( บันทึกเก็บไว้เมื่อปี ๒๕๕๔ )
...........กระจกเงา
คนเราโดยส่วนมาก ล้วนมีด้านบวกและด้านลบอยู่ในตัวเอง โดยที่บางอย่างเราก็รู้ บางอย่างเราก็ไม่รู้ สิ่งที่เป็นด้านบวกเราก็พยายามแสดงออกมา และพยายามปลูกฝังให้คนรอบข้างทำตาม ส่วนที่เป็นด้านลบ เราก็พยายามขจัดมันออกไป (ถ้าเรารู้ตัว และยอมรับมัน) บางเรื่องก็
ทำได้ บางเรื่องก็ทำไม่สำเร็จ ทั้งที่พยายามแล้วพยายามอีก ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จนกระทั่งมีครอบครัว ในเมื่อสิ่งนั้นมันขจัดออกไปจากใจไม่ได้ คนที่รับช่วงต่อ ก็คือลูกเรานี่เอง ส่วนมากจะเป็นเรื่องการเรียนและการประกอบอาชีพ พยายามจะให้ลูกได้เรียนที่ดี ๆ จบมาได้เลือกอาชีพที่สบาย
และมั่นคง อีกมากมายที่เราพลาดไปในตอนเด็ก เราก็จะมาตั้งความหวังไว้กับลูกนี่แหละ ทั้งการประพฤติตัว การเลือกเข้าสังคม การเลือกคบเพื่อน การเลือกแฟน การพูด การเดิน การแต่งตัว โอ๊ย..สารพัด แต่เราลืมไปอย่างนึงว่า เด็กก็มีความคิดและมุมมองของเด็ก และความคิดความ
สามารถของเด็กแต่ละคนก็ต่างกันไป ที่สำคัญก็คือเขาได้พันธุกรรมมาจากใคร เพราะนิสัยและความเคยชินก็คงไม่ต่างจากต้นแบบเท่าไรนักหรอก และที่เด็กทำผิดพลาดอะไรไปมั่ง เราก็เคยมาแล้วทั้งนั้นแทบทุกคน ลูกสาวผมเป็นคนชอบลืม ไปโรงเรียนลืมของไว้ที่บ้าน กลับมาบ้าน
ลืมของไว้ที่โรงเรียน เตือนกันมาก ๆ เข้าก็งอน เป็นอยู่อย่างนั้นมาตลอด วันหนึ่งไปส่งลูกสาวไปโรงเรียน (ตอนนั้นยังเข้างานแปดโมงอยู่)
ออกจากบ้านได้สักหน่อยมีนาก็บอกว่าลืมคอบัวเอาไว้ที่บ้าน ไอ้เราก็รีบเพราะวันนั้นมันสายหน่อย ๆ แล้ว ก็เลยขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับไปที่บ้าน
ระหว่างทางก็บ่น ๆ ๆ สอนลูกว่าก่อนออกจากบ้านต้องดูให้ดีก่อนว่าเราต้องเอาอะไรไปมั่ง เพราะการย้อนไปย้อนมามันเสียเวลา
ลูกก็จะไปโรงเรียนสาย พ่อก็จะไปทำงานสายบ่น ๆ ๆ เรื่องผลเสียความขี้ลืม จนลูกสาวนั่งเงียบไป พอได้ของเสร็จก็ขับรถมุ่งไปโรงเรียน
ไปได้สักพักก็รู้สึกว่าตามันเบลอ ๆ ก็คิดว่าคงนอนไม่พอ เพราะเมื่อคืนนี้หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่หลายครั้ง เลยใช้ความระวังมากขึ้นเพราะรถตอนเช้ามันก็มาก ทนอยู่อย่างนั้นจนถึงโรงเรียนแบบเบลอ ๆ การงอนกันระหว่าง พ่อ-ลูกก็หมดลงพอดี ยืนกอดลูกสาวอยู่หน้าโรงเรียนแล้วลูบหัวแก บอกว่า
ตั้งใจเรียนนะลูก ตอนเย็นพ่อจะมารับ แกก็พยักหน้ารับ (พูดยังไม่ได้น้ำตามันจะไหล) “วันนี้พ่อเป็นอะไรไม่รู้ลูก มันงง ๆ มองอะไรก็ไม่ชัดกว่าจะมาถึงโรงเรียนได้แทบแย่”
ลูกสาวก็เงยหน้าขึ้นมามองผม ผมก็มองแก ด้วยความเห็นอกเห็นใจและห่วงใยกัน มอง ๆ กันไปสักเดี๋ยว แกก็พูดขึ้นว่า
“พ่อไม่ได้ใส่แว่นตามา เมื่อกี้ตอนหนูหยิบคอบัว หนูเห็นมันอยู่บนโต๊ะคอม”...............@@
ลุงแผน
๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
..............................
