
สวัสดีค่าาา

ไม่ได้เข้ามารีวิวนานมากๆด้วยภารกิจที่รัดตัว คราวนี้เลยขอมารีวิวเล็กๆทริปที่เรารู้สึกว่าเป็นอะไรที่ต้องบันทึกเก็บไว้อ่านเลย มีหลายสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจตัวเองจากการได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำค่ะ
สืบเนื่องจากเรามีทริป เราจะทำตามสัญญา... ที่จะไปหาเจ้สุดที่เลิฟที่สุโขทัยค่ะ พอบอกเจ้ว่าน้องจองตั๋วละนะ 2 พ.ย. 61 นี้เจอกัน แล้วเจ้ก็โพสท์ FB ที่แชร์จากเพจเขาหลวงมา ไอ้เราเห็นปุ๊บ ความรู้สึกอยากลี้หลีกความวุ่นวายเข้าป่าสักครั้งก็แว้บขึ้นมาเลย เลยบอกเจ้ไปว่า ป่ะๆๆเขาหลวงๆๆ
นับเป็นการเที่ยวเขาครั้งที่สอง นับจากครั้งแรกที่ภูกระดึงไป ระยะเวลาห่างกันก็ไม่เท่าไหร่แค่ 16 ปีแห่งความหลังเท่านั้นเอง
ด้วยความที่อุปกรณ์ไรก็ไม่มี แถมเป็นช่วงวุ่นๆ ข้อมูลก็ไม่ได้หาเลย รู้แค่ว่าต้องมีถุงนอน เป้ที่รองรับน้ำหนักได้ดี แต่ตอนนั้นคิดว่าเอาไปเป็นพร้อบถ่ายรูปเก๋ๆแบกเป้สวยๆขึ้นเขา ไม่ได้คิดจะใส่ของหนักแล้วแบกเอง กะว่าแบ่งของจ้างลูกหาบเอาค่ะ
ละก็เตรียม trekking pole holder ไปเผื่อ เห็นว่าเขาหลวงนี้มีความชัน ด้วยความที่ไม่ได้หาความรู้อะไรเลยก็ซื้อเผื่อๆไปอันนึงค่ะเช็คอากาศตอนกลางคืนก็สิบกว่าองศา แต่เพื่อการรักษาอุณหภูมิร่างกายเลยก็เตรียมลองจอนไปด้วย คิดว่าเตรียมของครบละ ก็ไปค่ะ ไปขึ้นเขาหลวงกัน
พอถึงสุโขทัยก็นี่เลยค่ะ เรื่องสำคัญสุดคือเตรียมของกิน มีคอหมูย่าง หมูปิ้งนมสดไว้ปิ้งตอนเช้า สายผักอย่างเราก็นี่เลย เห็ดออรินจิ ข้าวโพดหวาน มันม่วง น้ำส้มกล่อง ทริปนี้ต้องได้ฟีล อากาศเย็นๆ กินปิ้งย่าง แค่คิดก็ฟินแล้วววว จัดเสร็จก็รีบอาบน้ำ นอน ฝันหวานเลยค่ะ ใครจะไปคิดว่าจะมีเรื่องช็อครออยู่อีกเย๊ออออ
และแล้วเช้าวันที่ต้องขึ้นเขาหลวงก็มาถึง พร้อมกับความช็อคแบบ ห๊ะ! ยังไงนะ
มาเจอพี่ๆผู้ร่วมทริปอีก 2 คน เห็นเราใส่กางเกงยีนส์ ทำหน้าตกใจกันใหญ่เลย ละถามว่า เอาจริงหรอแกรรรร ใส่ยีนส์ขึ้นจริงเหรอ
เราก็แบบ ห๊ะ! ยังไงนะ

