ผ่านมาร่วมสองวันแล้ว แต่ธีร์วราคล้ายยังไม่ตื่นจากฝันเลย
เคาะนิ้วบนโต๊ะทำงานด้วยจังหวะสม่ำเสมอ หัวใจกลับเต้นไม่เป็นส่ำยามคิดถึงเขา พยายามใคร่ครวญจนปวดหัวยังหาทางอธิบายเรื่องคืนนั้นไม่เจอเสียที มันไร้เหตุผล ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนควรทำสักนิด มิหนำซ้ำท่ามกลางอารมณ์เคว้งคว้างกับคำถามที่ไร้คำตอบ ธีร์วราต้องสารภาพอย่างยอมจำนน หล่อนมีความสุข...สุขแทบให้อภัยตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยังไม่ทันสมเพชตัวเองมากกว่านั้นน้องชายหล่อนก็เดินเข้ามาเสียก่อน ธีทัตชะงักเมื่อเจอพี่สาว
“พี่แก้วมานั่งในห้องทำงานผมทำไม”
เลขานุการประจำตัวเขาตามหลังมารายงานขลาดๆ “คุณแก้วรอที่นี่ตั้งนานแล้วค่ะ สั่งหนูไว้ห้ามบอกคุณกายด้วย”
“อย่าโมโหเด็กเลยน่า” แล้วพูดกับพนักงาน “เธอไปเถอะ อย่าลืมที่ฉันสั่งไว้อีกอย่างล่ะ”
เจ้าของห้องหันไปขมวดคิ้วใส่พี่สาว ฝ่ายนั้นเพียงผายมือยังเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานอย่างไม่สะทกสะท้าน ธีทัตจำต้องกระแทกตัวนั่ง
“ถ้าจะมาถึงโรงงานก็ควรโทร. บอกก่อน”
“ขืนบอกแล้วเราจะอยู่ให้พี่เห็นหน้าหรือ”
นับแต่วันที่ทะเลาะกันหนักสองพี่น้องก็ยังไม่ได้คืนดี เมื่อมารดาเริ่มไต่ถามด้วยผิดสังเกต ธีทัตจึงพยายามทำตัวปกติต่อหน้าพวกท่าน ทว่าลับหลังยังมึนตึงเหมือนเดิม วันนี้ก็เช่นกัน เขากอดอกปั้นหน้าบูดแต่ธีร์วราแค่มองเฉยๆ รอจนเลขานุการนำแฟ้มจำนวนหนึ่งมาวางให้
“นี่ค่ะของที่คุณแก้วต้องการ แฟ้มงานซึ่งจะจัดส่งไปให้คุณเซ็นที่บริษัทในวันนี้”
หล่อนพยักหน้าแล้วปล่อยอีกฝ่ายถอยกลับจากห้อง ธีทัตกระฟัดกระเฟียด “แฟ้มนี่ยังไงก็ต้องไปรอพี่ที่สำนักงานอยู่แล้ว จะมาเอาถึงโรงงานทำไม”
“ต้องเสียเวลาขนาดนั้นเพื่ออะไร” หล่อนถือวิสาสะหยิบปากกาจากโต๊ะน้องชายมาเซ็นในช่องผู้มีอำนาจอนุมัติ แล้วส่งคืนเจ้าตัวที่ทำหน้าเหลอหลา
“พี่จะไม่อ่านสักหน่อยรึ”
ธีร์วราขึ้นชื่อลือชาเรื่องความละเอียดรอบคอบ แฟ้มงานส่งไปกว่าหล่อนจะตรวจสอบจนยอมอนุมัติมักต้องเอากลับมาแก้อย่างน้อยก็สักรอบ เป็นสิบรอบยังเคยมีแล้วด้วยซ้ำ
