คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เราว่า...สาระสำคัญอยู่ที่การปฏิบัตินะ เช่น ถ้าคุณไปลงเรียนทำอาหาร แล้วเรียนแต่ทฤษฎีคือ จดสูตร ส่วนผสม วิธีทำ ก็แค่รู้ว่าอาหารชนิดนั้นทำยังไง แต่คุณไม่เคยลงมือปฏิบัติเองเลย ถามว่า คุณมั่นใจแค่ไหน ถ้าวันนึงมีแขกมาบ้านและเราอยากทำอาหารชนิดนั้นเลี้ยงแขก มันก็จะไม่มีความมั่นใจเพราะไม่เคยลงมือปฏิบัติจริง ผลออกมาครั้งแรกอาจมีผิดพลาดได้สูง
เหมือนวิชาเกษตร ให้รู้ว่าเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูยังไง ปลูกผักชนิดไหนยังไง แต่ไม่เคยให้ทำจริง ๆ ถามว่าถึงเวลาให้ทำจะทำได้ไหม
เช่นเดียวกับภาษา ต่อให้หลักสูตรเขียนใหม่เขียนดีแค่ไหน ถ้าเรียนแต่ในหนังสือกับจดลงสมุด แต่ไม่เคยปิดสมุดหนังสือแล้วเดินเข้าไปหาฝรั่ง ใช้ในสถานการณ์จริง ๆ ก็ไม่มีวันจะพูดได้เก่งได้ แค่ฝรั่งถามทางก็ฟังเขาไม่ออกแล้ว ตอบเขาก็ไม่ได้ด้วย ทั้ง ๆ ที่ในบทเรียนก็มีเคยเรียนไปแล้ว เก่งแต่แกรมม่าร์สอบได้ 4 ตลอดพูดไม่ได้ สื่อสารไม่เป็นมีเยอะ
บวกกับนิสัยขี้อาย ไม่กล้า กลัวผิด กลัวปล่อยไก่ กลัวขายหน้า กลัวเพื่อนล้อ นำมาซึ่งการขาดความมั่นใจ ยิ่งไปกันใหญ่
ถ้าเราเป็นครูสอนภาษาอังกฤษจะแบ่งสัดส่วนการสอนเป็น 1:3 คือ 1 คาบเรียนทฤษฎี อีก 3 คาบเรียนปฏิบัติ ไม่ต้องใช้สมุดหนังสือ สร้างบรรยากาศการเรียนทั้งในห้องและนอกห้องให้ใช้งานได้จริง เด็กไม่เป็นให้มันรู้ไป
คือโดยสรุป การศึกษาบ้านเรายังทำให้เด็กเก่งภาษาอังกฤษไม่ได้มีอยู่สองส่วนใหญ่ ๆ คือ
1. ตัวผู้สอน รวมถึงหลักการสอน
ซึ่งไม่ทราบว่าผู้สอนในโรงเรียนมีแผนการสอนได้กว้างแค่ไหน หรือต้องสอนภายใต้กรอบที่วางไว้ของโรงเรียนและกระทรวง
2. ตัวเด็กเอง
เด็กบางคนยังขาดความกระตือรือร้น มีให้เรียนแค่ไหนก็เรียนแค่นั้น ไม่หาความรู้เพิ่มเติม ไม่ฝึก ไม่ทบทวน
(ซึ่งถ้าเป็นเด็กเล็ก ผู้ปกครองและครูมีความสำคัญมากในการที่ช่วยผลักดัน ช่วยเพิ่มเติมความรู้นอกห้องเรียนด้วย)
ต้องจำไว้ว่า "ถ้าอ่านมาก จะเขียนได้มาก ถ้าฟังมาก จะพูดได้มากเช่นกัน"
เหมือนวิชาเกษตร ให้รู้ว่าเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูยังไง ปลูกผักชนิดไหนยังไง แต่ไม่เคยให้ทำจริง ๆ ถามว่าถึงเวลาให้ทำจะทำได้ไหม
เช่นเดียวกับภาษา ต่อให้หลักสูตรเขียนใหม่เขียนดีแค่ไหน ถ้าเรียนแต่ในหนังสือกับจดลงสมุด แต่ไม่เคยปิดสมุดหนังสือแล้วเดินเข้าไปหาฝรั่ง ใช้ในสถานการณ์จริง ๆ ก็ไม่มีวันจะพูดได้เก่งได้ แค่ฝรั่งถามทางก็ฟังเขาไม่ออกแล้ว ตอบเขาก็ไม่ได้ด้วย ทั้ง ๆ ที่ในบทเรียนก็มีเคยเรียนไปแล้ว เก่งแต่แกรมม่าร์สอบได้ 4 ตลอดพูดไม่ได้ สื่อสารไม่เป็นมีเยอะ
บวกกับนิสัยขี้อาย ไม่กล้า กลัวผิด กลัวปล่อยไก่ กลัวขายหน้า กลัวเพื่อนล้อ นำมาซึ่งการขาดความมั่นใจ ยิ่งไปกันใหญ่
ถ้าเราเป็นครูสอนภาษาอังกฤษจะแบ่งสัดส่วนการสอนเป็น 1:3 คือ 1 คาบเรียนทฤษฎี อีก 3 คาบเรียนปฏิบัติ ไม่ต้องใช้สมุดหนังสือ สร้างบรรยากาศการเรียนทั้งในห้องและนอกห้องให้ใช้งานได้จริง เด็กไม่เป็นให้มันรู้ไป
คือโดยสรุป การศึกษาบ้านเรายังทำให้เด็กเก่งภาษาอังกฤษไม่ได้มีอยู่สองส่วนใหญ่ ๆ คือ
1. ตัวผู้สอน รวมถึงหลักการสอน
ซึ่งไม่ทราบว่าผู้สอนในโรงเรียนมีแผนการสอนได้กว้างแค่ไหน หรือต้องสอนภายใต้กรอบที่วางไว้ของโรงเรียนและกระทรวง
2. ตัวเด็กเอง
เด็กบางคนยังขาดความกระตือรือร้น มีให้เรียนแค่ไหนก็เรียนแค่นั้น ไม่หาความรู้เพิ่มเติม ไม่ฝึก ไม่ทบทวน
(ซึ่งถ้าเป็นเด็กเล็ก ผู้ปกครองและครูมีความสำคัญมากในการที่ช่วยผลักดัน ช่วยเพิ่มเติมความรู้นอกห้องเรียนด้วย)
ต้องจำไว้ว่า "ถ้าอ่านมาก จะเขียนได้มาก ถ้าฟังมาก จะพูดได้มากเช่นกัน"
แสดงความคิดเห็น
ปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษ