ปาล์มน้ำมันระะเบิดเวลาที่น่ากลัวสำหรับสังคมไทย

การที่รัฐบาลขอกำลังทหาร เข้าตรวจยึดทะลายปาล์มดิบ ณ ลานเท หรือจะเรียกให้เหมาะสมคือ ผู้รวบรวมผลผลิตของโรงงาน แม้ว่าลานเทจะวางตัวเป็นผู้ค้าส่งก็ตาม แต่แท้จริงแล้ว ถ้าว่ากันตาม พรบ.อ้อยและน้ำตาล ลานเท ผมยังถือว่า เป็นเพียงผู้รวบรวมผลผลิตของโรงงานนั่นเอง เพราะลานเท ได้รับอิทธิพลจากโรงงาน ที่ไปขายปาล์ม และลานเทส่วนใหญ่แล้ว ส่งปาล์มโรงงานไหน ก็มักส่งที่โรงงานนั้นเพียงโรงเดียว จนเกิดสายสัมพันธ์ ที่เรียกว่า ผู้รวบรวมผลผลิตให้กับโรงงาน

สำหรับการส่งกำลังทหารเข้าประจำการ ณ ลานเท ทุกลานเท เพื่อตรวจยึดผลปาล์มที่ไม่สุก หรือช่วยคัดปาล์มให้กับโรงงาน เพื่อจะได้น้ำมันเปอร์เซ็นสูง ๆนั้น มองเผิน ๆ ดูจะเป็นการดี เพื่อเพิ่มผลิตภาพของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม แต่จะว่ากันไปแล้ว ณ ปัจจุบัน เกษตรกรยังไม่สามารถเชื่อใจได้ว่า กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม มีความหวังดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง และการที่รัฐบาลใช้วิธีการนี้ เสมือนเป็นการตอกลิ่มที่หัวใจของเกษตรกร เพราะในขณะนี้ราคารับซื้อผลปาล์ม ณ ลานเท 2.6-2.8 บาท/ก.ก. นั้น เกษตรกร ก็ไม่สามารถอยู่ได้อยู่แล้ว เพราะราคารับซื้อต่ำกว่า ราคาต้นทุนการผลิต ที่ไม่ควรจะต่ำกว่า 4 บาท/ ก.ก.

เรื่องการรับซื้อปาล์มตามเปอร์เซ็นน้ำมันปาล์ม นั้น เกษตรกรเชื่อว่า กฎเกณฑ์นี้ถูกวางสเปค จากกลุ่มโรงงาน และกลุ่มโรงงานเองก็มีสองกลุ่ม คือ โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบขั้นต้นให้เป็น CPO และโรงกลั่นไบโอดีเซล หรือโรงกลันแยกไขเพื่อบรรจุปาล์มขวด

ดูเหมือนหนนี้เกษตรกร จะถูกมัดมือชก โดยภาครัฐในระดับจังหวัดก็ไม่ได้เข้ามาเหลียวแล เพื่อเยียวยาหรือหาทางออกระยะยาว ให้กับเกษตรกร ทั้งที่ช่วงแรก เกษตรจังหวัดเอง ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกปาล์มน้ำมัน

สกว.ได้ส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยทำการวิจัย ปัญหาปาล์มน้ำมันทั้งระบบ ผลปรากฎว่า ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พบปัญหาผลผลิตปาล์มมีมากแต่โรงงานรับซื้อมีน้อย ทำให้เกิดธุรกิจลานเทปาล์มน้ำมัน หรือผู้รวบรวมผลผลิตให้โรงงานจำนวนมาก

หลายคนถกเถียงกันเรื่องทางออกทางแก้ แต่หลายคนก็พบทางตัน ดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ชาวสวนปาล์มน้ำมันอยู่ไม่น้อย

ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า หลังจาก “สหภาพยุโรป” (อียู) หนึ่งในผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุด ประกาศจะใช้มาตรการ “zero palm oil” เลิกใช้น้ำมันปาล์มภายในปี 2020-2021 และได้จำกัดการใช้น้ำมันปาล์มเพิ่มในการผลิต “เชื้อเพลิงชีวภาพ”

กระแสแบนการใช้น้ำมันปาล์มเกิดขึ้นตั้งแต่สภาที่ปรึกษาด้านสุขภาพของรัฐบาลเบลเยียม เปิดรายงานเมื่อ 3 ปีก่อน โดยระบุว่า น้ำมันปาล์มมีกรดไขมันอิ่มตัว (saturated fat) เป็นสาเหตุให้เกิด “โรคหัวใจ” จนเป็นปรากฏการณ์ให้สินค้าทุกประเภทในยุโรป ต้องติดฉลาก “no palm oil”

ล่าสุดรัฐสภายุโรปของสหภาพยุโรป (อียู) เตรียมเสนอร่างกฎหมายห้ามใช้น้ำมันปาล์มในการผลิต “เชื้อเพลิงชีวภาพ” โดยเฉพาะที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ สร้างแรงกดดันต่อเนื่องจากที่ได้ประกาศต่อต้านการใช้น้ำมันปาล์มในผลิตภัณฑ์อื่น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอาง และสินค้าอุปโภคบริโภค

น่าสนใจว่า แทนที่รัฐบาลจะพยายามสื่อสารให้เกษตรกรเข้าใจว่า หนทางข้างหน้านั้นตีบตัน ควรหาทางออกทางแก้ เพื่อให้เกษตรกรปรับตัว กลับใช้กำลังบีบบังคับ เพื่อเอาใจกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม

ผลที่ตามมา เกษตรกรบางรายหยุดแทงปาล์มขาย บางรายเริ่มหันไปเลี้ยงวัว ส่วนบางรายที่ปรับตัวไม่ได้ ถึงกับคิดสั้นฆ่าตัวตายก็มี เพราะความบีบคั้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง

เกษตรกรบางรายกล่าวว่า ภาคราชการมีการทุจริตกันป่นปี้ แต่ไม่มีการตรวจสอบจากภาคเอกชน เพราะชาวบ้านเอื้อมไปไม่ถึง เพราะเกรงกลัวอำนาจรัฐ และกำลังทหารซึ่งมีอาวุธปืนอยู่ในมือ และการรายงานปัญหาต่างๆ ล้วนเป็นการรายงานเท็จเพื่อเอาใจผู้บังคับบัญชา

เชื่อว่า ถ้ามือเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่เร่งหาทางออก ปาล์มน้ำมันจะเป็นระะเบิดเวลาที่น่ากลัวสำหรับสังคมไทย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่