จากกระทู้ 11 เรื่องน่า งง บนเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน
ก่อนอื่นต้องขอบคุณหลายๆ ท่านที่เข้ามาให้ความรู้และแชร์ข้อมูลกันแบบสนุกสนาน ครับ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน ก็ตามนี้เลยสำหรับภาค 1
>>>>
https://m.pantip.com/topic/38124662?

ผมขอต่อเรื่องที่ติดค้าง ซึ่งในภาคที่ 2 คือ เรื่องสาระและประสบการณ์ใหม่ๆ ในทางที่เป็นบทเรียน
ฟังหัวเรื่องอาจจะดูแปลกๆ ว่ามีบทเรียนในการท่องเที่ยวด้วยหรอ คำตอบคือ ใช่ครับ มีเป็นบทเรียนที่แทบจะเหมือนกับการไปนั่งเรียน แล้วมีอาจารย์มาบรรยายกันเลยทีเดียว
ในส่วนของการทัวร์จีนนั้น คุณสมศรีของเราเจ้าเดิม ได้ย้ำเสมอว่าที่ บริษัทฯทัวร์ของไทยสามารถดึงราคาของทัวร์ลงมากได้นั้นเป็นเพราะทาง รัฐบาลของจีนเป็นผู้สนับสนุนเงินดังกล่าวโดยมีข้อแลกเปลียนคือ เมื่อมีการจัด Group Tour มาที่จีนนั้น จะมีการบังคับให้ทางทัวร์พา ลูกทัวร์ในคณะไปยังสถานที่ต่างๆ 3 ทีคือ 1. โรงงานหยก 2. โรงงานสมุนไพร และ 3. โรงงานหิน (ยางพารา)
1. โรงงานหยก
ใช่แล้วครับ หยก คือ หยกเป็นหยกสีเขียวๆ ที่เราเห็นขายกันที่เยาวราชเนี่ยแหละครับ แต่ทางจีนเค้าบอกว่าหยกของเค้ามีคุณภาพดีกว่า และที่สำคัญคือที่ร้านเค้าเป็นของแท้ 100%
โดย บรรยากาศในการพาเข้าร้านแบบว่า ไม่เคยพบเจอที่ไหน ในประเทศไทยครับ เรียกได้ว่าออกแบบมาดีมาก ไม่ได้มีแค่หยก นะครับ ทอง จี้ แหวน ของประดับต่างๆ เพียบ เหมาะสำหรับการการะชากเงินหยวนออกจากกระเป๋าเราทีเดียว น่าแปลกที่ร้านห้ามถ่ายรูป 100%

จริงแอบถ่ายมาได้ 1 ภาพ ก่อนเข้าจะห้ามครับ เลยขออนุญาตปิดบังใบหน้า 555
Step ที่ 1 คือ สวยงาม : มีการพาชม ในห้องใหญ่ๆ แอร์เย็นๆ พนักงานใส่สูท ดูดีทุกคน ลักษณะห้องคล้ายๆ พิพิธภัณฑ์ โชว์หยก ไม่มีการขายใดๆ ทั้งสิ้นครับสำหรับห้องนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของหยก ว่ามีกี่สี ส่วนใหญ่มาจากเมืองอะไร และเค้าก็ชี้แจงว่า ร้านเค้าเป็นร้านที่สนับสนุนจัดทำเหรียญ รางวัลทั้งหมดที่มอบให้กับนักกีฬา ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่ประเทศจีน ในปี 2008 โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ หลังจากทำเหรียญให้ ทางรัฐบาลจีนต้องส่งมอบคณะทัวร์ ให้เข้ามาเยี่ยมชมทางร้านตลอด เป็นข้อแลกเปลี่ยน (เป็นข้อตกลงที่ Win-Win มาก)
Step ที่ 2 คือ เรื่องราว : หลังจากนั้น ก็จะมีทีมงานที่พูดภาษาไทยได้แบบชัดเจนมาก พาเข้าไปให้ห้องที่เหมือนห้องรับแขกมีเก้าอี้ เหมือนห้องประชุมมีโต๊ะกลางใหญ่ๆ รองรับคนได้ประมาณ 20-30 คน (ซึ่งหลังจากออกจากห้องนี้พบว่ามีห้องแบบเดียวกันนี้อีกถึงประมาณ 5-6 ห้อง) พอเข้ามากันครบก็แจกน้ำชาร้อน ที่หอมมาก (น้ำชามีถ้าขายนี่ผมซื้อไปแล้ว) แล้วก็มาสอนวิธีการดูหยกแท้ หรือปลอม (ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดเรื่องการดูหยก เรื่องวิธีการดูหยกแท้นะ เพราะเข้าใจว่าคงไม่มีใครอยากอ่าน .......เปล่าหรอกครับ จริงๆ คือผมจำไม่ได้ เลยไม่รู้จะเขียนอะไร) มาต่อเรื่องของเราใน Step นี้จะจบด้วยประโยคของพนักงานที่พูดไทยชัดเจนว่า มีพนักงานเดินมากระซิบข้างๆ หู แล้วเค้าบอกกับพวกเราว่าพวกเราโชคดี มากที่วันนี้เจ้าของร้านอยู่และมีโอกาสจะมาหาพวกเราที่ห้อง.......
