไม่มีธุระพ่อก็ไม่ค่อยพากลับเท่าไร (ปู่ ย่า เราเสียก่อนพ่อจะแยกย้ายมาทำมาหากินที่ กทม.) แต่เราไม่เคยลืมบ้านพ่อนะชอบกว่าบ้านแม่อีกตอนเด็กๆไม่ค่อยอยากกลับเพราะไม่สะดวกสบายสำหรับเด็กที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพตั้งแต่เกิด แต่พอยิ่งโตยิ่งเหมือนถูกดึงดูดให้กลับไปเป็นจังหวัดที่เหมือนจะไม่มีอะไร แต่มันมีเสน่ห์ในความไม่มีอะไร (ณ ตอนนั้น) ยิ่งตอนนี้บุรีรัมย์เจริญแล้วสถานที่ท่องเที่ยวถูกปรับปรุง รักษา ให้ดีกว่าแต่ก่อน ถ้ามีโอกาสกลับเราไม่ลังเลที่จะติดตามพ่อไปด้วย
เข้าเรื่องเลยดีกว่า เมื่อช่วงเดือนที่แล้ว เรามีงานที่ต้องทำนิดหน่อยเกี่ยวกับผ้าไหม มันมีหลายจังหวัดมากที่ดังเรื่องผ้าไหม แต่เราไปเห็นผ้าไหมที่แม่เก็บไว้ในห้องและสนใจลายแบบนี้มากรู้สึกสวยแปลกตา ชื่อก็ฟังดู exotic ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าถูกใจอย่างบอกไม่ถูก พ่อบอกว่ามันคือ ผ้าไหมตีนแดง หรือผ้าซิ่นตีนแดง ผ้าขึ้นชื่อของบุรีรัมย์เราเลยหยิบที่เป็นแบบผ้าไหมมา เอาไว้ไปใส่ที่โน่น เราออกเดินทาง 6โมงเย็นวันศุกร์ ไปถึงโคราชเกือบๆ 5ทุ่ม เพราะรถติดมากทางบางใหญ่! เลยพักที่โคราช 1 คืน ตื่นเช้าค่อยไปจัดการธุระ เรา พ่อและลุง Check Out ตอนเช้าและไปจัดการคุยธุระทันที ที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ บอกก่อนว่าเคยมาแล้วเมื่อ12-13 ปีก่อนตอน 11 ขวบมาเที่ยวประสาทหินพนมรุ้งกับครอบครัวและไม่ค่อยคุ้นชินเส้นทางนี้เพราะ อำเภอ ที่พ่ออยู่มันติดโคราชมากกว่าฝั่งเขมร เราทำธุระเสร็จเรียบร้อยเร็วกว่ากำหนด เลยขอพ่อไปเที่ยวปราสาทหินต่อ (เพิ่งไปดูนาคีมาก่อนหน้านั้น เอาหน่อย) ตลอดข้างทางเรารู้สึกแปลกๆอาจเพราะไม่คุ้นเคยฝั่งนี้ของบุรีรัมย์ ทั้งๆที่ชาวบ้านเขาก็ใช้ชีวิตตามปกติ มีบางทีที่เราถูกทักทายเป็นภาษาส่วย (พ่อบอกว่าอย่างนั้น) ซึ่งก็ไม่รู้เรื่อง พ่อและลุงก็ไม่รู้ จนไปถึงปราสาทหิน เราใส่ขาสั้นไปเลยหยิบผ้าไหมตีนแดงไปเปลี่ยน เพราะเราค่อนข้างเคารพสถานที่แบบนี้พอสมควร และเจ้าหน้าที่ค่อนข้างซีเรียสเรื่องแต่งกาย เราก็เดินดูรอบๆไปเรื่อย ขอบอกตรงนี้ก่อนนะคะช่วงนั้นประมาณใกล้ 10โมง