ใส่ไม่ได้เหรอเจ้ เอามาตัวเดียว ชั่งน้ำหนักละกางเกงผ้ามันหนักกว่าเลยไม่ได้หยิบมาด้วย
พี่ๆมองหน้ากันละบอก อ่ะๆๆ ลองดู๊วววววว แล้วแกก็จะรู้ หึหึ คือตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจนะว่าชนิดของผ้ามันสำคัญขนาดนั้นเลยรึ
พอมาถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติรามคำแหงประมาณ 10 โมงเช้า ก็ลงไปติดต่อกับพี่ๆเจ้าหน้าที่ ด้วยความตื่นเต้นว่าจะได้ขึ้นเขาแล้ว เจ้ก็ถามไปว่า คนเยอะมั้ยคะวันนี้ พี่เจ้าหน้าที่บอก ตอนนี้ก็ร้อยกว่าคนละน้อง
แล้วเราก็ได้ยินเสียง ว ของพี่เจ้าหน้าที่ถามมาว่า มีลูกหาบมั้ย?? พี่เค้าตอบไปทันใดว่า อ๋อออ ลูกหาบเหรอ ไม่มีเลย หมดแล้ว
เราก็แบบ ห๊ะ!! ยังไงนะ

มองหน้ากับเจ้โดยมิได้นัดหมาย เอาแล้วไง แต่ยังไงก็ลองไปดูตรงทางขึ้นเขา เผื่อจะมีลูกหาบลงมาแล้ว
พอถึงทางขึ้นเท่าแหละ เจ้าหน้าที่บอกเลย ไม่มีลูกหาบขาขึ้นแล้วจ้า เราก็แบบ ห๊ะ!!! ยังไงนะ

ต้องแบกทุกอย่างขึ้นไปเองจ้า
โอยยยยยยยยย ณ จุดนั้นคือ ช็อคแบบช็อคจริงจัง เพราะไม่คิดมาก่อนว่าต้องแบกเอง ละคือปกติการใช้ชีวิตนอกจากสะพายเป้โน๊ตบุ๊คแล้วก็ไม่ได้แบกไรหนักๆเลย แต่ๆๆๆ นี่คือต้องแบกเองน้ำหนักร่วม 10 โล เพราะคิดว่าของทุกอย่างจำเป็นหมด เป็นไงล๊า.... อยากได้ภาพแบกเป้ขึ้นเขาสวยๆ สมใจอยากมั้ยล๊า.....
แต่ไงล่ะ มาถึงนี่แล้วก็ต้องไปให้สุดเขา ไปค่ะ ลุยยยยย แบกเป้ สะพายกล้อง ขึ้นเขาหลวงกัน
สภาพร่างกายที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ เราคิดแค่ว่า ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้ ต้องทำให้ได้
เอาวะ สามกิโลกว่าๆ ไม่น่ายากมาก

พอเริ่มเดิน เจอทางขึ้นที่เริ่มชัน หัวใจก็เต้นแรงมาก ร่างกายต้องปรับสมดุลอยู่สักระยะนึง จนถึงจุดที่พักแรก เอาน่าไหวน่า ร่างกายเริ่มปรับตัวได้ แต่งงกับระยะทางมาก แต่ละจุดบอก 350 เมตรบ้าง 500 เมตรบ้าง แต่ทำม๊ายยยย มันช่างไกลเหลือเกินนน ขาเริ่มหนักๆ เดินไปสักพัก ต้องดึงกางเกงละ โชคดีอยู่อย่างที่ตัดสินใจซื้อเป้มาได้เหมาะสมกับการใช้งาน
ระหว่างทางแต่จุด พูดเลยค่ะ มันต้องใช้ทั้งพลังกายพลังใจในการที่ต้องไปให้ถึงยอดเขาให้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการแบกเป้ร่วมสิบโล ขึ้นเขาชันๆแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย แต่มันคือความท้าทายที่ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง ได้ไตร่ตรองหลายๆอย่าง และเข้าใจสัจธรรมหลายๆอย่างได้ด้วยตัวเอง

