ปฐมนิยาย(เรื่องแรกๆ)ช่วงมัธยมต้นของ "ธีร์ วรรณกร" ที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง "เงาผีที่ค่ายลูกเสือ"

ธีร์ วรรณกร ขอนำเสนอ ผลงานเรื่องแรกในการเขียนนวนิยาย/เรื่องสั้นแนวผีๆและระทึกขวัญ ที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง

เงาผีที่ค่ายลูกเสือ
โดยธีร์ วรรณกร
          
         เชื่อว่าทุกคนล้วนมีประสบการณ์ผ่านการเข้าค่ายลูกเสือมาแล้วไม่ตั้งแต่ประถมก็มัธยมต้น คงจำได้ดีว่ารสชาติของการรวมกลุ่มกันหุงหาอาหารทำโน่นนั่นนี่รวมทั้งเข้าฐานต่างๆนั้นมันเป็นอย่างไร ทั้งเลอะเทอะและสนุกสนานกันมากเลยทีเดียว ได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อนๆแต่ละคนแล้วมันก็รู้สึกว่าต่างคนต่างก็มีความสุขกันมากแน่นอนเลยใช่หรือไม่ และเช่นเคยบางทีเราก็อาจหลีกหนีไม่พ้นจากประสบการณ์อันพิศวงลึกลับในค่ายอย่างเป็นแน่แท้ ซึ่งในบางค่ายหรือบางสถานที่ที่ไปตั้งค่ายนั้นก็จะมีประวัติเรื่องราวอันลี้ลับพวกนี้แอบซ่อนอยู่ ซึ่งบางแห่งก็หาต้นตอของเรื่อราวเจอจนกลายเป็นเรื่องเล่า และก็มีบางแห่งที่ยังเป็นเรื่องค้างคาไม่สามารถหาที่มาของเหตุการณ์นั้นได้ทำให้เป็นปริศนาอยู่นั่นเอง

          และเช่นเดียวกันครับสำหรับเรื่องราวนี้ผมขอถ่ายทอดเหตุการณ์เผชิญภูตผีปีศาจและอาถรรพ์อันเร้นลับน่ากลัวในค่ายลูกเสือที่ผมได้เคยเข้า มาให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้กันว่า เรื่องราวของผมเรื่องนี้จะน่ากลัวและแสนจะขนพองสยองเกล้าสักแค่ไหน......
          ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่๖หรือป.๖ในโรงเรียนประถมจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสานนั้น ช่วงเทอมที่๒ก็จะมีการเข้าค่ายลูกเสือสามัญอันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ดังนั้นผมก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในค่ายที่กำลังจะไป ซึ่งก่อนหน้านั้นลูกเสือแต่ละหมู่ได้รับคำสั่งจากครูผู้กำกับว่า ให้รีบเตรียมบทละครและซ้อมการแสดงรอบกองไฟให้ได้โดยเร็วซะไม่งั้นสีสันในกิจกรรมก็จะไม่เกิด ซึ่งเผอิญผมก็ดันเป็นหัวหน้าหมู่ซะด้วย แต่ก็นะผมก็มั่นใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันว่าการแสดงของหมู่ผมจะเด่นกว่าของหมู่อื่นๆอย่างแน่นอน
          ผมรีบทำความเข้าใจกับเพื่อนๆในหมู่แล้วซ้อมกันเป็นรอบสุดท้ายก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งผมก็จะรอพ่อมารับที่หน้าโรงเรียนเป็นประจำ ดังนั้นก่อนวันเข้าค่ายจริงๆจะมาถึงนั่นก็คือวันรุ่งขึ้นผมก็คงต้องรีบจัดแจงเตรียมสัมภาระให้เรียบร้อยตั้งแต่วันนี้และก็ไม่ลืมที่จะเอาบทละครใส่เข้าในกระเป๋าไปด้วย

