ตอบอธิบาย ดวงจักรา
“อันความข้อนี้ ว่าคงจะจริง
อย่างนี้เราจะหาใครดี จะให้พาเขาได้มากล่าว มาพูด, ให้คนรู้ความว่าดังนี้
ฟังขึ้น และอาจให้คนรู้เห็น และรู้ข้อมูลแห่งพุทธะสรีระ ด้วยพุทธะกิจภาระ
ในแง่ของระบบโลกและจักรวาล, ตามอันที่แน่ ๆ ซึ่งท่านผู้รู้ก็กล่าวไว้โดยย่อ
หรือโดยมากอยู่แล้ว ถึงตรากล และดวงจักรา ตามจำนวนที่น้อยที่สุด
ซึ่งก็ได้แก่ โลก ดวงจันทร์ และพระอาทิตย์ ของเราจำนวนนี้”
“ซึ่งเราว่า
ทั้งหมดพวกเราน่าจะพอเข้าใจอยู่ ซึ่งตัวเราก็พอเข้าใจด้วย และได้ทราบ,
ว่าน่าอัศจรรย์ ที่คนจะหาเทียบความหมายให้น่าปลาบปลื้ม
ทั้งเรื่องของพระบรมครูอันผู้มหาบุรุษ ที่จะเร้นลับสิ่งลึกไว้ไปโดยทั้งหมด
ถึงได้ปรากฏเรื่องราวดั่งนั้น ก็ด้วย,
อย่างที่พวกเราลองคำนวณจันทร์ทางดาราคติกันไว้นั้น
ก็เป็นดีอย่างหนึ่งตรงเหตุผล”
“ก็ให้อาจดีขึ้นว่า
ความรู้ในทางสมัยใหม่นี้ ดีขึ้น ปัจจุบันหาที่ตรวจวัดสิ่งต่าง ๆ
เปรียบเทียบลงในมาตราความแม่นยำ ให้ปรากฏทั่วไปได้
พวกเราก็จึงสะดวกในการเปรียบเทียบตรวจตราทำคำนวณตามวิธีอันดีอยู่
ได้หลายอย่างมากยิ่งขึ้น”
“การณ์ว่า ตรงเหตุผลตามการค้นคว้า
หรือเผอิญพบไป แล้วบังเอิญอนุมานเหตุผลกันขึ้น
เป็นทางสนับสนุนได้เองภายหลัง อย่างนั้นก็ตาม ก็ยังจัดว่าเป็นเรื่องน่าฟัง
น่าคิด ถึงจะได้ไม่ต้องกระเดียดตัว ในความโง่เซอะ ให้ได้ความบ้าอันอื่น ๆ
อันไม่ได้ประโยชน์ทางใจอะไรอีก เราก็ไม่อยากคิด, พวกเราก็คงเห็นชอบ
ตามที่ท่านผู้รู้เห็นชอบนั้นด้วย ว่าสมัยนี้
ท่านยกเอาคำนวณเข้าจันทร์ทางวงดาราคติ เป็นอย่างก็มี
แล้วจะเพลาลงจากทางคิดคำนวณตามละเอียดของจันทร์วง ๒๙ ก่อนนั้น,
เพราะว่าเห็นแก่จะบอกบทอธิบายเบญจเพสเกณฑ์ยาม นัยคำนวณจะบอก
นับถือสมัยนี้คนไม่รู้จัก ไม่สนใจเรื่องเบญจเพศกันแล้ว
ฉะนั้นก็ไม่พึงจะต้องรู้ อนุทินความเร้นลับ ของการเกิดครั้ง เกิดคาบอายุ
เกิดมาแล้วอย่างนั้นอย่างนี้ และว่ามนุษย์เกิดหนเดียวนั้นคือเกิดอย่างไร
และว่า ทำไมสมมุติว่าเป็นเสขะ นั้น อะไรจึงต้องให้เป็น ๗ ครั้ง ต้องเกิด”
“อย่างนี้
เรากระเดียดจะรู้ด้วย เพราะคิดชอบอยู่ ถึงเราไม่ได้เก่งทางคณิตศาสตร์
หรือทางเรียน แต่ว่าก็ชอบ,
เพราะเขาจับบทการคำนวณมาใส่กับเรื่องของพระมหาบุรุษ
อันกับพระองค์ที่ใจเราโปรดปราน, เช่นนั้นดี ดีกับการที่เราจะต้องสนใจออกไป,
อย่างเรื่องสุดท้ายนี้ ที่เขาว่า ทำไมพระพุทธองค์ พระโคตมะเจ้าเรา