“ถ้าเป็นเรื่องที่ทางโรงงานเสนอไปแสดงว่าต้องผ่านตากายเรียบร้อย พี่จะตรวจซ้ำทำไม ทำอย่างนี้มาสักเดือนแล้วแต่กายไม่ทันสังเกต”
ใช่ หญิงสาวลองง้อด้วยวิธีนี้มาช่วงหนึ่งแต่น้องชายไม่เคยรับรู้ เลยต้องมาทำให้ดูต่อหน้ากันเลย ธีทัตดึงแฟ้มไปพิจารณาด้วยอาการอ้ำอึ้ง หล่อนโน้มตัวใกล้เขา
“เมื่อก่อนพี่ผิดที่ทำเหมือนไม่ไว้ใจเรา ตั้งแต่นี้มันจะไม่เกิดขึ้นอีก ในที่ประชุมอาทิตย์หน้าพี่จะเสนอให้แผนงานทุกอย่างที่กายเป็นคนคุมสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องรอพี่อนุมัติอีกต่อไป แค่ส่งรายงานตามหลังมาก็พอ”
ชายหนุ่มอ้าปากค้าง “นี่มันเปลี่ยนระบบการทำงานนับแต่ก่อตั้งลายหงส์มาเลยนะ บอร์ดจะยอมหรือ”
“ช่วงนี้การเตรียมลายหงส์เข้าตลาดหลักทรัพย์กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย ความพยายามหลายปีของพวกเราใกล้สัมฤทธิ์ผล พี่คงจะยุ่งอีกยาวเลย ต้องแบ่งภาระงานออกไปบ้างถึงจะถูกต้อง พี่จะอธิบายกับบอร์ดเอง”
“พี่แน่ใจแล้วหรือ” ธีทัตย้ำซ้ำซากราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เกิดตรงหน้า
“พี่ต่างหากที่ควรถาม เพราะการปรับเปลี่ยนนี่เท่ากับพี่ผลักภาระซึ่งเกี่ยวข้องกับสายการผลิตไปที่กายคนเดียว เรามั่นใจไหมล่ะว่ารับผิดชอบไหว”
ชายหนุ่มนิ่งคิดพักใหญ่ “ผมจะยอมรับถ้าสามารถเพิ่มทีมที่ปรึกษาได้ อยากยืมตัวอาโยธินกับอีกสองสามคนในบริษัทมาเสริมทัพ”
คนฟังดีใจเมื่อธีทัตไม่ได้รีบรับปาก แต่กลับพยายามทบทวนแล้วเลือกวิธีอย่างรอบคอบ นับว่าน้องชายหล่อนเติบโตทางความคิดขึ้นมาก แต่ชื่อของโยธินซึ่งโผล่ขึ้นในคำขอร้องก็สร้างความหนักใจพอควร ด้วยลูกน้องเก่าแก่คนนี้แหละที่คอยผลักดันให้ธีทัตตัดสินใจขโมยไอเดียอมรา
แต่มองอีกแง่ โยธินถือหางฝ่ายธีทัตมาโดยตลอด ดังนั้นถ้าน้องชายหล่อนคอยสนับสนุนเขา โยธินคงไม่มีวันทรยศและยินดีช่วยเหลือทุกวิถีทาง เป็นฐานอำนาจให้ธีทัตในลายหงส์ต่อไป เพราะอนาคตหล่อนอาจไม่อยู่เป็นแขนขาให้น้องชายอีกแล้ว...