          เช้าของวันใหม่ผมมาในชุดลูกเสือสามัญพร้อมประดับสัญลักษณ์หัวหน้าหมู่เต็มยศ พ่อขับรถมาส่งผมที่โรงเรียนตั้งแต่๖โมงเช้า อากาศในปีนั้นหนาวมากเพื่อนๆทุกคนรวมทั้งผมก็ต่างก็ใส่เสื้อกันหนาวสวมทับมาด้วย ทั้งยังบวกกับฝนตกอีกจึงทำให้อากาศมันยิ่งหนาวเหน็บขึ้นไปอีกขั้น
         ผมและเพื่อนๆในหมู่จับกลุ่มกันอยู่ที่ใต้ถุนอาคาร ป.๖ ส่วนฝ่ายเนตรนารีก็แยกไปอีกฟาก ผมสั่งให้ลูกเสือในหมู่ของผมวางพวกเต็นท์ผ้าห่มและของใช้อื่นๆที่เตรียมมากองรวมกันไว้ที่เสาต้นหนึ่งของอาคาร แน่นอนในขณะนั้นอากาศก็ยังหนาวและฝนก็ยังตกมาปรอยๆหนักแหล่ไม่หนักแหล่อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมีเสียงนกหวีดเป่าปรี๊ด..... เป็นสัญญาณว่าให้ทั้งลูกเสือและเนตรนารีทั้งหมดมารวมกันเป็นหมู่ ซึ่งพวกเราก็ต่างรีบเร่งทำตามในทันที เมื่อครูผู้กำกับอนุญาตให้ทั้งหมดนั่งลงได้ ก็แจ้งข่าวให้พวกเราทั้งหมดทราบว่า ทั้งเมื่อคืนฝนก็ตกหนักและจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดมันจึงทำให้เรามีปัญหาไม่สามารถที่จะเดินทางไปสถานที่ที่ตั้งค่ายได้ ซึ่งที่แห่งนั้นก็คืออุทยานแห่งชาติ ครูผู้กำกับแจ้งว่าดินที่นั่นลื่นและกลายเป็นโคลนทำให้ยากลำบากต่อการเดินทางเป็นอย่างยิ่งเกรงว่าพวกเราจะได้รับอันตราย และขณะนี้ก็มีรถปิคอัพของครูท่านหนึ่งที่ไปเก็บของจากค่ายไม่สามารถลงมาจากอุทยานได้เนื่องจากรถติดหล่ม จึงจำต้องอาจจะมีการยุติการเข้าค่ายที่อุทยานมาเข้าที่โรงเรียนแทน พอฟังเสร็จพวกเราก็เฮกันใหญ่ก็อาจจะมาจากการขี้เกียจเดินป่าประการหนึ่งก็ได้ที่ทำให้พวกเหล่าลูกเสือและเนตรนารีไม่อยากไปที่อุทยาน เมื่อชี้แจงเสร็จสรรพครูผู้กำกับกับครูท่านอื่นหลายคนก็รีบไปประชุมที่ห้อง ผอ.อย่างเร็วไว ซึ่งอาจจะหารือกันว่าจะจัดฐานให้นักเรียนเข้าที่บริเวณใดบ้างของโรงเรียน

          จากนั้นพวกเราทั้งหมดรวมทั้งเนตรนารีก็ได้รับคำสั่งว่าให้ไปจัดแจงที่พักที่นอนบนอาคารที่ได้ระบุไว้ดังนี้ ฝ่ายลูกเสือนำสัมภาระเครื่องนอนไปไว้ที่อาคารป.๑ ส่วนเนตรนารีก็ไปที่อาคารป.๔ ซึ่งนั่นแหละมันก็คือจุดเริ่มต้นเรื่องราวสยองขวัญที่เกิดขึ้นจนผมลืมไม่ลงมาถึงทุกวันนี้.....
          หมู่ของผมได้เข้าไปพักอยู่ที่ห้องป.๑/๓ มีกันทั้งหมด๘คนด้วยกัน ซึ่งผมก็แยกมาปูที่นอนอยู่ที่หน้ากระดานเพราะเห็นว่ามันโล่งดี ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็แยกไปตามมุมห้องบ้างหรือกลางห้องบ้างซึ่งตอนนั้นโต๊ะเก้าอี้ถูกจัดไว้หลังห้องหมดแล้ว     ในขณะที่ผมกำลังจัดแจงที่นอนให้เข้าที่อยู่นั้นไอ้แบงค์รองหัวหน้าหมู่ซึ่งมันก็เป็นเพื่อนสนิทกันกับผมมานานนมก็ได้มาปูที่นอนอยู่ข้างๆผมด้วย ทีแรกผมก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แต่มันกลับส่งแววตาวิงวอนมานี่สิผมจึงจำใจต้องผงกหัวให้มันปูที่นอนข้างๆผม ในใจก็คิดว่าดีเหมือนกันมีคนมานอนด้วยยังไงมันก็เป็นเพื่อนกับเรา.....
       