พระองค์ปัจจุบันในเกณฑ์พุทธะสรีระ สุริยะภพของเหล่ามนุษย์
ทำไมพระองค์จึงได้อายุลาผนวชภิเนษกรมณ์ เมื่อวัยครบ ๒๙ ชันษา,
ซึ่งเดิมหาเทียบ เปรียบตามบท ว่าแก่ทิชาชาติ ไว้เป็นต้น”
“แต่ตัวบทในพุทธภารกิจ
ดังนี้แล้ว ท่านพูดตรงสถานเดียว ว่าเสด็จออกจากครรภ์ ทำการเกิดหนเดียว
กระทำส่วนที่เหลืออยู่ให้เป็นการสิ้นกิเลส, ดั่งนี้ น่าฟัง เพราะว่าคนอื่น ๆ
ทั้งหมดนั้น เขาบวชกัน ในวัย ๒๐ แล้ว ๒๑, ๒๒ กันออกไป คำนวณแล้ว
ประเภทท้องด้วย ๑๐ เดือนกันก็หลายคนเหมือนกัน (ในพระปิฎก)
คือพูดให้เห็นกรณี ๑๐ เดือนอยู่มาก ถ้าเอาปุณณะมี ๒๙ ทวีคูณ แล้วหารดู
พวกนี้จึงต้องว่าสารัตถะอัศจรรย์ ต้องเอาคนตกเข้าเบญจเพส แล้วสาธยาย,
คือดังนี้ กล่าวแก่การตกวีสติ ทั้งนั้น แต่ทว่าถ้าจะใช้
ระบบทางจันทร์ดาราคติ ๒๗ ก็เป็นอันว่า หมดความจะคุยไปเรื่องเบญจเพส
เพราะยังไม่ค่อนออกไปข้างนั้น อันเป็นรสเป็นคุณของกรอบเกณฑ์อายุ แลชีวิต
ที่อาจจะสาธยายบทตอบอันควรจรรโลงต่อกันไว้ เป็นดี”
“ท่านกล่าวว่า
ของพระพุทธเจ้า เป็นทางต้องเปรียบเทียบด้วย ประโยชน์ยังต้องค้นหา ค้นคว้า
คือยังมีซับซ้อนซ่อนอยู่ แล้วถึงต้องยกนัยอัศจรรย์พร้อมด้วย
ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชี้ และพระองค์ทรงสถิตอยู่เป็นเหมือนธงนำชัย
แก่การออกภิเนษกรมณ์ จวบมหาชันษา ๒๙ วัสสานฤดู อันเป็นมาเอง
คงเป็นแต่ปัจจุบันนี้จะได้รู้ทางโคจรคาบคำนวณ ว่าพระองค์สุริยะอินทราทิตย์
เป็นโคตรพระอาทิตย์บ้างอย่างไร เมื่อพระโพธิสัตว์เจาะตนออกจากกระเปาะฟองไข่
เมื่อวัสสาฤดู ๒๙ วัสสา”
“เรื่องนี้หาทางคำนวณไม่เห็นเลย
เพราะทรงครรภ์ซึ่งดวงพระจันทร์นั้น ผูกประเทียบเปรียบเปรย บรรยายไปซะหมด
ในสมัยนั้นได้อยู่, แต่ว่าดวงพระอาทิตย์นั้น จะให้หาจุดพบคำนวณนั้น
สมัยนั้น คนคงยังไม่อาจจะเห็นกันได้ง่าย
เว้นแต่ทิพยะจะส่งไปเห็น ควรพาลจะไม่เข้าใจได้ จึงไม่ได้พูดไว้
ถึงควรจะมีเท่านั้น เพราะว่าการทรงครรภ์ซึ่งดวงพระอาทิตย์ ก็ว่าต้องทวีคูณ
๒๕ เท่า หากว่า ๒๕! เช่นนั้นก็ย่อมไม่เห็น ย่อมเห็นเป็น วีสติ
อันไม่เกินเบญจเพสอยู่เหมือนเดิม, แต่มาครั้งนี้
สมัยปัจจุบันเรา ผู้รู้ท่านยกว่า จุดคำนวณตามโคจรพระอาทิตย์นั้น
แกนหนึ่งหมุนต่างวาระทุกแห่ง เฉพาะแกนตรงขั้ว ตามสมัยนี้ ว่าขั้วเหนือกว่า
จาก ๑๖ ดีกรีองศา ตรงนั้นไม่ใช่ ไม่ให้ว่าตรงเก่า
แต่ให้ว่าถึงกฎทวีคูณไปถึง ๓๔ เท่า อยู่ตรงขั้วบริเวณเหนือกว่านั้น”
“ข้อนั้น
เขาทวีคูณกันแล้ว จึงใช่ครั้งเดียวเลย ว่าวัยอันยังไม่ถึงชนมวารที่จะบวช
จะต้องตกอยู่ที่ ๒๘-๒๙ พระชันษาครบ, เพราะเมื่ออายุครรภ์นั้น
คำนวณกับคาบโคจรแล้ว เมื่อทรงครรภ์ตรงตามพระมารดา ๑๐ เดือน
ก็ยิ่งต้องได้เท่านั้นปี, ซึ่งทีนี้ตามปรกติ เอาเส้นมัชฌิมะแล้ว
กำหนดพระอาทิตย์ก็ตาม กำหนดพระจันทร์ก็ตาม ย่อมเข้าสูตรกะวีสติ
ตัวสูตรบรรยายเอาเบญจเพส ครั้นว่า หากพวกเราเอาคาบเฉพาะทางดาราคตินั้น
ตกแค่ ๒๗ ทวีคูณ แล้วตามอายุครรภ์ ก็คงไม่ให้เห็นว่า การอะไรจะต้องพูด
ว่าจบ เรื่องเบญจเพสอะไรทั้งหมดอีก”
“เป็นควรจะเตือนอยู่หน่อยเดียว
นัยว่า ในจำพวกก่อนกำหนดครรภ์ประเภท ๗ เดือน กำหนดออกตรงประเภทนั้น กิจธุระ
จะเอาอันตกเส้นมัชฌิมะ หรือตลอดเส้นเหนือกว่านั้น ทั้งดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ถึงอย่างไรก็ตาม เป็นต้องว่าควรอยู่แค่เดิม
คือควรต้องบอกบวชแต่อายุน้อย ๆ ไปเลย จึงจะเข้าตรงเป็นกำหนด,
พอจำเพาะช่วงชำแรกแทรกเปลือก บทบอกวรรณวัสสาเป็นอยู่ได้ นั้น
เป็นแต่แค่จำนวน ๑๕ วัสสาไป จนถึงจำนวนก่อน ๒๐ วัสสา”
“ตรากล และดวงจักรา ตามจำนวนที่น้อยที่สุด”
“อันความข้อนี้ ว่าคงจะจริง
อย่างนี้เราจะหาใครดี จะให้พาเขาได้มากล่าว มาพูด, ให้คนรู้ความว่าดังนี้
ฟังขึ้น และอาจให้คนรู้เห็น และรู้ข้อมูลแห่งพุทธะสรีระ ด้วยพุทธะกิจภาระ
ในแง่ของระบบโลกและจักรวาล, ตามอันที่แน่ ๆ ซึ่งท่านผู้รู้ก็กล่าวไว้โดยย่อ
หรือโดยมากอยู่แล้ว ถึงตรากล และดวงจักรา ตามจำนวนที่น้อยที่สุด
ซึ่งก็ได้แก่ โลก ดวงจันทร์ และพระอาทิตย์ ของเราจำนวนนี้”
“ซึ่งเราว่า
ทั้งหมดพวกเราน่าจะพอเข้าใจอยู่ ซึ่งตัวเราก็พอเข้าใจด้วย และได้ทราบ,
ว่าน่าอัศจรรย์ ที่คนจะหาเทียบความหมายให้น่าปลาบปลื้ม
ทั้งเรื่องของพระบรมครูอันผู้มหาบุรุษ ที่จะเร้นลับสิ่งลึกไว้ไปโดยทั้งหมด
ถึงได้ปรากฏเรื่องราวดั่งนั้น ก็ด้วย,
อย่างที่พวกเราลองคำนวณจันทร์ทางดาราคติกันไว้นั้น
ก็เป็นดีอย่างหนึ่งตรงเหตุผล”
“ก็ให้อาจดีขึ้นว่า
ความรู้ในทางสมัยใหม่นี้ ดีขึ้น ปัจจุบันหาที่ตรวจวัดสิ่งต่าง ๆ
เปรียบเทียบลงในมาตราความแม่นยำ ให้ปรากฏทั่วไปได้
พวกเราก็จึงสะดวกในการเปรียบเทียบตรวจตราทำคำนวณตามวิธีอันดีอยู่
ได้หลายอย่างมากยิ่งขึ้น”
“การณ์ว่า ตรงเหตุผลตามการค้นคว้า