Step ที่ 3 คือ หลอกล่อ : นั่นแหละครับ ผมเชื่อว่ามาถึงตรงนี้หลายๆ ท่านคงพอเดา หรือพอได้อ่านเรื่องราวอย่างนี้มาบ้างแลัว แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ละขอเล่าต่อเลย
หลังจากที่ เป็นความโชคดีของพวกผม ได้มีโอกาศได้พบกับเจ้าของร้านหยก ซึ่งภาพของเจ้าของร้านเป็นคนจีน 100% รูปร่างหน้าตา คล้ายๆ เศรษฐีเจ้าของธุรกิจ ร้านค้าปลีก ยักษ์ใหญ่ เบอร์ 1 ของไทย เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือมาก ซึ่งพูดได้แต่ภาษาไทย โดยมีพี่คนที่สอนคัดเลือกหยกคอยแปลให้ อย่างประโยคต่อประโยค
เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเอง ชื่อ แซ่ ที่อยู่ บลาๆๆ ด้วยสีหน้า แววตาที่ดูมีความสุขมาก และเข้าเรื่องราวของ ชื่อ Step คือ บอกว่า วันนี้เป็นวันที่เค้ามีความสุขมากวันหนึ่งของชีวิต แล้วก็ให้เดาว่าวันนี้เป็นวันอะไร ก็มีหลายๆ คนตอบ ทั้งวันเกิด วันครบรอบการเปิดร้าน วันครบรอบแต่งงาน คำตอบคือไม่ทั้งหมด ซึ่งเฉลยก็คือวันนี้เป็นวันเกิดของลูกเค้า ซึ่งเป็นลูกคนแรก แถมยังเป็นผู้ชายด้วย (ในสังคมจีนคนส่วนใหญ่อยากได้ลูกชาย) เจ้าของร้านเลยบอกว่าเป็นวันที่มีความสุขมาก ขอเรียญเชิญพวกเราไปแสดงความยินดีกับงานเลี้ยงรอบรับ ลูกชายของเค้าที่บ้าน มีใครไปไหม (ลองเป็นที่ไทยดิผมจะโบก Grap ไปเลย) ซึ่งก็ไม่มีใครไปร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าของร้าน นั่นก็เป็นเพราะพวกผมมาทัวร์ครับพี่ จะให้พวกผมไปไหนได้ พูดก็ไม่เป็น จะไปไหนได้ครับพี่ 555 ทางพี่เจ้าของร้านก็เลยมอบสิทธิเศษให้ักับพวกเรา น่ั่นคือ นามบัตร ที่ใช้สำหรับเข้างานที่เค้าจะมาจัดที่ พารากอน ได้แบบฟรีๆ กับอีก 1 สิทธิพิเศษอีกอย่าง อยากรู้ว่าคืออะไรต้องตามไปที่ Step ต่อไป
Step ที่ 4 คือ แจกทอง : ทอง!!! ใช่ครับ ทองคำ นั่นแหละครับ แต่เป็นทองที่เป็นจี้ เล็กๆ เค้าบอกว่ามีส่วนผสมของทำคำแท้อยู่ด้วย เป็นยังไงละครับ การค้าของจีนมีการเหวี่ยงแห่ ขนาดไหน หลังจากที่ทุกคนตื่นเต้นกับการได้ทองกันแบบ 1 คน 1 ชิ้น เสมือนกับมีการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ภาพในหัวที่เคยอ่านเรื่องประมาณนีใน Pantip ก่อนที่จะมาก็วิ่งเข้ามาในหัวทันที ไม่คิดว่าจะเจอแบบชัดเจนกับตัวเองตรงขนาดนี้ 5555
Step ที่ 5: และแล้วก็มาถึงช่วงที่เป็นสิ่งที่รอคอยมาตลอดตั้งแต่ Step ที่ 1 ว่าจะจบเรื่องการขายยังไง สรุปก็คือการส่งต่อ โดยเจ้าของร้าน บอกว่า ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันที่เค้ามีความสุขสุดๆ จากการที่เป็นวันเกิดของลูกชายคนแรก ของเค้าไปแล้วนั้น เค้าจะขอมอบส่วนลด และการดูแลเป็นพิเศษให้กับทุกท่านในห้องนี้ หลังจากนี้ก็จะมีเจ้าหน้าที่พาไปที่ห้องอีกห้องหนึ่ง ที่มีลักษณะแบบ ขายของสุดๆ มีตู้โชว์สวยงามมี ไฟตกแต่งให้ดูแบบแพง พร้อมกับการยืนเรียงรายของพนักงานขายรูปร่างหน้าตาดีที่พูดภาษาไทยได้ทุกคน ส่วนเรื่องราคา ไม่ต้องพูดถึงครับ ราคาป้ายนี่แบบ จะเขียนมาเพื่อ !!!!! ยกตัวอย่าง เช่นหยก ราคาป้าย 7,000 หยวน แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดลูกชายเจ้าของร้าน ทางร้านเลยมีส่วนลดพิเศษให้ ราคาจึงลงมาอยู่ที่ 2,000 หยวน เรียกได้ว่าลดลงกว่า 70% พระเจ้า+++ ถามว่าผมได้ซื้ออะไรไหม ตอบเลย ไม่ครับ 5555