  ไอ้แบงค์มีนิสัยขี้เล่นแต่ก็ไม่ถูกกาลเทศะเท่าไหร่พูดโผงผางไม่ค่อยคิดก่อนพูด แต่มันก็ชอบช่วยเหลือคนอื่นหรือคุณครูและงานโรงเรียนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน    ในช่วงใกล้ค่ำของวันนั้นผมกับไอ้แบงค์ได้ขึ้นมานอนเล่นนั่งเล่นอยู่บนอาคารในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นๆไปอาบน้ำกันหมด ผมกับมันตัดสินใจไม่อาบน้ำเพราะขี้เกียจรอต่อแถวที่ยาวเหยียดนั่น ดีนะที่เราสองคนได้ล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองเรียบร้อยแล้ว.... จู่ๆไอ้แบงค์มันก็พูดฝ่าความเงียบของห้องขึ้นกับผมว่า
"เฮ้ย..!!ไอ้เอก ห้องนี้เปล่าวะที่เขาว่าเป็นห้องเรียนที่น้องไอ้จุ๊บเนตรนารีห้องเราที่โดนไฟดูดตายมันเรียนอ่ะ?"
ผมถึงกับอึ้งไปกับคำถามของมันพลางก็คิดว่ามันจะมาถามเรื่องนี้ในบรรยากาศผีตากผ้าอ้อมแบบนี้ทำไมกันวะ...
"เออว่ะ...ฉันก็เคยได้ยินเขาว่ามาอีกทีเหมือนกันว่าน้องมันอยู่ป.๑/๓งั้นก็ใช่ล่ะมั้ง" ผมตอบ
"ได้ยินว่าเฮี้ยนนักไม่ใช่เหรอถึงขั้นมาปรากฏตัวให้ครูกานดาเห็นที่ห้องอ่ะ...เหอะ!!"
"เฮ้ย...!!ไอ้แบงค์แกนี่ชักจะบ้าไปใหญ่แล้วนะลามปามจังเฮ้ย... อะไรกันน่ะน้องมันก็อาจจะมาขอส่วนบุญก็ได้ที่มาทำให้ครูกานดาเห็นน่ะ..."
อารมณ์ตอนนั้นผมอยากจะตบกบาลมันให้ทิ่มเสียจริงๆที่พูดออกมาอย่างนั้นแต่ก็ได้แค่พูดให้ความเห็นไปในทางที่ดีเท่านั้น
"หึ....จะมาแบบไหนก็ช่าง....นี่นะฉันไม่กลัวหรอกกะแค่ผีเด็กถูกไฟดูดตาย ถ้ามันเฮี้ยนนักถึงขั้นมาหลอกถึงที่ห้องเรียนนะแน่จริงคืนนี้ฉันจะให้มันมาหลอกฉันเลยคอยดู...เฮ่อ.....ฉันไม่กลัวหรอกเว้ย...."
ในนาทีนั้นผมฉุนมากถึงขั้นดึงหน้าใส่และแทบอยากจะตบปากมันจริงๆเข้า แต่ก็ระงับอารมณ์ไว้ได้ จึงตอบเพื่อปัดรำคาญมันไปว่า
"พอๆๆๆ...แกหยุดพูดเลยไอ้นี่มาท้าน้องเขาทำไม ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแกนะฉันจะไม่ช่วยแกเลยนะเว้ยไอ้แบงค์..."
ไอ้แบงค์ทำหน้าท้าทายใส่ผม.... "ก็เอาสิ...หึๆแล้วแต่แก..."
ผมไม่พูดอะไรต่อนอกจากทำหน้าบึ้งตึงใส่มันแล้วก็ทำเป็นยุติการสนทนาด้วยการเอนตัวลงนอนเล่นบนที่นอนเพื่อฆ่าเวลารอเพื่อนคนอื่นๆขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะเตรียมตัวไปแสดงละครกิจกรรมรอบกองไฟในคืนนี้....