คนยังน้อยและฟ้าครึ้มมากเนื่องจากก่อนหน้านี้ฝนตกตั้งแต่กลางคืน เราเข้าด้านหลัง ประมาณ 3ครอบครัวรวมเราที่เราเห็นและเดินถ่ายรูปไปคนละทิศ เราเดินรอบๆ เราได้ยินเสียงคนเดินตามตลอด เราคิดว่าพ่อเดินตามมาถ่ายรูป เราก็ไม่ได้สนใจจนเราเดินต่อก็ได้ยินเสียงเดินตาม เราหยุดเขาหยุด แต่เราก็ไม่ได้หันหลังไปนะเลยกดถ่าย story ig ยกกล้องขึ้นเท่านั้นแหละ ข้างหลังไม่มีใครเลยโล่งกว่าเงินในกระเป๋าก็ข้างหลังเรานี่แหละ เราเกิดความสงสัยเล็กๆในใจแต่ไม่ได้คิดอะไร เดินต่อไปจนเดินกลับเพราะมันก็เงียบๆแปลกๆ กลับมาเจอพ่ออีกฝั่งพ่อบอกว่า 'เอ้า เดินตามมาดีๆ จะหันมาเรียกให้ถ่ายรูปให้หน่อยก็เห็นแต่ปลายผ้าถุง เดินๆหยุดๆอยู่นั่นเดินดีๆหน่อยเป็นผู้หญิง' เราก็งงเลยถามพ่อว่า 'เอ้า เรียกหนูตรงไหน เพิ่งเดินกลับมาจากฝั่งโน่นเนี่ยนึกว่าพ่อเดินไปด้วย' พ่อเราก็นิ่งเงียบไปสักพัก จนลุงโผล่จากไหนไม่รู้บอกว่าให้เดินเข้าไปข้างไหนเดี๋ยวฝนตก
ข้างในสแกนด้วยสายตามีคนแค่3 คนยืนถ่ายรูป พ่อกับลุงก็เซลฟี่แยกไป เราก็ถ่ายรูปของเราไปเรื่อยจนเดินมาถึงส่วนนึงของประสาท เดินเข้าไปข้างในจะมืดแต่มีแสงส่องนิดหน่อยพอเดินได้เราก็เดินเข้าไป ข้างในเหมือนมีทางให้เลี้ยวซ้ายขวา เราก็ไม่กล้าเดินเข้าไปมันเริ่มมีกลิ่นอับและมืดเนื่องจากวันนั้นไม่มีแดดข้างในไม่มีคนนะคะ มั่นใจมากเพราะพื้นที่มันไม่ได้ใหญ่มากแต่ขนหัวเรานี่วาบๆตลอด จนกระทั่งความพีคคือได้ยินเสียงคนกระซิปว่า "เองละออ" หรือละออเอง ซักอย่างฟังไม่ชัดแต่มันยังไม่ขนหัวลุกเท่า "ผ้าซิ่นงามเชียว หึหึ" แบบนี้เลยเรานี่หันไปเจอความว่างเปล่า รีบเดินกึ่งๆวิ่งออกมาจะไปหาพ่อ พ่อก็ตกใจเราว่าเป็นอะไร เราก็ไม่อยากเล่ากบัวทำลายบรรยากาศยังคิดว่าตัวเองหลอนเองหรือเปล่าอาจจะนอนน้อย เลยเดินวนๆกันไปถ่ายรูปต่อช่วงนี้เริ่มมี นทท เข้ามาบ้างแล้ว เรากับพ่อเลยเดินออกไปฝั่งหน้าปราสาทดูดีเทลไปเรื่อยๆก่อนกลับพ่อก็บอกว่าอย่าลืมยกมือขอขมาด้วยเผื่อบางทีเราไปโดนไปจับอะไรเราก็เดินนำพ่อไปก่อน เพราะพ่อให้ลุงถ่ายรูปให้อยู่ เราเดินกลับมาด้านข้างยกมือไหว้หลับตาขอขมาในใจว่า 'ถ้าลูกทำอะไรผิดขออภัยด้วยนะคะ ตั้งใจมาเที่ยว มาหาความรู้จากสถานที่ไม่คิดจะลบหลู่สิ่งใด' พอคิดจบเท่านั้นแหละ เสียงเดิมที่คุ้นเคยที่ได้ยินในตัวปราสาทลอยเข้าหู ฟังไม่รู้เรื่องแต่ยังจำถึงทุกวันนี้ 'ออเอยเต' (ไม่แน่ใจนะคะว่าคำนี้หรือเปล่าคือฟังไม่รู้เรื่องว่าพูดอะไร) เรานี่ลืมตาแล้วหันมองรอบๆ คิดในใจมีกูคนเดียวอีกแล้ว วิ่งเลยแล้วกันสติแตกแล้ว วิ่งไปรอพ่อที่รถที่ใกล้ๆห้องนำ้ที่มีจุดชมวิว เราก็เห็นพ่อเราเดินมากับลุง เราเลยบอกพ่อไปหาข้าวกินกันเถอะจะได้ไปปราสาทเมืองตํ่าต่อ พอขึ้นรถขับออกไปพ้นเขตพนมรุ้ง ลุงเราก็พูดขึ้นมาว่าคิดว่ามันแปลกๆเปล่าเหมือนมีคนมองตลอดเวลา เวลาเดินเข้าปราสาท เมื่อลุงเปิดเราเลยตาม เล่าให้ฟังบ้างจนพ่อบอกว่าตอนเราเข้าไปข้างในที่เราได้ยินเสียงคนตอนแรก พ่อไม่รู้ว่าเราไปไหนเพราะมัวแต่ถ่ายรูปกับลุง อยู่ดีๆมีผู้ชายคนนึงเดินมาบอกว่า 'ให้เดินไปรอรับเราตรงทางขึ้นประตูนะ ข้างในมันมืดลูกสาวคงตกใจกลัว' แล้วยิ้มให้พ่อแล้วก็เดินหลบหายไปเลย พ่อเราก็งงแต่ก็เดินตามจะไปถามว่าประตูตรงไหน แต่ไม่เจอเขาแล้วพ่อเลยเดินย้อนกลับไปตรงทางเข้าจากข้างหลังรอเราจนเห็นเราวิ่งออกมา ต่างคนต่างตกใจ พ่อเล่าว่าพ่อมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่กลุ่ม นทท ที่มาพร้อมๆพวกเราแต่งตัวก็แปลกเหมือนคนถือศีลผมสีดอกเลาไว้ผมยาวแต่เป็นห่วงเรามากกว่าเลยรีบไปหาเราไม่ทันคิดอะไร คิดว่าเขาคงเห็นเราเดินเข้าไปแต่เราเดินแยกกับพ่อตั้งแต่ขึ้นมาในพื้นที่ปราสาทเดินด้วยกันแค่เดินเข้าประตู พ่อเลยงงว่าเขารู้ได้ไงใครลูกใคร เป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์นึงที่เราประสบพบเจอ พร้อมพ่อและลุง เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ เราไม่ได้มาดิสเครดิตสถานที่เพราะพ่อเราก็คือคนบุรีรัมย์ และเราก็เป็นลูกหลานคนบุรีรัมย์ สถานที่นี้มันสร้างก่อนเราเกิดเราคิดเสมอว่าย่อมมีผู้ดูแลหรือสิ่งที่มองไม่เห็นปกปักรักษา ใครไม่เชื่อถือว่าอ่านเอาบันเทิง ถ้าไม่บันเทิงก็ขออภัยนะคะ🙏🏽 ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าเรื่องคนในหมู่บ้านพ่อที่ตายจากสงครามเวียดนามถูกส่งกลับมาทำพิธีที่บ้านเกิด และก็ยังมีคนเห็นแกจนถึงทุกวันนี้ให้อ่านนะคะ
ปราสาทหินบนภูเขาไฟที่ดับสนิทถิ่นลึกลับ...
สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีเรื่องแปลกๆของทั้งคุณพ่อและของเรามาแชร์ (รูปถ่ายจริงวันนั้นว่าบรรยากาศครึ้มจริงง)
คุณพ่อเราเป็นคนบุรีรัมย์โดยกำเนิดก่อนจะมาลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวที่กรุงเทพและย้ายภูมิลำเนา แต่ที่ทางและบ้านที่โน่นก็ให้คุณลุงอาศัยอยู่ทำไร่ทำนากับป้าสะใภ้ เพราะพี่น้องทุกคนของพ่อมาทำมาหากินที่กรุงเทพหมดแล้ว แต่ยังสลับกลับไปเยี่ยมบ้านบ้างจากเมื่อก่อนทุกเทศกาลเพราะ ญาติพี่น้องของทั้งคุณปู่คุณย่ายังอยู่และรุ่นลูกของปู่ย่า(รุ่นพ่อ)สนิทกันมากแต่รุ่นเราเริ่มไม่รู้จักกันเพราะ พ่อแม่แต่ละคนก็แตกซ่านกระเซ็นไปทำมาหากิน กทม. ตปท. หรือจังหวัดอื่นบ้างกลับมาเจอกันช่วงเทศกาล แต่พอพี่น้องของปู่ย่าเริ่มทยอยเสียกันไป ถ้าไม่มีธุระพ่อก็ไม่ค่อยพากลับเท่าไร (ปู่ ย่า เราเสียก่อนพ่อจะแยกย้ายมาทำมาหากินที่ กทม.) แต่เราไม่เคยลืมบ้านพ่อนะชอบกว่าบ้านแม่อีกตอนเด็กๆไม่ค่อยอยากกลับเพราะไม่สะดวกสบายสำหรับเด็กที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพตั้งแต่เกิด แต่พอยิ่งโตยิ่งเหมือนถูกดึงดูดให้กลับไปเป็นจังหวัดที่เหมือนจะไม่มีอะไร แต่มันมีเสน่ห์ในความไม่มีอะไร (ณ ตอนนั้น) ยิ่งตอนนี้บุรีรัมย์เจริญแล้วสถานที่ท่องเที่ยวถูกปรับปรุง รักษา ให้ดีกว่าแต่ก่อน ถ้ามีโอกาสกลับเราไม่ลังเลที่จะติดตามพ่อไปด้วย
เข้าเรื่องเลยดีกว่า เมื่อช่วงเดือนที่แล้ว เรามีงานที่ต้องทำนิดหน่อยเกี่ยวกับผ้าไหม มันมีหลายจังหวัดมากที่ดังเรื่องผ้าไหม แต่เราไปเห็นผ้าไหมที่แม่เก็บไว้ในห้องและสนใจลายแบบนี้มากรู้สึกสวยแปลกตา ชื่อก็ฟังดู exotic ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าถูกใจอย่างบอกไม่ถูก พ่อบอกว่ามันคือ ผ้าไหมตีนแดง หรือผ้าซิ่นตีนแดง ผ้าขึ้นชื่อของบุรีรัมย์เราเลยหยิบที่เป็นแบบผ้าไหมมา เอาไว้ไปใส่ที่โน่น เราออกเดินทาง 6โมงเย็นวันศุกร์ ไปถึงโคราชเกือบๆ 5ทุ่ม เพราะรถติดมากทางบางใหญ่! เลยพักที่โคราช 1 คืน ตื่นเช้าค่อยไปจัดการธุระ เรา พ่อและลุง Check Out ตอนเช้าและไปจัดการคุยธุระทันที ที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ บอกก่อนว่าเคยมาแล้วเมื่อ12-13 ปีก่อนตอน 11 ขวบมาเที่ยวประสาทหินพนมรุ้งกับครอบครัวและไม่ค่อยคุ้นชินเส้นทางนี้เพราะ อำเภอ ที่พ่ออยู่มันติดโคราชมากกว่าฝั่งเขมร เราทำธุระเสร็จเรียบร้อยเร็วกว่ากำหนด เลยขอพ่อไปเที่ยวปราสาทหินต่อ (เพิ่งไปดูนาคีมาก่อนหน้านั้น เอาหน่อย) ตลอดข้างทางเรารู้สึกแปลกๆอาจเพราะไม่คุ้นเคยฝั่งนี้ของบุรีรัมย์ ทั้งๆที่ชาวบ้านเขาก็ใช้ชีวิตตามปกติ มีบางทีที่เราถูกทักทายเป็นภาษาส่วย (พ่อบอกว่าอย่างนั้น) ซึ่งก็ไม่รู้เรื่อง พ่อและลุงก็ไม่รู้ จนไปถึงปราสาทหิน เราใส่ขาสั้นไปเลยหยิบผ้าไหมตีนแดงไปเปลี่ยน เพราะเราค่อนข้างเคารพสถานที่แบบนี้พอสมควร และเจ้าหน้าที่ค่อนข้างซีเรียสเรื่องแต่งกาย เราก็เดินดูรอบๆไปเรื่อย ขอบอกตรงนี้ก่อนนะคะช่วงนั้นประมาณใกล้ 10โมง คนยังน้อยและฟ้าครึ้มมากเนื่องจากก่อนหน้านี้ฝนตกตั้งแต่กลางคืน เราเข้าด้านหลัง ประมาณ 3ครอบครัวรวมเราที่เราเห็นและเดินถ่ายรูปไปคนละทิศ เราเดินรอบๆ เราได้ยินเสียงคนเดินตามตลอด เราคิดว่าพ่อเดินตามมาถ่ายรูป เราก็ไม่ได้สนใจจนเราเดินต่อก็ได้ยินเสียงเดินตาม เราหยุดเขาหยุด แต่เราก็ไม่ได้หันหลังไปนะเลยกดถ่าย story ig ยกกล้องขึ้นเท่านั้นแหละ ข้างหลังไม่มีใครเลยโล่งกว่าเงินในกระเป๋าก็ข้างหลังเรานี่แหละ เราเกิดความสงสัยเล็กๆในใจแต่ไม่ได้คิดอะไร เดินต่อไปจนเดินกลับเพราะมันก็เงียบๆแปลกๆ กลับมาเจอพ่ออีกฝั่งพ่อบอกว่า 'เอ้า เดินตามมาดีๆ จะหันมาเรียกให้ถ่ายรูปให้หน่อยก็เห็นแต่ปลายผ้าถุง เดินๆหยุดๆอยู่นั่นเดินดีๆหน่อยเป็นผู้หญิง' เราก็งงเลยถามพ่อว่า 'เอ้า เรียกหนูตรงไหน เพิ่งเดินกลับมาจากฝั่งโน่นเนี่ยนึกว่าพ่อเดินไปด้วย' พ่อเราก็นิ่งเงียบไปสักพัก จนลุงโผล่จากไหนไม่รู้บอกว่าให้เดินเข้าไปข้างไหนเดี๋ยวฝนตก
ข้างในสแกนด้วยสายตามีคนแค่3 คนยืนถ่ายรูป พ่อกับลุงก็เซลฟี่แยกไป เราก็ถ่ายรูปของเราไปเรื่อยจนเดินมาถึงส่วนนึงของประสาท เดินเข้าไปข้างในจะมืดแต่มีแสงส่องนิดหน่อยพอเดินได้เราก็เดินเข้าไป ข้างในเหมือนมีทางให้เลี้ยวซ้ายขวา เราก็ไม่กล้าเดินเข้าไปมันเริ่มมีกลิ่นอับและมืดเนื่องจากวันนั้นไม่มีแดดข้างในไม่มีคนนะคะ มั่นใจมากเพราะพื้นที่มันไม่ได้ใหญ่มากแต่ขนหัวเรานี่วาบๆตลอด จนกระทั่งความพีคคือได้ยินเสียงคนกระซิปว่า "เองละออ" หรือละออเอง ซักอย่างฟังไม่ชัดแต่มันยังไม่ขนหัวลุกเท่า "ผ้าซิ่นงามเชียว หึหึ" แบบนี้เลยเรานี่หันไปเจอความว่างเปล่า รีบเดินกึ่งๆวิ่งออกมาจะไปหาพ่อ พ่อก็ตกใจเราว่าเป็นอะไร เราก็ไม่อยากเล่ากบัวทำลายบรรยากาศยังคิดว่าตัวเองหลอนเองหรือเปล่าอาจจะนอนน้อย เลยเดินวนๆกันไปถ่ายรูปต่อช่วงนี้เริ่มมี นทท เข้ามาบ้างแล้ว