นี่แหละครับหน้าตาของของที่แจกฟรี

มีการใส่ห่อ ที่ดูดีเป็นอย่างมาก

นี่คือดานในครับ ซึ่งก็สวยอยู่ไม่น้อย
จากสถานที่แรกของสถานที่ๆ ทางรัฐบาลบังคับให้ไป ต่อกันด้วยร้านยาสมุนไพร ครับ
2. โรงงานสมุนไพร
โรงงานสมุนไพรในที่นี้คือ เป็นลักษณะคล้ายๆ กับกำยาน ที่เหมือนบุหรี่แท่งใหญ่ๆ เป็นการรักษาของชนชั้นสูง ที่ขุนนางหรือฮองเต้ใช้ในสมัยโบราณ
Step ที่ 1 คือ สวยงาม : เหมือนเดิมครับ ลักษณะของร้านจะมีความจริงจัง ออกแนวย้อนยุคโบราณๆ คล้ายๆ หนังจีนกำลังภายใน มีเจ้าหน้าที่บรรยายใส่ชุดกาว ที่พยายามมีบุคลิกให้เหมือนหมอ หรือผู้ที่ทำงานทางด้านการแพทย์ เข้ามาตอนรับแต่ไม่มีการขายแต่อย่างไรในห้องแรกๆ
Step ที่ 2 คือ เรื่องราว : หลังจากห้องแรกก็พาเข้าห้องต่อไปที่มีบรรยากาศคล้ายๆ กับห้องเรียนมีคนใส่เสื้อกาวน์มาพูดหน้าห้อง พูดสั้นๆ ประมาณว่าถือเป็นโอกาสดีที่ทุกคนได้มาที่นี่ใครอยากตรวจสุขภาพบ้าง ผมนี่อยากลองของยกมือเลยครับ
Step ที่ 3 คือ หลอกล่อ : หลังจากยกมือก็มีเจ้าหน้าที่พาผมและครอบครัว ไปที่อีกห้องเป็นห้องเล็กๆ ขนาดนั่งได้ไม่เกิน 5 คน มีคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง 1 คนกับล่ามที่คอยแปลทุกคำพูดอีก 1 คนกับเตียงนอน 1 เตียง เริ่มบทสนทนา ใครอยากตรวจสุขภาพบ้าง ผมก็อาสาก่อนเลย ทางคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิงก็ไม่รอช้า นำนิ้วมาจับชีพจรของผมที่ตรงข้อพับเสมือนหนึ่งเข้าไปนั่งในโรงพยาบาลตามหนังจีนกำลังภายในยังไง อย่างนั้น นึกในใจ เอาซิจะเจออะไรไหม เพราะมั่นใจตัวเองมากว่าแข็งแรง ปราศจากโรคภัย หลังจากจับชีพจรไปประมาณครึ่งนาที คนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิงก็พูดภาษาจีนออกมาและมีล่ามแปลให้ว่า ร่างกายโดยรวมก็ไม่มีอะไรนะ แต่ที่อย่างให้ระวังคือเรื่องกระเพาะปัสวะ ผมก็ถามเลยว่าต้องทำยังไงครับ
Step ที่ 4 คือ ขายของ : หลังจากประโยค ต้องทำยังไงครับ นี่งานขายมา เลยครับ ทางคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง ก็บอกเลยว่าให้ซื้อยาจีน ไปต้มกิน เหมือนยาต้มของจีน ผมก็ถามไปว่า เท่าไร คนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิงก็เลยเอากระดาษที่เตรียมไว้ข้างโต๊ะ กับดินสอ เขียนเป็นเลขอาราบิกว่า 3,000 บาท และก็มีขีดฆ่า ว่าเหลือ 1,500 บาท โดยในระหว่างนั้นก็มีทางล่ามคอยแปลให้ว่า จริงๆ เราขาย 3,000 บาท แต่มีโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าชาวไทย ลดเหลือ 1,500 บาท 5555 ผมนี่ลั่นในใจเลยครับ เลยถามต่อว่าแล้วกินได้กี่เดือน คนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง บอกว่ากินได้ 1 เดือน ซึ่งถ้าอยากกินให้เห็นผลต้องกิน 3 เดือน ก็เขียนลงในกระดาษบนโต๊ะเป็นเลขอาราบิก อีกว่า 1,500 * 3 = 4,500 แต่เค้าก็ขีดฆ่าที่ 4,500 แล้วเขียน 3,000 ไว้ข้างๆ อีกแล้ว พระเจ้า!!!!!!! ลดแบบยังไม่ต่อ 5555 ขำเบาๆ แล้วบอกว่ายังไม่ซื้อ ตามภาษาคนตรงๆ (ซึ่งเตรียมกับแฟนไว้แล้ว่าอยากลองของไม่ซื้อหรอกครับ) ซึ่งคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง ก็แอบบส่ายหัวเบาๆ