           ผมขอเล่าย้อนเหตุการณ์ไปที่วันเกิดเหตุกับน้องของจุ๊บซึ่งเธอคือเพื่อร่วมห้องของผม จุ๊บมีน้องสาวชื่อเจนอยู่ป.๑ เรียนที่โรงเรียนเดียวกันสาเหตุที่ทำให้น้องของจุ๊บตายนั่นก็เพราะ ในวันหยุดเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆคนนี้ก็ไปเล่นกับเพื่อนของตนตามปกติ แต่ใครจะคิดเล่าว่านี่จะเป็นช่วงเวลาชีวิตสุดท้ายที่จะอยู่บนโลกใบนี้     ที่เสาของหอกระจายข่าวในหมู่บ้านนั้นเพื่อนๆกับเธอก็ได้ไปปีนเล่นกันอย่างสุกสนานเป็นประจำหรือเปล่าอันนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่ในวันนั้นคงจะเป็นชะตาที่ถึงฆาตของเจนเด็กสาวน้อยในวัยซนคนนี้ เผอิญเธอกำลังจะปีนขึ้นไปเล่นกับเพื่อนๆบนโครงเหล็กของเสานั่น แต่แล้วเท้าเปล่าๆของเธอก็ได้ไปเหยียบสายไฟฟ้าที่ติดอยู่กับเหล็กตรงนั้นเข้า สายไฟนั่นรั่วมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้จึงทำให้กระแสไฟฟ้าดูดและช็อตเธอให้ทรมานและร่างดำเกรียมอยู่ตรงนั้น เธอเสียชีวิตคาที่... กว่าเพื่อนๆจะตามผู้ใหญ่มาช่วยก็ไม่ทันเสียแล้ว หลังจากนั้นสามวันแหละครับครูกานดาก็ได้พบกับวิญญาณของเธอมาที่ห้องนี้ซึ่งผมกับไอ้แบงค์มานั่งเถียงกันอยู่นี่แหละครับ....

          กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ....  หลังจากที่เพื่อนๆในหมู่ของผมขึ้นมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ากันหมดแล้ว ก็ถึงคราที่ต้องรีบลงไปรวมที่หอประชุมของโรงเรียนซึ่งจัดเป็นสมมติว่าคือลานสนามอันโล่งกว้าง โดยที่บางคนก็ไม่ลืมที่จะห่มผ้าหนาๆมาด้วย ก็เพราะอากาศมันหนาวจริงๆครับ  พิธีการเปิดรอบกองไฟจัดขึ้นและผ่านไปด้วยดีจากนั้นก็เป็นการแสดงละครรอบกองไฟของเหล่าลูกเสือและเนตรนารีและแน่นอนกลุ่มของพวกผมก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แสดงตลกกันจนฮาครืนกันไปเลยทีเดียว
และหลังจากที่เสร็จพิธีอันสนุกสนานเรียบร้อยแล้วทุกคนต่างก็ขึ้นอาคารเพื่อเข้านอนกันหมด ผมกับไอ้แบงค์ที่นอนข้างกันยังลืมตาอยู่เพราะยังไม่รู้สึกง่วง เสียงเพื่อนๆที่กระซิบกระซาบกันก่อนหน้านั้นก็เงียบลงไป เหลือแต่เสียงหายใจกับเสียงกรนดังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้แทน.... "ทุกคนหลับหมดแล้วเหรอวะ?..." ไอ้แบงค์พลิกตัวหันมากระซิบถามผมด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
"คงใช่มั้ง" ผมตอบกลับ
"แล้วแกว่าผีน้องไอ้จุ๊บจะมาหลอกฉันเปล่าวะ?"
"เอ้...ไอ้นี้เดี๋ยวก็ตบปากแตกแกจะถามเรื่องแบบนี้ทำไมวะปล่อยให้มันผ่านๆไปเหอะ..."
ยังไม่ทันที่ผมจะพลิกตัวเพื่อที่จะกลับมานอนหงายพลันก็มีเสียงกรีดร้องของเด็กที่ไหนไม่รู้ดังขึ้น มันดังมากเสียงเล็กแหลมนั่นทำให้ผมถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว อากาศที่ว่าหนาวแล้วเสียงนี่มันยิ่งทำให้หนาวจนจับกระดูกเข้าไปเสียอีก... แต่แปลกทั้งๆที่เสียงกรีดร้องนั่นมันดังมากขนาดนี้แต่เพื่อนๆหลายคนในห้องกลับหลับใหลนอนกรนนอนหายใจอย่างสบายในภวังค์โดยไม่รู้สึกอะไรดั่งถูกต้องมนต์สะกดเอาไว้เลยไม่มีใครเอะอะอะไรกันทั้งนั้น