เรากับพ่อเลยเดินออกไปฝั่งหน้าปราสาทดูดีเทลไปเรื่อยๆก่อนกลับพ่อก็บอกว่าอย่าลืมยกมือขอขมาด้วยเผื่อบางทีเราไปโดนไปจับอะไรเราก็เดินนำพ่อไปก่อน เพราะพ่อให้ลุงถ่ายรูปให้อยู่ เราเดินกลับมาด้านข้างยกมือไหว้หลับตาขอขมาในใจว่า 'ถ้าลูกทำอะไรผิดขออภัยด้วยนะคะ ตั้งใจมาเที่ยว มาหาความรู้จากสถานที่ไม่คิดจะลบหลู่สิ่งใด' พอคิดจบเท่านั้นแหละ เสียงเดิมที่คุ้นเคยที่ได้ยินในตัวปราสาทลอยเข้าหู ฟังไม่รู้เรื่องแต่ยังจำถึงทุกวันนี้ 'ออเอยเต' (ไม่แน่ใจนะคะว่าคำนี้หรือเปล่าคือฟังไม่รู้เรื่องว่าพูดอะไร) เรานี่ลืมตาแล้วหันมองรอบๆ คิดในใจมีกูคนเดียวอีกแล้ว วิ่งเลยแล้วกันสติแตกแล้ว วิ่งไปรอพ่อที่รถที่ใกล้ๆห้องนำ้ที่มีจุดชมวิว เราก็เห็นพ่อเราเดินมากับลุง เราเลยบอกพ่อไปหาข้าวกินกันเถอะจะได้ไปปราสาทเมืองตํ่าต่อ พอขึ้นรถขับออกไปพ้นเขตพนมรุ้ง ลุงเราก็พูดขึ้นมาว่าคิดว่ามันแปลกๆเปล่าเหมือนมีคนมองตลอดเวลา เวลาเดินเข้าปราสาท เมื่อลุงเปิดเราเลยตาม เล่าให้ฟังบ้างจนพ่อบอกว่าตอนเราเข้าไปข้างในที่เราได้ยินเสียงคนตอนแรก พ่อไม่รู้ว่าเราไปไหนเพราะมัวแต่ถ่ายรูปกับลุง อยู่ดีๆมีผู้ชายคนนึงเดินมาบอกว่า 'ให้เดินไปรอรับเราตรงทางขึ้นประตูนะ ข้างในมันมืดลูกสาวคงตกใจกลัว' แล้วยิ้มให้พ่อแล้วก็เดินหลบหายไปเลย พ่อเราก็งงแต่ก็เดินตามจะไปถามว่าประตูตรงไหน แต่ไม่เจอเขาแล้วพ่อเลยเดินย้อนกลับไปตรงทางเข้าจากข้างหลังรอเราจนเห็นเราวิ่งออกมา ต่างคนต่างตกใจ พ่อเล่าว่าพ่อมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่กลุ่ม นทท ที่มาพร้อมๆพวกเราแต่งตัวก็แปลกเหมือนคนถือศีลผมสีดอกเลาไว้ผมยาวแต่เป็นห่วงเรามากกว่าเลยรีบไปหาเราไม่ทันคิดอะไร คิดว่าเขาคงเห็นเราเดินเข้าไปแต่เราเดินแยกกับพ่อตั้งแต่ขึ้นมาในพื้นที่ปราสาทเดินด้วยกันแค่เดินเข้าประตู พ่อเลยงงว่าเขารู้ได้ไงใครลูกใคร เป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์นึงที่เราประสบพบเจอ พร้อมพ่อและลุง เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ เราไม่ได้มาดิสเครดิตสถานที่เพราะพ่อเราก็คือคนบุรีรัมย์ และเราก็เป็นลูกหลานคนบุรีรัมย์ สถานที่นี้มันสร้างก่อนเราเกิดเราคิดเสมอว่าย่อมมีผู้ดูแลหรือสิ่งที่มองไม่เห็นปกปักรักษา ใครไม่เชื่อถือว่าอ่านเอาบันเทิง ถ้าไม่บันเทิงก็ขออภัยนะคะ🙏🏽 ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าเรื่องคนในหมู่บ้านพ่อที่ตายจากสงครามเวียดนามถูกส่งกลับมาทำพิธีที่บ้านเกิด และก็ยังมีคนเห็นแกจนถึงทุกวันนี้ให้อ่านนะคะ