หลังจากนนั้นทางคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง ก็ถามต่อว่ามีใครอยากตรววจอีกไหม แม่ผม อายุประมาณ 65 ก็ยกมือเลย (ซึ่งไม่ได้เตรียมไว้) คนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง ก็ใช้วิธีการเดิมเลยคือ เอาข้อมือไปจับชีพจร ประมาณ 30 วินาที ก็บอกผ่านล่ามมาหลายโรค หลาย อาการเลย ซึ่งหลักใหญ่ๆ ก็คือ อาหารปวดเมื่อย ตามร่างกาย ข้อเข่า ข้อผับต่างๆ (ผมนี่แอบนึกในใจว่า

เอ่ย ทักมาถูกจุดเลย คนอายุเกิน 60 มีใครบ้างไม่ปวดเมื่อย) แม่ผมก็เลยถามไปต่อว่า ต้องรักษายังไง ซึ่งคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิงก็ตอบอย่างไวว่า ต้องกิน ยาจีน แบบเดียวกับที่ผมกินซึ่งก็งงอยู่ว่า เฮ้ยนี่มัน พาราเซตามอน บ้านเรานี่หว่า ยาครอบจักรวาล ชัดๆ แม่ก็เลยหันหน้ามาถามทางผม แล้วบอกว่าไม่เป็นไรที่เมืองไทยก็มี คนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง ก็พูดผ่านว่าล่ามว่า ของที่เมืองไทย ไม่ดีสู้ที่นี่ไม่ได้ แม่ก็เลยบอกว่ายังไม่รับอะค่ะ อีคนที่แต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง (ขออนุญาติไม่สุภาพ 1 คำ) พูดกลับว่า ร่างกายเรา เราไม่รู้จักดูแล มีลูกๆ ก็ไม่ดูแลอีก แล้วก็ถอนหายใจและวางดินสอที่ใช้เขียนตัวเลข กับโต๊ะอย่างแรงดัง ปั๊งงง!!!!!
ผมกับครอบครัวก็เลยเดินออกจากห้อง ไปที่ประตูทางออกทันที ซึ่งเหมือนเดิมครับ มีห้องเล็กๆ ขนาดนั่งได้ไม่เกิน 5 คน หลาย 10 ห้องมาก แต่ละห้องบรรยากาศเหมือนกัน จัดห้องเหมือนกันแป๊ะ ทุกห้อง แต่ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ แต่ละห้องเก็บเสียงดีมาก เหมาะสำหรับใช้ดูดเงินจากนักท่องเที่ยวจิตใจอ่อนไหว แบบเราๆ ท่านๆ อย่างมาก
พอถึงทางออกก็พบกับลูกทัวร์ ซึ่งมีชะตากรรมเดียวกับผม เลยถามว่า หลังจากครอบครัวผมเดินออกจากห้องแล้ว พี่ๆ คนอื่นๆ เค้าทำไงต่อ พี่เค้าบอกว่า เค้าก็จับแยกไปตามห้องๆ แล้วก็มีสถานการณ์ บทสนทนาเดียวกับที่ผมเล่าไปแบบ แทบ 100 % ใครมาอ่านมาถึงตรงนี้แล้วเคยไปทัวร์จีน แล้วเจอสถานการณ์เดียวกับผม แล้วเจอเจ้าเก้าอี้ตัวนี้ที่ทางออก แสดงออกว่าชัดเลยครับ ท่านเจอทัวร์จีนแท้ๆ แบบผมแล้ว 55555 เอาจริงๆ ใครทราบบ้างว่าเหตุผลในการแปะสติกเกอร์นี่นอกจากนับคนแล้วมีเหตุผลอื่นอีกไหมครับ ใครรู้ช่วยบอกที

นี่แหละครับ เก้าอี้ที่ติดสติกเกอร์

ส่วนนี่คือสติกเกอร์ ครับ
ที่บอกไปตอนต้นเรื่องว่าร้านนี้ขายกำยานซึ่งส่วนตัวผมสนใจจะซื้อให้แม่อยู่แล้วแต่พอมาเจอจังหวะ คุณคนที่แต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง มาต่อว่าประมาณว่า มีลูกๆ ก็ไม่ดูแลแม่อีกเลยจบครับ กับร้านนี้
ต่อสถานที่ 3 ใน Comment นะครับ
[CR] 11 เรื่องน่า งง บนเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ภาค 2
ก่อนอื่นต้องขอบคุณหลายๆ ท่านที่เข้ามาให้ความรู้และแชร์ข้อมูลกันแบบสนุกสนาน ครับ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน ก็ตามนี้เลยสำหรับภาค 1
>>>> https://m.pantip.com/topic/38124662?