( ขออภัยล่วงหน้าครับ ถ้ามีการแก้ไข แสดงว่า ตัวหนังสือกระโดดไป กระโดดมา ข้ามบรรทัด กำลังศึกษาวิธีแก้อยู่ครับ )
......บันทึก.......พ่อเลี้ยงเดี่ยว.......เรื่องที่ 2..........@@ โดย ลุงแผน
...........กระจกเงา
คนเราโดยส่วนมาก ล้วนมีด้านบวกและด้านลบอยู่ในตัวเอง โดยที่บางอย่างเราก็รู้ บางอย่างเราก็ไม่รู้ สิ่งที่เป็นด้านบวกเราก็พยายามแสดงออกมา และพยายามปลูกฝังให้คนรอบข้างทำตาม ส่วนที่เป็นด้านลบ เราก็พยายามขจัดมันออกไป (ถ้าเรารู้ตัว และยอมรับมัน) บางเรื่องก็
ทำได้ บางเรื่องก็ทำไม่สำเร็จ ทั้งที่พยายามแล้วพยายามอีก ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จนกระทั่งมีครอบครัว ในเมื่อสิ่งนั้นมันขจัดออกไปจากใจไม่ได้ คนที่รับช่วงต่อ ก็คือลูกเรานี่เอง ส่วนมากจะเป็นเรื่องการเรียนและการประกอบอาชีพ พยายามจะให้ลูกได้เรียนที่ดี ๆ จบมาได้เลือกอาชีพที่สบาย
และมั่นคง อีกมากมายที่เราพลาดไปในตอนเด็ก เราก็จะมาตั้งความหวังไว้กับลูกนี่แหละ ทั้งการประพฤติตัว การเลือกเข้าสังคม การเลือกคบเพื่อน การเลือกแฟน การพูด การเดิน การแต่งตัว โอ๊ย..สารพัด แต่เราลืมไปอย่างนึงว่า เด็กก็มีความคิดและมุมมองของเด็ก และความคิดความ
สามารถของเด็กแต่ละคนก็ต่างกันไป ที่สำคัญก็คือเขาได้พันธุกรรมมาจากใคร เพราะนิสัยและความเคยชินก็คงไม่ต่างจากต้นแบบเท่าไรนักหรอก และที่เด็กทำผิดพลาดอะไรไปมั่ง เราก็เคยมาแล้วทั้งนั้นแทบทุกคน ลูกสาวผมเป็นคนชอบลืม ไปโรงเรียนลืมของไว้ที่บ้าน กลับมาบ้าน
ลืมของไว้ที่โรงเรียน เตือนกันมาก ๆ เข้าก็งอน เป็นอยู่อย่างนั้นมาตลอด วันหนึ่งไปส่งลูกสาวไปโรงเรียน (ตอนนั้นยังเข้างานแปดโมงอยู่)
ออกจากบ้านได้สักหน่อยมีนาก็บอกว่าลืมคอบัวเอาไว้ที่บ้าน ไอ้เราก็รีบเพราะวันนั้นมันสายหน่อย ๆ แล้ว ก็เลยขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับไปที่บ้าน
ระหว่างทางก็บ่น ๆ ๆ สอนลูกว่าก่อนออกจากบ้านต้องดูให้ดีก่อนว่าเราต้องเอาอะไรไปมั่ง เพราะการย้อนไปย้อนมามันเสียเวลา
ลูกก็จะไปโรงเรียนสาย พ่อก็จะไปทำงานสายบ่น ๆ ๆ เรื่องผลเสียความขี้ลืม จนลูกสาวนั่งเงียบไป พอได้ของเสร็จก็ขับรถมุ่งไปโรงเรียน
ไปได้สักพักก็รู้สึกว่าตามันเบลอ ๆ ก็คิดว่าคงนอนไม่พอ เพราะเมื่อคืนนี้หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่หลายครั้ง เลยใช้ความระวังมากขึ้นเพราะรถตอนเช้ามันก็มาก ทนอยู่อย่างนั้นจนถึงโรงเรียนแบบเบลอ ๆ การงอนกันระหว่าง พ่อ-ลูกก็หมดลงพอดี ยืนกอดลูกสาวอยู่หน้าโรงเรียนแล้วลูบหัวแก บอกว่า
ตั้งใจเรียนนะลูก ตอนเย็นพ่อจะมารับ แกก็พยักหน้ารับ (พูดยังไม่ได้น้ำตามันจะไหล) “วันนี้พ่อเป็นอะไรไม่รู้ลูก มันงง ๆ มองอะไรก็ไม่ชัดกว่าจะมาถึงโรงเรียนได้แทบแย่”
ลูกสาวก็เงยหน้าขึ้นมามองผม ผมก็มองแก ด้วยความเห็นอกเห็นใจและห่วงใยกัน มอง ๆ กันไปสักเดี๋ยว แกก็พูดขึ้นว่า
“พ่อไม่ได้ใส่แว่นตามา เมื่อกี้ตอนหนูหยิบคอบัว หนูเห็นมันอยู่บนโต๊ะคอม”...............@@
ลุงแผน
๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
( ขออภัยล่วงหน้าครับ ถ้ามีการแก้ไข แสดงว่า ตัวหนังสือกระโดดไป กระโดดมา ข้ามบรรทัด กำลังศึกษาวิธีแก้อยู่ครับ )