




กลับมารีวิวกระทู้ท่องเที่ยวสไตล์ตระเวนเดี่ยวเที่ยวทั่วไทยกันอีกครั้ง หลังจากห่างนานไปนานร่วมปี ทั้ง ๆ ที่จริงผมก็เที่ยวตระเวนไปทั่วทั้งเหนือ อีสาน กลาง และใต้ ทั้งเที่ยวคนเดียวและเทื่ยวกับครอบครัว วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวสไตล์ตระเวนเดี่ยวกันต่อที่เมืองอุตรดิตถ์ เมืองพะเยาต่อด้วยเมืองน่านกันนะครับ
ก่อนอื่นมาดูกำหนดการตระเวนเที่ยวของผมในทริปนี้ จำนวน 8 วันก่อนนะครับ
วันแรก : เดินทางจากกรุงเทพุฯ - อุตรดิตถ์ และเที่ยวย่านเมืองลับแล
วันที่ 2 : เที่ยวอุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ
วันที่ 3 : เที่ยวเก็บตกในเมืองอุตรดิตถ์ และนั่งรถต่อไปยังเมืองน่าน
วันที่ 4 : เที่ยวย่านอำเภอปัว และอำเภอท่าวังผา
วันที่ 5 : เที่ยวชมทะเลหมอกภูลังกา และเที่ยวย่านอำเภอเชียงคำ
วันที่ 6 : เที่ยวย่านเมืองพะเยา และอำเภอดอกคำใต้
วันที่ 7 : เที่ยวย่านอำเภอเชียงม่วน และเที่ยวยามค่ำคืนในเมืองน่าน
วันที่ 8 : เที่ยวเก็บตกในเมืองน่าน และเดินทางกลับกรุงเทพฯ
วันที่ 5 : เที่ยวชมทะเลหมอกภูลังกา และเที่ยวย่านอำเภอเชียงคำ
วันนี้ผมตื่นแต่ตี 5 ครึ่งเพื่อมาชมทะเลหมอกภูลังกาจากหน้าผาบริเวณที่พักบ้านทะเลหมอก แม้จะมาเฝ้าดูทะเลหมอกแต่ฟ้าสางแต่ก็มีนักท่องเที่ยวต่างทยอยกันเดินมาจากจุดชมวิวนี้กันอย่างไม่ขาดสาย จนนักท่องเที่ยวเริ่มหนาแน่นขึ้นเมื่อฟ้าเริ่มสว่าง


นักท่องเที่ยวต่างรีบจับจองพื้นที่หน้าผาริมถนนเพื่อคอยดูทะเลหมอกเบื้องล่างหุบเขาที่เริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นยามฟ้าสว่าง
สีท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีฟ้าและมีสีแดงจับอยู่ตามสันเขาฝั่งตรงข้ามของหน้าผา แสดงให้เห็นว่าอีกไม่นานดวงอาทิตย์ก็จะเริ่มโผล่พ้นแนวทิวเขาขึ้นมาทีละน้อย


พอดวงอาทิตย์เริ่มปรากฏเหนือสันเขา ภาพทะเลหมอกเบื้องล่างของหุบเขาก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัดแก่สายตา วันนี้ทะเลหมอกที่ภูลังกาไม่ได้มีหมอกหนาแน่นเท่าวันอื่น ๆ อาจเพราะอากาศไม่ได้หนาว แค่เย็นชิล ๆ เท่านั้น ถ้าลมหนาวพัดผ่านมาเมื่อไหร่อาจทำให้ที่นี่มีหมอกหนาแน่นเหมือนเช่นเคยได้


ผมว่าทะเลหมอกที่ภูลังกานี้ถึงแม้จะมีหมอกไม่มากเช่นที่อื่น แต่ความงามจากองค์ประกอบของมันจัดวางตำแหน่งให้ธรรมชาติดูสวยงามดีนะครับ ถ้าใครจะมาชมทะเลหมอกแห่งนี้ผมว่าก็ไม่ผิดหวังกับความงามที่เฝ้ารอหรอกนะครับ พอแสงแดดเริ่มแรงขึ้นบรรดาหมอกที่เคยแน่นเป็นผืนดุจผ้าห่มคลุมหุบเขาก็เริ่มละลายเป็นม่านบาง ๆ ไหลไปทั่วแอ่งเบื้องล่าง เป็นภาพที่สวยงามจับตาดีครับ








วันที่ผมมาชมทะเลหมอกภูลังกานี้แม้จะเป็นวันหยุดธรรมดาแต่ก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมกันเป็นจำนวนมาก มีทั้งมาพักค้างแรมที่รีสอร์ทแถว ๆ นี้ และบางส่วนก็ขับรถมาตอนใกล้สว่างเพื่อให้ทันในการชมทะเลหมอกยามเช้าของที่นี่


นี่ถ้าเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาวเช่นปีใหม่ สงสัยที่พักแถวนี้คงมีจำนวนไม่เพียงพอต่อปริมาณนักท่องเที่ยวที่ไหลบ่ากันมามาก ทะเลหมอกที่ภูลังกาแห่งนี้เพิ่งเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวได้ไม่นาน จากการโพสกระทู้ของนักท่องเที่ยวลงในห้องบลูเพลนเน็ตของเว็บพันทิป จึงทำให้มีคนแชร์ภาพทะเลหมอกที่นี่ออกไปอย่างกว้างขวาง จนทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างอยากมาสัมผัสดูทะเลหมอกแห่งนี้ด้วยสายตาตนเองสักครั้งว่าจะงามจริงเหมือนเช่นเห็นในภาพถ่ายหรือไม่