ธีร์วรารีบพูดก่อนจะเผลอถอนใจ “เอาตามที่กายต้องการเลย เตรียมเสนอเรื่องนี้ในที่ประชุมด้วยล่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มหน้าบาน “ใกล้เที่ยงพอดี อยู่กินข้าวกันก่อนนะพี่แก้ว”
ธีทัตคงอยากเลี้ยงฉลองการกลับมาคืนดีของพี่น้อง เสียดายธีร์วราจำต้องปฏิเสธด้วยมีนัดหมายล่วงหน้า จึงได้แต่หลบตาน้องชายอย่างมีพิรุธพลางรีบขอตัว
*****
แดดใกล้โรยสาดแสงสะท้อนผิวน้ำย้อมสีส้มไปทั้งผืน ธารใสไหวระลอกทอดยาวตามโค้งราวไม่มีที่สิ้นสุด ผิวน้ำอยู่ใกล้จนธีร์วราแทบโน้มตัวลงแตะถึง หล่อนชะโงกหน้ามองอย่างเผลอไผล เงาในน้ำเป็นภาพหญิงสาวผมยาวดัดลอนคลาย สวมเสื้อเชิ้ตไร้ปกตัวหลวม แต่งหน้าบางๆ แทบไม่เหลือเค้าผู้หญิงทำงานเมื่อเช้า แล้วพลันมีเงาร่างสูงโปร่งขยับมาทาบหลังเงาหล่อน ต่างยิ้มให้กันบนผิวน้ำ
สุเมธเกาะราวระเบียงบนโป๊ะที่ยืนอยู่ เป็นส่วนหนึ่งของร้านอาหารที่พาหญิงสาวมาในวันนี้ พลางชี้มือสุดแขน “เลยคุ้งน้ำทางโน้นไปอีกชั่วโมงก็จะเริ่มออกอ่าวแล้วครับ ผมลอยอังคารแม่ที่นั่น”
“เก็บอัฐิท่านไว้บ้างไหมคะ”
“ไม่ครับ แม่เคยสั่งไว้ว่าไม่ต้อง” เขายกยิ้มบางๆ “คุณแม่ท่านเป็นคนอย่างนี้แหละครับ ไม่ยึดติดกับอะไรนานโดยเฉพาะความเศร้า แม่ว่าจะเอามาถ่วงชีวิตไว้ทำไม ถ้าล้มลงเพราะปัญหาท่านจะรีบลุกขึ้นสู้ทุกครั้ง ทำให้ผมเห็นมาแต่เด็ก...แล้วมันก็ช่วยพยุงผมไว้ในเวลานี้”
“พอฟังคุณก็ชักเสียดายที่ไม่มีโอกาสรู้จักน้าชมนาดอีกแล้ว” หญิงสาวก้มมองช่อดอกไม้ในมือ เป็นกล้วยไม้แวนด้าม่วงแต้มขาว แซมเดซี่ตรงนู้นตรงนี้ล้อมกลุ่มดอกไม้ปลายกลีบแหลมส่งกลิ่นหอมระรวย...ดอกชมนาด
หล่อนปล่อยมือให้ช่อดอกไม้ร่วงแตะผิวน้ำ ลอยเอื่อยตามคลื่นเล็กๆ ซึ่งโอบล้อมประคองไว้จนลับสายตา “ขอโทษนะคะน้าชมนาด ที่หนูไม่ได้ไปงานศพ”
“อย่าคิดมากเลยครับ ถ้าแม่ทราบเหตุผลต้องเข้าใจคุณ”
ธีร์วราทอดสายตาสานสบกับเขาผ่านเงาในน้ำ “บางทีถ้าท่านไม่ทราบ...อาจดีกว่านะคะ”
ชายหนุ่มนิ่งงัน ช่วงนั้นลมพลันพัดกระโชกแรง สุเมธรีบใช้มือที่เหลือจับราวโป๊ะข้างกายหญิงสาวเพื่อเอาตัวบังลมให้ ริมฝีปากกระซิบข้างหู “เข้าร้านเถอะครับ ลมมันแรง”