แต่ละจุดพักจะมีน้ำดิบให้เราเติมน้ำ เย็นชื่นใจมากกกกก

เราพักทานมื้อกลางวันที่ตาน้ำค่ะ เป็นเหนียวหมูที่อร่อยมากกกก พูดเลยยย

ปลดวาง พักร่างสักนิดนึง

พอถึงจุดชมวิว ขาแทบลากกกก เข้าใจละที่เพื่อนบอกเราก่อนมาว่า ให้กินน้ำบ่อยๆนะเวลาขึ้นเขาไม่ต้องกลัวปวดฉี่ เพราะมันออกมาทางเหงื่อหมด โฮยยยย เข้าใจถ่องแท้ก็วันนี้แหละ
ในระหว่างที่นั่งพักและถามตัวเองว่า ชั้นมาทำอะไรที่นี่....... จะกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ยังไปไม่ถึง..... เราก็ได้เจอความพีคในพีคค่ะ คือ เราได้เจอกลุ่มที่เค้ากลับลงมาเป็นกลุ่มเพื่อนๆที่เค้าพาผู้พิการทางสายตามาด้วยค่ะ เห็นภาพนั้นแล้ว ยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว และได้ข้อคิดอีกหลายๆอย่างในภาพที่เราเห็น และพี่แกน่ารักมาก บอกทุกคนว่า ต้องขึ้นไปให้ได้นะครับ ผมยังขึ้นไปได้เลยครับ ไปให้ได้นะครับ ทุกคนที่อยู่ในจุดนั้น คือ ความรู้สึกเดียวกันเลย คือ ซึ้งมาก พูดเลยยย แล้วก็ฮึดขึ้นมาทันที ไปค่ะ ไปต่อไม่รอแล้วนะ เราต้องทำได้
แล้วเราก็ทำได้จริงๆ แม้จะใช้เวลาไปประมาณ เกือบ 6 ชั่วโมง แต่เราก็ทำสำเร็จค่ะ

ถึงลานกางเต้นท์ก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องเต้นท์ที่จองมาจากด้านล่างแล้ว พี่ๆเจ้าหน้าที่ก็น่ารักมากๆเลยค่ะ บริการดี อัธยาศัยดีมาก เหมือนมาเที่ยวบ้านพี่เลยค่ะ แล้วเราก็เดินมาเลือกเต้นท์สำหรับ 2 คนที่จองมา 2 หลัง
พอเห็นเต็นท์เท่านั้นแหละ แบบ ห๊ะ!!!! ยังไงนะ

เต้นท์ 2 คน มันเล็กมากแทบต้องนอนทับกัน จริงๆมันคือขนาดมาตรฐานนั่นแหละ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่ามันเล็กสำหรับเรา โอยยยยย ยังไงดี รู้งี้เอาเต็นท์ 3 คนดีกว่า แต่นั่นแหละค่ะ การที่เราขึ้นมาถึงตรงนี้ได้ ก็ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้แล้วค่ะ นอนได้ สบายมากกก
แต่ยังไม่นอนตอนนี้ เราต้องไปดูพระอาทิตย์ตกกันก่อน ระหว่างทางที่เดินไปเขาพระแม่ย่า พูดเลยว่าแค่อากาศที่ได้สูดเข้าไปก็หายเหนื่อยแล้ว ยิ่งพอได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ให้สายลม แสงแดด ที่ส่องผ่านป่าเขามาโอบกอดตัวเราไว้ แค่นี้ก็คุ้มที่ต้องแบกร่างขึ้นมาแล้วค่ะ ความฟินมันอยู่ตรงนี้แหละ

วิวสวยๆ ระหว่างทางไปดูพระอาทิตย์ตกที่เขาแม่ย่าค่ะ

นี่แหละ เสน่ห์ของที่สูง ที่ทำไมเราถึงต้องไปยืนบนนั้นให้ได้...
(แม้ต้องแบกเป้สิบโลขึ้นไปเองก็ตาม 😂😂😂)
"ว่าอยู่ยิ่งสูงยิ่งเห็น #ยิ่งสูงยิ่งมองได้ไกล
และได้เห็นในมุมมองที่กว้างใหญ่
#เปิดความคิดให้ใจจากสายตา ว่าเราควรยืนมองดู
อยู่เหนือหัวใจแห่งปัญหา และจะเห็นทุกเรื่องราวไม่หนักหนา....
#หมื่นทางตันยังมีทางนึงให้ออกเสมอ...."
Cr. เพลง ที่สูง

คือด้วยความที่กลัวความสูง จะให้ไปยืนตรงนั้นก็ขาสั่น เลยขออนุญาตคนในภาพด้วยนะคะ ขอถ่ายมา ภาพสื่ออารมณ์ได้สุดๆเลยค่ะ

นี่ก็มัวแต่ถ่ายภาพนิ่ง จนพระอาทิตย์ตกแล้วเหลือบเห็น GoPro ที่เอามา ก็แบบ ห๊ะ!!!!! ยังไงนะ