ผมขอต่อเรื่องที่ติดค้าง ซึ่งในภาคที่ 2 คือ เรื่องสาระและประสบการณ์ใหม่ๆ ในทางที่เป็นบทเรียน
ฟังหัวเรื่องอาจจะดูแปลกๆ ว่ามีบทเรียนในการท่องเที่ยวด้วยหรอ คำตอบคือ ใช่ครับ มีเป็นบทเรียนที่แทบจะเหมือนกับการไปนั่งเรียน แล้วมีอาจารย์มาบรรยายกันเลยทีเดียว
ในส่วนของการทัวร์จีนนั้น คุณสมศรีของเราเจ้าเดิม ได้ย้ำเสมอว่าที่ บริษัทฯทัวร์ของไทยสามารถดึงราคาของทัวร์ลงมากได้นั้นเป็นเพราะทาง รัฐบาลของจีนเป็นผู้สนับสนุนเงินดังกล่าวโดยมีข้อแลกเปลียนคือ เมื่อมีการจัด Group Tour มาที่จีนนั้น จะมีการบังคับให้ทางทัวร์พา ลูกทัวร์ในคณะไปยังสถานที่ต่างๆ 3 ทีคือ 1. โรงงานหยก 2. โรงงานสมุนไพร และ 3. โรงงานหิน (ยางพารา)
1. โรงงานหยก
ใช่แล้วครับ หยก คือ หยกเป็นหยกสีเขียวๆ ที่เราเห็นขายกันที่เยาวราชเนี่ยแหละครับ แต่ทางจีนเค้าบอกว่าหยกของเค้ามีคุณภาพดีกว่า และที่สำคัญคือที่ร้านเค้าเป็นของแท้ 100%
โดย บรรยากาศในการพาเข้าร้านแบบว่า ไม่เคยพบเจอที่ไหน ในประเทศไทยครับ เรียกได้ว่าออกแบบมาดีมาก ไม่ได้มีแค่หยก นะครับ ทอง จี้ แหวน ของประดับต่างๆ เพียบ เหมาะสำหรับการการะชากเงินหยวนออกจากกระเป๋าเราทีเดียว น่าแปลกที่ร้านห้ามถ่ายรูป 100%
จริงแอบถ่ายมาได้ 1 ภาพ ก่อนเข้าจะห้ามครับ เลยขออนุญาตปิดบังใบหน้า 555
Step ที่ 1 คือ สวยงาม : มีการพาชม ในห้องใหญ่ๆ แอร์เย็นๆ พนักงานใส่สูท ดูดีทุกคน ลักษณะห้องคล้ายๆ พิพิธภัณฑ์ โชว์หยก ไม่มีการขายใดๆ ทั้งสิ้นครับสำหรับห้องนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของหยก ว่ามีกี่สี ส่วนใหญ่มาจากเมืองอะไร และเค้าก็ชี้แจงว่า ร้านเค้าเป็นร้านที่สนับสนุนจัดทำเหรียญ รางวัลทั้งหมดที่มอบให้กับนักกีฬา ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่ประเทศจีน ในปี 2008 โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ หลังจากทำเหรียญให้ ทางรัฐบาลจีนต้องส่งมอบคณะทัวร์ ให้เข้ามาเยี่ยมชมทางร้านตลอด เป็นข้อแลกเปลี่ยน (เป็นข้อตกลงที่ Win-Win มาก)
Step ที่ 2 คือ เรื่องราว : หลังจากนั้น ก็จะมีทีมงานที่พูดภาษาไทยได้แบบชัดเจนมาก พาเข้าไปให้ห้องที่เหมือนห้องรับแขกมีเก้าอี้ เหมือนห้องประชุมมีโต๊ะกลางใหญ่ๆ รองรับคนได้ประมาณ 20-30 คน (ซึ่งหลังจากออกจากห้องนี้พบว่ามีห้องแบบเดียวกันนี้อีกถึงประมาณ 5-6 ห้อง) พอเข้ามากันครบก็แจกน้ำชาร้อน ที่หอมมาก (น้ำชามีถ้าขายนี่ผมซื้อไปแล้ว) แล้วก็มาสอนวิธีการดูหยกแท้ หรือปลอม (ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดเรื่องการดูหยก เรื่องวิธีการดูหยกแท้นะ เพราะเข้าใจว่าคงไม่มีใครอยากอ่าน .......เปล่าหรอกครับ จริงๆ คือผมจำไม่ได้ เลยไม่รู้จะเขียนอะไร) มาต่อเรื่องของเราใน Step นี้จะจบด้วยประโยคของพนักงานที่พูดไทยชัดเจนว่า มีพนักงานเดินมากระซิบข้างๆ หู แล้วเค้าบอกกับพวกเราว่าพวกเราโชคดี มากที่วันนี้เจ้าของร้านอยู่และมีโอกาสจะมาหาพวกเราที่ห้อง.......