ในที่สุดธีร์วราก็ยอมหมุนกายเผชิญหน้าเขาตรงๆ ใกล้จนเห็นเงาเขาสะท้อนบนนัยน์ตาคู่งาม สุเมธชอบมองมันได้ทั้งวี่ทั้งวัน แม้แต่ตอนที่เงาผู้ชายนั่นยิ้มไม่หุบเหมือนคนปัญญาอ่อน...ก็ยังชอบ
“บอกผมหน่อยสิว่าคุณไม่ใช่ความฝัน”
“ฉันคงบอกไม่ได้หรอกค่ะ แต่พอรู้ว่าคนเราคงยากจะฝันทั้งที่ยังลืมตาอยู่”
“ผมกำลังฝันดีแน่ๆ เชื่อเถอะ เพราะสำหรับผม...คุณเคยเป็นคนที่สุดเอื้อมมือคว้า อยู่สูงซะยิ่งกว่าเจ้าหญิงสักองค์เสียอีก”
สุเมธยังจับราวระเบียงซ้ายขวาจึงเหมือนโอบหล่อนไว้กลายๆ วันนี้เขาสวมเสื้อยืดกางเกงพอดีเข่า ผมไม่ได้ใส่เจลเลยถูกลมตีกระจายแถมแยงเข้าตาเสียด้วย แต่เขาแค่หยีตาสู้ ยังคงยืนกั้นลมให้หล่อนเช่นเดิม หญิงสาวอมยิ้ม เอื้อมมือสางผมยุ่งเหยิงอย่างประณีต
“จะว่าไปฉันอยากทำอย่างนี้ให้มาหลายครั้งแล้วนะ”
เขาก้มหัวเพื่อให้หล่อนสางผมง่ายขึ้น ดวงตาคมกริบจึงยิ่งแนบชิดจนลมหายใจสะดุด
“ส่วนผมก็อยากทำสักอย่างกับคุณเหมือนกัน...แต่ดันทำตรงนี้ไม่ได้”
ธีร์วราขึงตา ชกอกพ่อตัวดีเบาๆ เสียงหัวเราะของเขาฟังได้ไม่รู้เบื่อ ความตื้อตันเอ่อท้นจนแปลบใจ หล่อนก็ช่างไร้เดียงสาที่เคยหลอกตัวเองว่าสักวันจะลืมเขาสำเร็จ
หรือมีเพียงความไร้เดียงสา จึงสามารถตักตวงความสุขบนช่วงเวลาเช่นนี้...
*****
คู่เล่ห์เคียงรัก ตอนที่ 23
เคาะนิ้วบนโต๊ะทำงานด้วยจังหวะสม่ำเสมอ หัวใจกลับเต้นไม่เป็นส่ำยามคิดถึงเขา พยายามใคร่ครวญจนปวดหัวยังหาทางอธิบายเรื่องคืนนั้นไม่เจอเสียที มันไร้เหตุผล ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนควรทำสักนิด มิหนำซ้ำท่ามกลางอารมณ์เคว้งคว้างกับคำถามที่ไร้คำตอบ ธีร์วราต้องสารภาพอย่างยอมจำนน หล่อนมีความสุข...สุขแทบให้อภัยตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยังไม่ทันสมเพชตัวเองมากกว่านั้นน้องชายหล่อนก็เดินเข้ามาเสียก่อน ธีทัตชะงักเมื่อเจอพี่สาว
“พี่แก้วมานั่งในห้องทำงานผมทำไม”
เลขานุการประจำตัวเขาตามหลังมารายงานขลาดๆ “คุณแก้วรอที่นี่ตั้งนานแล้วค่ะ สั่งหนูไว้ห้ามบอกคุณกายด้วย”
“อย่าโมโหเด็กเลยน่า” แล้วพูดกับพนักงาน “เธอไปเถอะ อย่าลืมที่ฉันสั่งไว้อีกอย่างล่ะ”
เจ้าของห้องหันไปขมวดคิ้วใส่พี่สาว ฝ่ายนั้นเพียงผายมือยังเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานอย่างไม่สะทกสะท้าน ธีทัตจำต้องกระแทกตัวนั่ง
“ถ้าจะมาถึงโรงงานก็ควรโทร. บอกก่อน”
“ขืนบอกแล้วเราจะอยู่ให้พี่เห็นหน้าหรือ”
นับแต่วันที่ทะเลาะกันหนักสองพี่น้องก็ยังไม่ได้คืนดี เมื่อมารดาเริ่มไต่ถามด้วยผิดสังเกต ธีทัตจึงพยายามทำตัวปกติต่อหน้าพวกท่าน ทว่าลับหลังยังมึนตึงเหมือนเดิม วันนี้ก็เช่นกัน เขากอดอกปั้นหน้าบูดแต่ธีร์วราแค่มองเฉยๆ รอจนเลขานุการนำแฟ้มจำนวนหนึ่งมาวางให้
“นี่ค่ะของที่คุณแก้วต้องการ แฟ้มงานซึ่งจะจัดส่งไปให้คุณเซ็นที่บริษัทในวันนี้”
หล่อนพยักหน้าแล้วปล่อยอีกฝ่ายถอยกลับจากห้อง ธีทัตกระฟัดกระเฟียด “แฟ้มนี่ยังไงก็ต้องไปรอพี่ที่สำนักงานอยู่แล้ว จะมาเอาถึงโรงงานทำไม”
“ต้องเสียเวลาขนาดนั้นเพื่ออะไร” หล่อนถือวิสาสะหยิบปากกาจากโต๊ะน้องชายมาเซ็นในช่องผู้มีอำนาจอนุมัติ แล้วส่งคืนเจ้าตัวที่ทำหน้าเหลอหลา
“พี่จะไม่อ่านสักหน่อยรึ”
ธีร์วราขึ้นชื่อลือชาเรื่องความละเอียดรอบคอบ แฟ้มงานส่งไปกว่าหล่อนจะตรวจสอบจนยอมอนุมัติมักต้องเอากลับมาแก้อย่างน้อยก็สักรอบ เป็นสิบรอบยังเคยมีแล้วด้วยซ้ำ
“ถ้าเป็นเรื่องที่ทางโรงงานเสนอไปแสดงว่าต้องผ่านตากายเรียบร้อย พี่จะตรวจซ้ำทำไม ทำอย่างนี้มาสักเดือนแล้วแต่กายไม่ทันสังเกต”
ใช่ หญิงสาวลองง้อด้วยวิธีนี้มาช่วงหนึ่งแต่น้องชายไม่เคยรับรู้ เลยต้องมาทำให้ดูต่อหน้ากันเลย ธีทัตดึงแฟ้มไปพิจารณาด้วยอาการอ้ำอึ้ง หล่อนโน้มตัวใกล้เขา
“เมื่อก่อนพี่ผิดที่ทำเหมือนไม่ไว้ใจเรา ตั้งแต่นี้มันจะไม่เกิดขึ้นอีก ในที่ประชุมอาทิตย์หน้าพี่จะเสนอให้แผนงานทุกอย่างที่กายเป็นคนคุมสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องรอพี่อนุมัติอีกต่อไป แค่ส่งรายงานตามหลังมาก็พอ”
ชายหนุ่มอ้าปากค้าง “นี่มันเปลี่ยนระบบการทำงานนับแต่ก่อตั้งลายหงส์มาเลยนะ บอร์ดจะยอมหรือ”
“ช่วงนี้การเตรียมลายหงส์เข้าตลาดหลักทรัพย์กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้าย ความพยายามหลายปีของพวกเราใกล้สัมฤทธิ์ผล พี่คงจะยุ่งอีกยาวเลย ต้องแบ่งภาระงานออกไปบ้างถึงจะถูกต้อง พี่จะอธิบายกับบอร์ดเอง”