ลืมถ่าย timelapse ตอนอาทิตย์ลับฟ้า โฮยยยยย ไอ้บีอา!!! เอาอีกแล้วววว พลาดตลอดดดด แต่ก็ปลอบตัวเองว่าเอาน่าพรุ่งนี้ถ่ายช่วงพระอาทิตย์ขึ้นก็ได้
พอเดินกลับมาที่พักด้วยความหมดแรงก็รีบปิ้งหมูกินจะได้รีบอาบน้ำ นอนค่ะ
อยากจะบอกว่าท้องฟ้าคืนนี้ สวยมากกก ดาวเต็มฟ้าเลย แต่หมดแรงที่จะเก็บภาพ ขอเก็บความสวยงามนี้ไว้ในความทรงจำ ขอให้คืนนี้เราหลับฝันดี อากาศดีมากค่ะ ลองจอนกับถุงนอนที่เตรียมมากำลังดีเลย แต่พอจะหลับ เอาแล้วววว ร้าวขามากกกกก นี่กินยาคลายกล้ามเนื้อไปก่อนนอนแล้ว ยังร้าวขนาดนี้ ทรมานมาก เหมือนได้หลับไปแปบเดียว ตี 5 ต้องตื่นแล้ว แต่ขาหายร้าวละก็เดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันค่ะ
ต่อใน comment นะคะ
[CR] มินิรีวิว ขึ้นเขาหลวง สุโขทัย ประสบการณ์เตรียมตัวแบบพลาดๆของมือใหม่หัดเที่ยวเขา
สืบเนื่องจากเรามีทริป เราจะทำตามสัญญา... ที่จะไปหาเจ้สุดที่เลิฟที่สุโขทัยค่ะ พอบอกเจ้ว่าน้องจองตั๋วละนะ 2 พ.ย. 61 นี้เจอกัน แล้วเจ้ก็โพสท์ FB ที่แชร์จากเพจเขาหลวงมา ไอ้เราเห็นปุ๊บ ความรู้สึกอยากลี้หลีกความวุ่นวายเข้าป่าสักครั้งก็แว้บขึ้นมาเลย เลยบอกเจ้ไปว่า ป่ะๆๆเขาหลวงๆๆ
นับเป็นการเที่ยวเขาครั้งที่สอง นับจากครั้งแรกที่ภูกระดึงไป ระยะเวลาห่างกันก็ไม่เท่าไหร่แค่ 16 ปีแห่งความหลังเท่านั้นเอง
ด้วยความที่อุปกรณ์ไรก็ไม่มี แถมเป็นช่วงวุ่นๆ ข้อมูลก็ไม่ได้หาเลย รู้แค่ว่าต้องมีถุงนอน เป้ที่รองรับน้ำหนักได้ดี แต่ตอนนั้นคิดว่าเอาไปเป็นพร้อบถ่ายรูปเก๋ๆแบกเป้สวยๆขึ้นเขา ไม่ได้คิดจะใส่ของหนักแล้วแบกเอง กะว่าแบ่งของจ้างลูกหาบเอาค่ะ
ละก็เตรียม trekking pole holder ไปเผื่อ เห็นว่าเขาหลวงนี้มีความชัน ด้วยความที่ไม่ได้หาความรู้อะไรเลยก็ซื้อเผื่อๆไปอันนึงค่ะเช็คอากาศตอนกลางคืนก็สิบกว่าองศา แต่เพื่อการรักษาอุณหภูมิร่างกายเลยก็เตรียมลองจอนไปด้วย คิดว่าเตรียมของครบละ ก็ไปค่ะ ไปขึ้นเขาหลวงกัน
พอถึงสุโขทัยก็นี่เลยค่ะ เรื่องสำคัญสุดคือเตรียมของกิน มีคอหมูย่าง หมูปิ้งนมสดไว้ปิ้งตอนเช้า สายผักอย่างเราก็นี่เลย เห็ดออรินจิ ข้าวโพดหวาน มันม่วง น้ำส้มกล่อง ทริปนี้ต้องได้ฟีล อากาศเย็นๆ กินปิ้งย่าง แค่คิดก็ฟินแล้วววว จัดเสร็จก็รีบอาบน้ำ นอน ฝันหวานเลยค่ะ ใครจะไปคิดว่าจะมีเรื่องช็อครออยู่อีกเย๊ออออ
และแล้วเช้าวันที่ต้องขึ้นเขาหลวงก็มาถึง พร้อมกับความช็อคแบบ ห๊ะ! ยังไงนะ
มาเจอพี่ๆผู้ร่วมทริปอีก 2 คน เห็นเราใส่กางเกงยีนส์ ทำหน้าตกใจกันใหญ่เลย ละถามว่า เอาจริงหรอแกรรรร ใส่ยีนส์ขึ้นจริงเหรอ