Step ที่ 3 คือ หลอกล่อ : นั่นแหละครับ ผมเชื่อว่ามาถึงตรงนี้หลายๆ ท่านคงพอเดา หรือพอได้อ่านเรื่องราวอย่างนี้มาบ้างแลัว แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ละขอเล่าต่อเลย
หลังจากที่ เป็นความโชคดีของพวกผม ได้มีโอกาศได้พบกับเจ้าของร้านหยก ซึ่งภาพของเจ้าของร้านเป็นคนจีน 100% รูปร่างหน้าตา คล้ายๆ เศรษฐีเจ้าของธุรกิจ ร้านค้าปลีก ยักษ์ใหญ่ เบอร์ 1 ของไทย เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือมาก ซึ่งพูดได้แต่ภาษาไทย โดยมีพี่คนที่สอนคัดเลือกหยกคอยแปลให้ อย่างประโยคต่อประโยค
เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเอง ชื่อ แซ่ ที่อยู่ บลาๆๆ ด้วยสีหน้า แววตาที่ดูมีความสุขมาก และเข้าเรื่องราวของ ชื่อ Step คือ บอกว่า วันนี้เป็นวันที่เค้ามีความสุขมากวันหนึ่งของชีวิต แล้วก็ให้เดาว่าวันนี้เป็นวันอะไร ก็มีหลายๆ คนตอบ ทั้งวันเกิด วันครบรอบการเปิดร้าน วันครบรอบแต่งงาน คำตอบคือไม่ทั้งหมด ซึ่งเฉลยก็คือวันนี้เป็นวันเกิดของลูกเค้า ซึ่งเป็นลูกคนแรก แถมยังเป็นผู้ชายด้วย (ในสังคมจีนคนส่วนใหญ่อยากได้ลูกชาย) เจ้าของร้านเลยบอกว่าเป็นวันที่มีความสุขมาก ขอเรียญเชิญพวกเราไปแสดงความยินดีกับงานเลี้ยงรอบรับ ลูกชายของเค้าที่บ้าน มีใครไปไหม (ลองเป็นที่ไทยดิผมจะโบก Grap ไปเลย) ซึ่งก็ไม่มีใครไปร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าของร้าน นั่นก็เป็นเพราะพวกผมมาทัวร์ครับพี่ จะให้พวกผมไปไหนได้ พูดก็ไม่เป็น จะไปไหนได้ครับพี่ 555 ทางพี่เจ้าของร้านก็เลยมอบสิทธิเศษให้ักับพวกเรา น่ั่นคือ นามบัตร ที่ใช้สำหรับเข้างานที่เค้าจะมาจัดที่ พารากอน ได้แบบฟรีๆ กับอีก 1 สิทธิพิเศษอีกอย่าง อยากรู้ว่าคืออะไรต้องตามไปที่ Step ต่อไป
Step ที่ 4 คือ แจกทอง : ทอง!!! ใช่ครับ ทองคำ นั่นแหละครับ แต่เป็นทองที่เป็นจี้ เล็กๆ เค้าบอกว่ามีส่วนผสมของทำคำแท้อยู่ด้วย เป็นยังไงละครับ การค้าของจีนมีการเหวี่ยงแห่ ขนาดไหน หลังจากที่ทุกคนตื่นเต้นกับการได้ทองกันแบบ 1 คน 1 ชิ้น เสมือนกับมีการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ภาพในหัวที่เคยอ่านเรื่องประมาณนีใน Pantip ก่อนที่จะมาก็วิ่งเข้ามาในหัวทันที ไม่คิดว่าจะเจอแบบชัดเจนกับตัวเองตรงขนาดนี้ 5555
Step ที่ 5: และแล้วก็มาถึงช่วงที่เป็นสิ่งที่รอคอยมาตลอดตั้งแต่ Step ที่ 1 ว่าจะจบเรื่องการขายยังไง สรุปก็คือการส่งต่อ โดยเจ้าของร้าน บอกว่า ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันที่เค้ามีความสุขสุดๆ จากการที่เป็นวันเกิดของลูกชายคนแรก ของเค้าไปแล้วนั้น เค้าจะขอมอบส่วนลด และการดูแลเป็นพิเศษให้กับทุกท่านในห้องนี้ หลังจากนี้ก็จะมีเจ้าหน้าที่พาไปที่ห้องอีกห้องหนึ่ง ที่มีลักษณะแบบ ขายของสุดๆ มีตู้โชว์สวยงามมี ไฟตกแต่งให้ดูแบบแพง พร้อมกับการยืนเรียงรายของพนักงานขายรูปร่างหน้าตาดีที่พูดภาษาไทยได้ทุกคน ส่วนเรื่องราคา ไม่ต้องพูดถึงครับ ราคาป้ายนี่แบบ จะเขียนมาเพื่อ !!!!! ยกตัวอย่าง เช่นหยก ราคาป้าย 7,000 หยวน แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดลูกชายเจ้าของร้าน ทางร้านเลยมีส่วนลดพิเศษให้ ราคาจึงลงมาอยู่ที่ 2,000 หยวน เรียกได้ว่าลดลงกว่า 70% พระเจ้า+++ ถามว่าผมได้ซื้ออะไรไหม ตอบเลย ไม่ครับ 5555
นี่แหละครับหน้าตาของของที่แจกฟรี
มีการใส่ห่อ ที่ดูดีเป็นอย่างมาก
นี่คือดานในครับ ซึ่งก็สวยอยู่ไม่น้อย
จากสถานที่แรกของสถานที่ๆ ทางรัฐบาลบังคับให้ไป ต่อกันด้วยร้านยาสมุนไพร ครับ
2. โรงงานสมุนไพร
โรงงานสมุนไพรในที่นี้คือ เป็นลักษณะคล้ายๆ กับกำยาน ที่เหมือนบุหรี่แท่งใหญ่ๆ เป็นการรักษาของชนชั้นสูง ที่ขุนนางหรือฮองเต้ใช้ในสมัยโบราณ
Step ที่ 1 คือ สวยงาม : เหมือนเดิมครับ ลักษณะของร้านจะมีความจริงจัง ออกแนวย้อนยุคโบราณๆ คล้ายๆ หนังจีนกำลังภายใน มีเจ้าหน้าที่บรรยายใส่ชุดกาว ที่พยายามมีบุคลิกให้เหมือนหมอ หรือผู้ที่ทำงานทางด้านการแพทย์ เข้ามาตอนรับแต่ไม่มีการขายแต่อย่างไรในห้องแรกๆ
Step ที่ 2 คือ เรื่องราว : หลังจากห้องแรกก็พาเข้าห้องต่อไปที่มีบรรยากาศคล้ายๆ กับห้องเรียนมีคนใส่เสื้อกาวน์มาพูดหน้าห้อง พูดสั้นๆ ประมาณว่าถือเป็นโอกาสดีที่ทุกคนได้มาที่นี่ใครอยากตรวจสุขภาพบ้าง ผมนี่อยากลองของยกมือเลยครับ
Step ที่ 3 คือ หลอกล่อ : หลังจากยกมือก็มีเจ้าหน้าที่พาผมและครอบครัว ไปที่อีกห้องเป็นห้องเล็กๆ ขนาดนั่งได้ไม่เกิน 5 คน มีคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง 1 คนกับล่ามที่คอยแปลทุกคำพูดอีก 1 คนกับเตียงนอน 1 เตียง เริ่มบทสนทนา ใครอยากตรวจสุขภาพบ้าง ผมก็อาสาก่อนเลย ทางคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิงก็ไม่รอช้า นำนิ้วมาจับชีพจรของผมที่ตรงข้อพับเสมือนหนึ่งเข้าไปนั่งในโรงพยาบาลตามหนังจีนกำลังภายในยังไง อย่างนั้น นึกในใจ เอาซิจะเจออะไรไหม เพราะมั่นใจตัวเองมากว่าแข็งแรง ปราศจากโรคภัย หลังจากจับชีพจรไปประมาณครึ่งนาที คนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิงก็พูดภาษาจีนออกมาและมีล่ามแปลให้ว่า ร่างกายโดยรวมก็ไม่มีอะไรนะ แต่ที่อย่างให้ระวังคือเรื่องกระเพาะปัสวะ ผมก็ถามเลยว่าต้องทำยังไงครับ