“พี่แน่ใจแล้วหรือ” ธีทัตย้ำซ้ำซากราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เกิดตรงหน้า
“พี่ต่างหากที่ควรถาม เพราะการปรับเปลี่ยนนี่เท่ากับพี่ผลักภาระซึ่งเกี่ยวข้องกับสายการผลิตไปที่กายคนเดียว เรามั่นใจไหมล่ะว่ารับผิดชอบไหว”
ชายหนุ่มนิ่งคิดพักใหญ่ “ผมจะยอมรับถ้าสามารถเพิ่มทีมที่ปรึกษาได้ อยากยืมตัวอาโยธินกับอีกสองสามคนในบริษัทมาเสริมทัพ”
คนฟังดีใจเมื่อธีทัตไม่ได้รีบรับปาก แต่กลับพยายามทบทวนแล้วเลือกวิธีอย่างรอบคอบ นับว่าน้องชายหล่อนเติบโตทางความคิดขึ้นมาก แต่ชื่อของโยธินซึ่งโผล่ขึ้นในคำขอร้องก็สร้างความหนักใจพอควร ด้วยลูกน้องเก่าแก่คนนี้แหละที่คอยผลักดันให้ธีทัตตัดสินใจขโมยไอเดียอมรา
แต่มองอีกแง่ โยธินถือหางฝ่ายธีทัตมาโดยตลอด ดังนั้นถ้าน้องชายหล่อนคอยสนับสนุนเขา โยธินคงไม่มีวันทรยศและยินดีช่วยเหลือทุกวิถีทาง เป็นฐานอำนาจให้ธีทัตในลายหงส์ต่อไป เพราะอนาคตหล่อนอาจไม่อยู่เป็นแขนขาให้น้องชายอีกแล้ว...
ธีร์วรารีบพูดก่อนจะเผลอถอนใจ “เอาตามที่กายต้องการเลย เตรียมเสนอเรื่องนี้ในที่ประชุมด้วยล่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มหน้าบาน “ใกล้เที่ยงพอดี อยู่กินข้าวกันก่อนนะพี่แก้ว”
ธีทัตคงอยากเลี้ยงฉลองการกลับมาคืนดีของพี่น้อง เสียดายธีร์วราจำต้องปฏิเสธด้วยมีนัดหมายล่วงหน้า จึงได้แต่หลบตาน้องชายอย่างมีพิรุธพลางรีบขอตัว
*****
แดดใกล้โรยสาดแสงสะท้อนผิวน้ำย้อมสีส้มไปทั้งผืน ธารใสไหวระลอกทอดยาวตามโค้งราวไม่มีที่สิ้นสุด ผิวน้ำอยู่ใกล้จนธีร์วราแทบโน้มตัวลงแตะถึง หล่อนชะโงกหน้ามองอย่างเผลอไผล เงาในน้ำเป็นภาพหญิงสาวผมยาวดัดลอนคลาย สวมเสื้อเชิ้ตไร้ปกตัวหลวม แต่งหน้าบางๆ แทบไม่เหลือเค้าผู้หญิงทำงานเมื่อเช้า แล้วพลันมีเงาร่างสูงโปร่งขยับมาทาบหลังเงาหล่อน ต่างยิ้มให้กันบนผิวน้ำ
สุเมธเกาะราวระเบียงบนโป๊ะที่ยืนอยู่ เป็นส่วนหนึ่งของร้านอาหารที่พาหญิงสาวมาในวันนี้ พลางชี้มือสุดแขน “เลยคุ้งน้ำทางโน้นไปอีกชั่วโมงก็จะเริ่มออกอ่าวแล้วครับ ผมลอยอังคารแม่ที่นั่น”
“เก็บอัฐิท่านไว้บ้างไหมคะ”