เราก็แบบ ห๊ะ! ยังไงนะ
พี่ๆมองหน้ากันละบอก อ่ะๆๆ ลองดู๊วววววว แล้วแกก็จะรู้ หึหึ คือตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจนะว่าชนิดของผ้ามันสำคัญขนาดนั้นเลยรึ
พอมาถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติรามคำแหงประมาณ 10 โมงเช้า ก็ลงไปติดต่อกับพี่ๆเจ้าหน้าที่ ด้วยความตื่นเต้นว่าจะได้ขึ้นเขาแล้ว เจ้ก็ถามไปว่า คนเยอะมั้ยคะวันนี้ พี่เจ้าหน้าที่บอก ตอนนี้ก็ร้อยกว่าคนละน้อง
แล้วเราก็ได้ยินเสียง ว ของพี่เจ้าหน้าที่ถามมาว่า มีลูกหาบมั้ย?? พี่เค้าตอบไปทันใดว่า อ๋อออ ลูกหาบเหรอ ไม่มีเลย หมดแล้ว
เราก็แบบ ห๊ะ!! ยังไงนะ
พอถึงทางขึ้นเท่าแหละ เจ้าหน้าที่บอกเลย ไม่มีลูกหาบขาขึ้นแล้วจ้า เราก็แบบ ห๊ะ!!! ยังไงนะ
โอยยยยยยยยย ณ จุดนั้นคือ ช็อคแบบช็อคจริงจัง เพราะไม่คิดมาก่อนว่าต้องแบกเอง ละคือปกติการใช้ชีวิตนอกจากสะพายเป้โน๊ตบุ๊คแล้วก็ไม่ได้แบกไรหนักๆเลย แต่ๆๆๆ นี่คือต้องแบกเองน้ำหนักร่วม 10 โล เพราะคิดว่าของทุกอย่างจำเป็นหมด เป็นไงล๊า.... อยากได้ภาพแบกเป้ขึ้นเขาสวยๆ สมใจอยากมั้ยล๊า.....
แต่ไงล่ะ มาถึงนี่แล้วก็ต้องไปให้สุดเขา ไปค่ะ ลุยยยยย แบกเป้ สะพายกล้อง ขึ้นเขาหลวงกัน
สภาพร่างกายที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ เราคิดแค่ว่า ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้ ต้องทำให้ได้
เอาวะ สามกิโลกว่าๆ ไม่น่ายากมาก
พอเริ่มเดิน เจอทางขึ้นที่เริ่มชัน หัวใจก็เต้นแรงมาก ร่างกายต้องปรับสมดุลอยู่สักระยะนึง จนถึงจุดที่พักแรก เอาน่าไหวน่า ร่างกายเริ่มปรับตัวได้ แต่งงกับระยะทางมาก แต่ละจุดบอก 350 เมตรบ้าง 500 เมตรบ้าง แต่ทำม๊ายยยย มันช่างไกลเหลือเกินนน ขาเริ่มหนักๆ เดินไปสักพัก ต้องดึงกางเกงละ โชคดีอยู่อย่างที่ตัดสินใจซื้อเป้มาได้เหมาะสมกับการใช้งาน
ระหว่างทางแต่จุด พูดเลยค่ะ มันต้องใช้ทั้งพลังกายพลังใจในการที่ต้องไปให้ถึงยอดเขาให้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการแบกเป้ร่วมสิบโล ขึ้นเขาชันๆแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย แต่มันคือความท้าทายที่ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง ได้ไตร่ตรองหลายๆอย่าง และเข้าใจสัจธรรมหลายๆอย่างได้ด้วยตัวเอง