Step ที่ 4 คือ ขายของ : หลังจากประโยค ต้องทำยังไงครับ นี่งานขายมา เลยครับ ทางคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง ก็บอกเลยว่าให้ซื้อยาจีน ไปต้มกิน เหมือนยาต้มของจีน ผมก็ถามไปว่า เท่าไร คนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิงก็เลยเอากระดาษที่เตรียมไว้ข้างโต๊ะ กับดินสอ เขียนเป็นเลขอาราบิกว่า 3,000 บาท และก็มีขีดฆ่า ว่าเหลือ 1,500 บาท โดยในระหว่างนั้นก็มีทางล่ามคอยแปลให้ว่า จริงๆ เราขาย 3,000 บาท แต่มีโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าชาวไทย ลดเหลือ 1,500 บาท 5555 ผมนี่ลั่นในใจเลยครับ เลยถามต่อว่าแล้วกินได้กี่เดือน คนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง บอกว่ากินได้ 1 เดือน ซึ่งถ้าอยากกินให้เห็นผลต้องกิน 3 เดือน ก็เขียนลงในกระดาษบนโต๊ะเป็นเลขอาราบิก อีกว่า 1,500 * 3 = 4,500 แต่เค้าก็ขีดฆ่าที่ 4,500 แล้วเขียน 3,000 ไว้ข้างๆ อีกแล้ว พระเจ้า!!!!!!! ลดแบบยังไม่ต่อ 5555 ขำเบาๆ แล้วบอกว่ายังไม่ซื้อ ตามภาษาคนตรงๆ (ซึ่งเตรียมกับแฟนไว้แล้ว่าอยากลองของไม่ซื้อหรอกครับ) ซึ่งคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง ก็แอบบส่ายหัวเบาๆ
หลังจากนนั้นทางคนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง ก็ถามต่อว่ามีใครอยากตรววจอีกไหม แม่ผม อายุประมาณ 65 ก็ยกมือเลย (ซึ่งไม่ได้เตรียมไว้) คนแต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง ก็ใช้วิธีการเดิมเลยคือ เอาข้อมือไปจับชีพจร ประมาณ 30 วินาที ก็บอกผ่านล่ามมาหลายโรค หลาย อาการเลย ซึ่งหลักใหญ่ๆ ก็คือ อาหารปวดเมื่อย ตามร่างกาย ข้อเข่า ข้อผับต่างๆ (ผมนี่แอบนึกในใจว่า
ผมกับครอบครัวก็เลยเดินออกจากห้อง ไปที่ประตูทางออกทันที ซึ่งเหมือนเดิมครับ มีห้องเล็กๆ ขนาดนั่งได้ไม่เกิน 5 คน หลาย 10 ห้องมาก แต่ละห้องบรรยากาศเหมือนกัน จัดห้องเหมือนกันแป๊ะ ทุกห้อง แต่ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ แต่ละห้องเก็บเสียงดีมาก เหมาะสำหรับใช้ดูดเงินจากนักท่องเที่ยวจิตใจอ่อนไหว แบบเราๆ ท่านๆ อย่างมาก
พอถึงทางออกก็พบกับลูกทัวร์ ซึ่งมีชะตากรรมเดียวกับผม เลยถามว่า หลังจากครอบครัวผมเดินออกจากห้องแล้ว พี่ๆ คนอื่นๆ เค้าทำไงต่อ พี่เค้าบอกว่า เค้าก็จับแยกไปตามห้องๆ แล้วก็มีสถานการณ์ บทสนทนาเดียวกับที่ผมเล่าไปแบบ แทบ 100 % ใครมาอ่านมาถึงตรงนี้แล้วเคยไปทัวร์จีน แล้วเจอสถานการณ์เดียวกับผม แล้วเจอเจ้าเก้าอี้ตัวนี้ที่ทางออก แสดงออกว่าชัดเลยครับ ท่านเจอทัวร์จีนแท้ๆ แบบผมแล้ว 55555 เอาจริงๆ ใครทราบบ้างว่าเหตุผลในการแปะสติกเกอร์นี่นอกจากนับคนแล้วมีเหตุผลอื่นอีกไหมครับ ใครรู้ช่วยบอกที
นี่แหละครับ เก้าอี้ที่ติดสติกเกอร์
ส่วนนี่คือสติกเกอร์ ครับ
ที่บอกไปตอนต้นเรื่องว่าร้านนี้ขายกำยานซึ่งส่วนตัวผมสนใจจะซื้อให้แม่อยู่แล้วแต่พอมาเจอจังหวะ คุณคนที่แต่งตัวคล้ายๆ หมอผู้หญิง มาต่อว่าประมาณว่า มีลูกๆ ก็ไม่ดูแลแม่อีกเลยจบครับ กับร้านนี้
ต่อสถานที่ 3 ใน Comment นะครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้