“ไม่ครับ แม่เคยสั่งไว้ว่าไม่ต้อง” เขายกยิ้มบางๆ “คุณแม่ท่านเป็นคนอย่างนี้แหละครับ ไม่ยึดติดกับอะไรนานโดยเฉพาะความเศร้า แม่ว่าจะเอามาถ่วงชีวิตไว้ทำไม ถ้าล้มลงเพราะปัญหาท่านจะรีบลุกขึ้นสู้ทุกครั้ง ทำให้ผมเห็นมาแต่เด็ก...แล้วมันก็ช่วยพยุงผมไว้ในเวลานี้”
“พอฟังคุณก็ชักเสียดายที่ไม่มีโอกาสรู้จักน้าชมนาดอีกแล้ว” หญิงสาวก้มมองช่อดอกไม้ในมือ เป็นกล้วยไม้แวนด้าม่วงแต้มขาว แซมเดซี่ตรงนู้นตรงนี้ล้อมกลุ่มดอกไม้ปลายกลีบแหลมส่งกลิ่นหอมระรวย...ดอกชมนาด
หล่อนปล่อยมือให้ช่อดอกไม้ร่วงแตะผิวน้ำ ลอยเอื่อยตามคลื่นเล็กๆ ซึ่งโอบล้อมประคองไว้จนลับสายตา “ขอโทษนะคะน้าชมนาด ที่หนูไม่ได้ไปงานศพ”
“อย่าคิดมากเลยครับ ถ้าแม่ทราบเหตุผลต้องเข้าใจคุณ”
ธีร์วราทอดสายตาสานสบกับเขาผ่านเงาในน้ำ “บางทีถ้าท่านไม่ทราบ...อาจดีกว่านะคะ”
ชายหนุ่มนิ่งงัน ช่วงนั้นลมพลันพัดกระโชกแรง สุเมธรีบใช้มือที่เหลือจับราวโป๊ะข้างกายหญิงสาวเพื่อเอาตัวบังลมให้ ริมฝีปากกระซิบข้างหู “เข้าร้านเถอะครับ ลมมันแรง”
ในที่สุดธีร์วราก็ยอมหมุนกายเผชิญหน้าเขาตรงๆ ใกล้จนเห็นเงาเขาสะท้อนบนนัยน์ตาคู่งาม สุเมธชอบมองมันได้ทั้งวี่ทั้งวัน แม้แต่ตอนที่เงาผู้ชายนั่นยิ้มไม่หุบเหมือนคนปัญญาอ่อน...ก็ยังชอบ
“บอกผมหน่อยสิว่าคุณไม่ใช่ความฝัน”
“ฉันคงบอกไม่ได้หรอกค่ะ แต่พอรู้ว่าคนเราคงยากจะฝันทั้งที่ยังลืมตาอยู่”
“ผมกำลังฝันดีแน่ๆ เชื่อเถอะ เพราะสำหรับผม...คุณเคยเป็นคนที่สุดเอื้อมมือคว้า อยู่สูงซะยิ่งกว่าเจ้าหญิงสักองค์เสียอีก”
สุเมธยังจับราวระเบียงซ้ายขวาจึงเหมือนโอบหล่อนไว้กลายๆ วันนี้เขาสวมเสื้อยืดกางเกงพอดีเข่า ผมไม่ได้ใส่เจลเลยถูกลมตีกระจายแถมแยงเข้าตาเสียด้วย แต่เขาแค่หยีตาสู้ ยังคงยืนกั้นลมให้หล่อนเช่นเดิม หญิงสาวอมยิ้ม เอื้อมมือสางผมยุ่งเหยิงอย่างประณีต
“จะว่าไปฉันอยากทำอย่างนี้ให้มาหลายครั้งแล้วนะ”
เขาก้มหัวเพื่อให้หล่อนสางผมง่ายขึ้น ดวงตาคมกริบจึงยิ่งแนบชิดจนลมหายใจสะดุด
“ส่วนผมก็อยากทำสักอย่างกับคุณเหมือนกัน...แต่ดันทำตรงนี้ไม่ได้”
ธีร์วราขึงตา ชกอกพ่อตัวดีเบาๆ เสียงหัวเราะของเขาฟังได้ไม่รู้เบื่อ ความตื้อตันเอ่อท้นจนแปลบใจ หล่อนก็ช่างไร้เดียงสาที่เคยหลอกตัวเองว่าสักวันจะลืมเขาสำเร็จ
หรือมีเพียงความไร้เดียงสา จึงสามารถตักตวงความสุขบนช่วงเวลาเช่นนี้...
*****