         นาทีนั้นผมกับไอ้แบงค์เหมือนพร้อมใจกันลุกพรวดขึ้นมองหน้ากันในความมืด โชคยังดีที่แสงไฟจากด้านหน้าห้องสาดทะลุกระจกบนขอบหน้าต่างเข้ามาด้านในทำให้มองเห็นกันค่อนข้างชัด ผมกับมันสั่นระริกราวกับคนเป็นไข้อยู่อย่างนั้น
"ก....แกๆๆๆได้ยินเหมือนที่ฉันได้ยินรึเปล่าวะอ...อะๆๆไอ้ๆเอก...!!!" ไอ้แบงค์ถามผมอย่างตะกุกตะกัก
"อะ..เออ..สะ..เสียงผู้หญิง..ผู้หญิงร้อง...ฉันว่าแกซวยแล้วล่ะว่ะท่าทางเขาจะมาจริงๆ.."
ไอ้แบงค์ถึงกับสะอื้นกระซิกๆยกมือขึ้นพนมท่วมหัวกล่าวขอโทษขอขมากันเป็นการใหญ่ แต่ทันใดนั้นเองก็มีกลิ่นเน่าเหม็นลอยเข้ามาปะทะจมูกพวกเราสองคนอย่างจัง ผมนี่แทบจะอาเจียน มันเน่าเหมือนกลิ่นอะไรตายสักอย่างมันเหม็นรุนแรงมากจริงๆ ผมปิดจมูกไว้แล้วสักพักกลิ่นเน่านั่นก็ค่อยๆจางหายไป.... แต่ยังไม่ทันจะสบายใจอะไรขึ้นมาก็มีเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้ดังขึ้นมาอีก มันช่างเป็นอะไรที่โหยหวนน่าเวทนาเช่นนี้ มันดังมาพร้อมกับเสียงหน้าต่างที่ถูกทุบอย่างแรงดังปัง!!!มาเป็นระยะ แต่ทว่ามันเป็นเหล็กจึงไม่แตก แต่ก็ไม่รู้ว่ามันถูกทุบที่บานไหนเสียด้วย ตัวผมในตอนนั้นทั้งกลัวทั้งอึ้งทำอะไรไม่ถูก หันมามองดูไอ้แบงค์อีกทีมันก็พนมมือร้องไห้หันซ้ายหันขวาตัวสั่นเทา ทำหน้าตาระแวงเอามากๆ   พลัน...สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติที่อยู่เบื้องหน้า มันเป็นร่างอันดำทะมึนเป็นเงาเด่นชัดอยู่บนหลังตู้เหล็กเก็บเอกสารหลังห้อง ร่างเล็กๆนั่นนั่งพร้อมกับแกว่งขาไปมาอยู่บนหลังตู้ ถึงตอนนี้เสียงทุบหน้าต่างและเสียงร้องไห้ก็ยังคงดังอยู่  ผมล่ะแทบจะบ้าตายอยากร้องดังๆออกมาก็ร้องไม่ได้มันอึกอักไปหมดจะอ้าปากพูดก็ทำไม่ได้ "นี่มันเกิดอะไรขึ้นวิญญาณน้องเจนเฮี้ยนได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ..." ผมคิดในใจ  และต่อจากนั้นผมก็เหมือนโดนมนต์สะกดให้ค่อยๆหลับตาลงและเคลิ้มสลบไสลไปในภวังค์ จนเกิดภาพนิมิต หรือจะเป็นฝันก็ไม่รู้ปรากฏขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่