หรือเผอิญพบไป แล้วบังเอิญอนุมานเหตุผลกันขึ้น
เป็นทางสนับสนุนได้เองภายหลัง อย่างนั้นก็ตาม ก็ยังจัดว่าเป็นเรื่องน่าฟัง
น่าคิด ถึงจะได้ไม่ต้องกระเดียดตัว ในความโง่เซอะ ให้ได้ความบ้าอันอื่น ๆ
อันไม่ได้ประโยชน์ทางใจอะไรอีก เราก็ไม่อยากคิด, พวกเราก็คงเห็นชอบ
ตามที่ท่านผู้รู้เห็นชอบนั้นด้วย ว่าสมัยนี้
ท่านยกเอาคำนวณเข้าจันทร์ทางวงดาราคติ เป็นอย่างก็มี
แล้วจะเพลาลงจากทางคิดคำนวณตามละเอียดของจันทร์วง ๒๙ ก่อนนั้น,
เพราะว่าเห็นแก่จะบอกบทอธิบายเบญจเพสเกณฑ์ยาม นัยคำนวณจะบอก
นับถือสมัยนี้คนไม่รู้จัก ไม่สนใจเรื่องเบญจเพศกันแล้ว
ฉะนั้นก็ไม่พึงจะต้องรู้ อนุทินความเร้นลับ ของการเกิดครั้ง เกิดคาบอายุ
เกิดมาแล้วอย่างนั้นอย่างนี้ และว่ามนุษย์เกิดหนเดียวนั้นคือเกิดอย่างไร
และว่า ทำไมสมมุติว่าเป็นเสขะ นั้น อะไรจึงต้องให้เป็น ๗ ครั้ง ต้องเกิด”
“อย่างนี้
เรากระเดียดจะรู้ด้วย เพราะคิดชอบอยู่ ถึงเราไม่ได้เก่งทางคณิตศาสตร์
หรือทางเรียน แต่ว่าก็ชอบ,
เพราะเขาจับบทการคำนวณมาใส่กับเรื่องของพระมหาบุรุษ
อันกับพระองค์ที่ใจเราโปรดปราน, เช่นนั้นดี ดีกับการที่เราจะต้องสนใจออกไป,
อย่างเรื่องสุดท้ายนี้ ที่เขาว่า ทำไมพระพุทธองค์ พระโคตมะเจ้าเรา
พระองค์ปัจจุบันในเกณฑ์พุทธะสรีระ สุริยะภพของเหล่ามนุษย์
ทำไมพระองค์จึงได้อายุลาผนวชภิเนษกรมณ์ เมื่อวัยครบ ๒๙ ชันษา,
ซึ่งเดิมหาเทียบ เปรียบตามบท ว่าแก่ทิชาชาติ ไว้เป็นต้น”
“แต่ตัวบทในพุทธภารกิจ
ดังนี้แล้ว ท่านพูดตรงสถานเดียว ว่าเสด็จออกจากครรภ์ ทำการเกิดหนเดียว
กระทำส่วนที่เหลืออยู่ให้เป็นการสิ้นกิเลส, ดั่งนี้ น่าฟัง เพราะว่าคนอื่น ๆ
ทั้งหมดนั้น เขาบวชกัน ในวัย ๒๐ แล้ว ๒๑, ๒๒ กันออกไป คำนวณแล้ว
ประเภทท้องด้วย ๑๐ เดือนกันก็หลายคนเหมือนกัน (ในพระปิฎก)
คือพูดให้เห็นกรณี ๑๐ เดือนอยู่มาก ถ้าเอาปุณณะมี ๒๙ ทวีคูณ แล้วหารดู
พวกนี้จึงต้องว่าสารัตถะอัศจรรย์ ต้องเอาคนตกเข้าเบญจเพส แล้วสาธยาย,
คือดังนี้ กล่าวแก่การตกวีสติ ทั้งนั้น แต่ทว่าถ้าจะใช้
ระบบทางจันทร์ดาราคติ ๒๗ ก็เป็นอันว่า หมดความจะคุยไปเรื่องเบญจเพส
เพราะยังไม่ค่อนออกไปข้างนั้น อันเป็นรสเป็นคุณของกรอบเกณฑ์อายุ แลชีวิต
ที่อาจจะสาธยายบทตอบอันควรจรรโลงต่อกันไว้ เป็นดี”
“ท่านกล่าวว่า
ของพระพุทธเจ้า เป็นทางต้องเปรียบเทียบด้วย ประโยชน์ยังต้องค้นหา ค้นคว้า
คือยังมีซับซ้อนซ่อนอยู่ แล้วถึงต้องยกนัยอัศจรรย์พร้อมด้วย
ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชี้ และพระองค์ทรงสถิตอยู่เป็นเหมือนธงนำชัย
แก่การออกภิเนษกรมณ์ จวบมหาชันษา ๒๙ วัสสานฤดู อันเป็นมาเอง
คงเป็นแต่ปัจจุบันนี้จะได้รู้ทางโคจรคาบคำนวณ ว่าพระองค์สุริยะอินทราทิตย์
เป็นโคตรพระอาทิตย์บ้างอย่างไร เมื่อพระโพธิสัตว์เจาะตนออกจากกระเปาะฟองไข่
เมื่อวัสสาฤดู ๒๙ วัสสา”
“เรื่องนี้หาทางคำนวณไม่เห็นเลย
เพราะทรงครรภ์ซึ่งดวงพระจันทร์นั้น ผูกประเทียบเปรียบเปรย บรรยายไปซะหมด
ในสมัยนั้นได้อยู่, แต่ว่าดวงพระอาทิตย์นั้น จะให้หาจุดพบคำนวณนั้น
สมัยนั้น คนคงยังไม่อาจจะเห็นกันได้ง่าย
เว้นแต่ทิพยะจะส่งไปเห็น ควรพาลจะไม่เข้าใจได้ จึงไม่ได้พูดไว้
ถึงควรจะมีเท่านั้น เพราะว่าการทรงครรภ์ซึ่งดวงพระอาทิตย์ ก็ว่าต้องทวีคูณ
๒๕ เท่า หากว่า ๒๕! เช่นนั้นก็ย่อมไม่เห็น ย่อมเห็นเป็น วีสติ
อันไม่เกินเบญจเพสอยู่เหมือนเดิม, แต่มาครั้งนี้
สมัยปัจจุบันเรา ผู้รู้ท่านยกว่า จุดคำนวณตามโคจรพระอาทิตย์นั้น
แกนหนึ่งหมุนต่างวาระทุกแห่ง เฉพาะแกนตรงขั้ว ตามสมัยนี้ ว่าขั้วเหนือกว่า
จาก ๑๖ ดีกรีองศา ตรงนั้นไม่ใช่ ไม่ให้ว่าตรงเก่า
แต่ให้ว่าถึงกฎทวีคูณไปถึง ๓๔ เท่า อยู่ตรงขั้วบริเวณเหนือกว่านั้น”
“ข้อนั้น
เขาทวีคูณกันแล้ว จึงใช่ครั้งเดียวเลย ว่าวัยอันยังไม่ถึงชนมวารที่จะบวช
จะต้องตกอยู่ที่ ๒๘-๒๙ พระชันษาครบ, เพราะเมื่ออายุครรภ์นั้น
คำนวณกับคาบโคจรแล้ว เมื่อทรงครรภ์ตรงตามพระมารดา ๑๐ เดือน
ก็ยิ่งต้องได้เท่านั้นปี, ซึ่งทีนี้ตามปรกติ เอาเส้นมัชฌิมะแล้ว
กำหนดพระอาทิตย์ก็ตาม กำหนดพระจันทร์ก็ตาม ย่อมเข้าสูตรกะวีสติ
ตัวสูตรบรรยายเอาเบญจเพส ครั้นว่า หากพวกเราเอาคาบเฉพาะทางดาราคตินั้น
ตกแค่ ๒๗ ทวีคูณ แล้วตามอายุครรภ์ ก็คงไม่ให้เห็นว่า การอะไรจะต้องพูด
ว่าจบ เรื่องเบญจเพสอะไรทั้งหมดอีก”
“เป็นควรจะเตือนอยู่หน่อยเดียว
นัยว่า ในจำพวกก่อนกำหนดครรภ์ประเภท ๗ เดือน กำหนดออกตรงประเภทนั้น กิจธุระ
จะเอาอันตกเส้นมัชฌิมะ หรือตลอดเส้นเหนือกว่านั้น ทั้งดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ถึงอย่างไรก็ตาม เป็นต้องว่าควรอยู่แค่เดิม
คือควรต้องบอกบวชแต่อายุน้อย ๆ ไปเลย จึงจะเข้าตรงเป็นกำหนด,
พอจำเพาะช่วงชำแรกแทรกเปลือก บทบอกวรรณวัสสาเป็นอยู่ได้ นั้น
เป็นแต่แค่จำนวน ๑๕ วัสสาไป จนถึงจำนวนก่อน ๒๐ วัสสา”