ในระหว่างที่นั่งพักและถามตัวเองว่า ชั้นมาทำอะไรที่นี่....... จะกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ยังไปไม่ถึง..... เราก็ได้เจอความพีคในพีคค่ะ คือ เราได้เจอกลุ่มที่เค้ากลับลงมาเป็นกลุ่มเพื่อนๆที่เค้าพาผู้พิการทางสายตามาด้วยค่ะ เห็นภาพนั้นแล้ว ยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว และได้ข้อคิดอีกหลายๆอย่างในภาพที่เราเห็น และพี่แกน่ารักมาก บอกทุกคนว่า ต้องขึ้นไปให้ได้นะครับ ผมยังขึ้นไปได้เลยครับ ไปให้ได้นะครับ ทุกคนที่อยู่ในจุดนั้น คือ ความรู้สึกเดียวกันเลย คือ ซึ้งมาก พูดเลยยย แล้วก็ฮึดขึ้นมาทันที ไปค่ะ ไปต่อไม่รอแล้วนะ เราต้องทำได้
แล้วเราก็ทำได้จริงๆ แม้จะใช้เวลาไปประมาณ เกือบ 6 ชั่วโมง แต่เราก็ทำสำเร็จค่ะ
ถึงลานกางเต้นท์ก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องเต้นท์ที่จองมาจากด้านล่างแล้ว พี่ๆเจ้าหน้าที่ก็น่ารักมากๆเลยค่ะ บริการดี อัธยาศัยดีมาก เหมือนมาเที่ยวบ้านพี่เลยค่ะ แล้วเราก็เดินมาเลือกเต้นท์สำหรับ 2 คนที่จองมา 2 หลัง
พอเห็นเต็นท์เท่านั้นแหละ แบบ ห๊ะ!!!! ยังไงนะ
แต่ยังไม่นอนตอนนี้ เราต้องไปดูพระอาทิตย์ตกกันก่อน ระหว่างทางที่เดินไปเขาพระแม่ย่า พูดเลยว่าแค่อากาศที่ได้สูดเข้าไปก็หายเหนื่อยแล้ว ยิ่งพอได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ให้สายลม แสงแดด ที่ส่องผ่านป่าเขามาโอบกอดตัวเราไว้ แค่นี้ก็คุ้มที่ต้องแบกร่างขึ้นมาแล้วค่ะ ความฟินมันอยู่ตรงนี้แหละ
นี่แหละ เสน่ห์ของที่สูง ที่ทำไมเราถึงต้องไปยืนบนนั้นให้ได้...
(แม้ต้องแบกเป้สิบโลขึ้นไปเองก็ตาม 😂😂😂)
"ว่าอยู่ยิ่งสูงยิ่งเห็น #ยิ่งสูงยิ่งมองได้ไกล
และได้เห็นในมุมมองที่กว้างใหญ่
#เปิดความคิดให้ใจจากสายตา ว่าเราควรยืนมองดู
อยู่เหนือหัวใจแห่งปัญหา และจะเห็นทุกเรื่องราวไม่หนักหนา....
#หมื่นทางตันยังมีทางนึงให้ออกเสมอ...."
Cr. เพลง ที่สูง
คือด้วยความที่กลัวความสูง จะให้ไปยืนตรงนั้นก็ขาสั่น เลยขออนุญาตคนในภาพด้วยนะคะ ขอถ่ายมา ภาพสื่ออารมณ์ได้สุดๆเลยค่ะ
นี่ก็มัวแต่ถ่ายภาพนิ่ง จนพระอาทิตย์ตกแล้วเหลือบเห็น GoPro ที่เอามา ก็แบบ ห๊ะ!!!!! ยังไงนะ
พอเดินกลับมาที่พักด้วยความหมดแรงก็รีบปิ้งหมูกินจะได้รีบอาบน้ำ นอนค่ะ
อยากจะบอกว่าท้องฟ้าคืนนี้ สวยมากกก ดาวเต็มฟ้าเลย แต่หมดแรงที่จะเก็บภาพ ขอเก็บความสวยงามนี้ไว้ในความทรงจำ ขอให้คืนนี้เราหลับฝันดี อากาศดีมากค่ะ ลองจอนกับถุงนอนที่เตรียมมากำลังดีเลย แต่พอจะหลับ เอาแล้วววว ร้าวขามากกกกก นี่กินยาคลายกล้ามเนื้อไปก่อนนอนแล้ว ยังร้าวขนาดนี้ ทรมานมาก เหมือนได้หลับไปแปบเดียว ตี 5 ต้องตื่นแล้ว แต่ขาหายร้าวละก็เดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันค่ะ
ต่อใน comment นะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้