ทะเลหมอกแห่งนี้จะมีหมอกให้ชมจริง ๆ แค่ 1 ชั่วโมงครึ่งหลังฟ้าสว่างแล้วเท่านั้น พอ 7.30 น. หมอกก็เริ่มระเหยและจางหายไปในที่สุดเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องขึ้นสูงเหนือยอดทิวเขาแล้ว ทำให้เบื้องล่างหุบเขากลับเห็นผาช้างน้อยปรากฏอยู่ตรงกลางแอ่งที่ราบอย่างชัดเจน


เพียงไม่นานนักท่องเที่ยวที่เคยหนาตาก็เริ่มเลือนหายไป ต่างแยกย้ายกันเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก หรือบางส่วนที่มาเองก็ขับรถออกไป ทำให้ที่นี่ดูเงียบลงทันที

จริง ๆ ที่พักบริเวณจุดชมทะเลหมอกภูลังกา เท่าที่ผมเดินสำรวจก็มีอยู่ไม่มากนัก น่าจะ 7 - 8 แห่งนะครับ แต่จุดที่ถือว่าเป็นทำเลทองจริง ๆ ก็คือ ที่พักบริเวณทางโค้งของถนน ซึ่งจะเป็นหน้าผามองเห็นแอ่งที่ราบเบื้องล่างที่มีผาช้างน้อยตั้งเด่นสง่าอยู่

ยามเช้าจุดนี้แหละที่จะกลายเป็นทะเลหมอกให้เราได้ชมกัน งั้นผมขอแนะนำที่พักที่ถือว่าเป็นทำเลทองให้ผู้ชมคนอื่นได้รู้จักกันนะครับ เพราะปัจจุบันบริเวณนี้ก็มีการสร้างที่พักใหม่และกำลังสร้างขึ้นอยู่เรื่อย ๆ เพื่อรองรับการเติบโตของการท่องเที่ยวที่เริ่มมีมากขึ้น
ที่พักแห่งแรกที่ผมจะแนะนำเป็นที่พักที่ผมพักในทริปนี้ที่ภูลังกา นั่นก็คือ
บ้านทะเลหมอก


บ้านทะเลหมอกเป็นที่พักที่อยู่ในตำแหน่งวิวดีครับ จากที่พักสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้ชัดเจนโดยเฉพาะจุดที่เป็นร้านอาหารของที่พักครับ ที่พักแห่งนี้จะมีร้านอาหารอยู่ 2 ร้าน ร้านแรกที่วิวดีมากจะอยู่ริมถนนมองเห็นวิว ร้านนี้จะขายอาหารและเครื่องดื่มด้วยนะครับ
ดังภาพด้านล่างเนี่ยแหละครับ


ส่วนราคาอาหารที่นี่ก็จะมีราคาสูงกว่าในเมืองสักเท่านึงนะครับ เป็นเหมือนกันทุกร้านค้าแถวนี้ เพราะเค้าต้องไปซื้อของมาจากในเมืองมาขายให้ที่นี่นะครับ จึงบวกค่าขนส่งเดินทางไปด้วยตามระเบียบครับ อย่างเช่นในเมืองขายข้าวราดกะเพราบวกไข่ดาวอยู่ที่ 35 - 40 บาท ที่นี่ก็จะขายราคาอยู่ที่ 70 - 80 บาทนะครับ อ่อ...ลืมบอกไปที่นี่ยังมีขายส้มตำ หมูกระทะ หมูจุ่ม สุกี้ ด้วยนะครับ เรียกว่าใครเป็นคนคอชอบกินอาหารจำพวกนี้รับรองมาที่นี่ไม่ขาดแคลนแน่นอนครับ

ส่วนร้านอาหารอีกแห่งของที่พักแห่งนี้ มีชื่อว่า ครัวบ้านทะเลหมอก จะอยู่ด้านล่างจากร้านอาหารข้างบน ต้องเดินลงบันไดไปนะครับ ร้านนี้จะขายอาหารป่าเป็นส่วนใหญ่ครับ
ส่วนห้องพักที่นี่มีราคาแตกต่างกันไปนะครับ รู้สึกจะมี 3 - 4 แบบให้เลือก ราคาถูกสุดคือ ห้องพักแบบน็อคดาวน์ อยู่อีกฝั่งของถนนตรงข้ามกับร้านอาหารของที่พัก เป็นห้องขนาดเล็ก ๆ แค่ 2 คนนอนครับ และมีห้องน้ำรวมที่ใช้ร่วมกันทั้งแถว ราคาอยู่ที่คืนละ 800 บาท ไม่ทราบว่าวันธรรมดาจะราคานี้ด้วยรึเปล่า
แบบที่ 2 เป็นห้องพักที่มีห้องน้ำในตัว เป็นแบบที่ผมพักครับ ห้องไม่ได้กว้างอะไรมาก นอนได้แค่ 2 - 3 คน แต่มีโทรทัศน์ให้ด้วย ราคาคืนละ 1,200 บาท ห้องไม่ได้ดีอะไร ถ้าใครไม่คิดมากเรื่องคุณภาพกับราคาก็พอพักได้ แต่ถ้าคาดหวังว่าราคาขึ้นหลักพันห้องน่าจะดีกว่านี้ก็เลือกที่อื่นพักเถอะครับ จะได้ไม่เสียดายเงิน ผมว่าราคาที่พักที่นี่ไม่ค่อยเหมาะสมกับคุณภาพของห้องพักเท่าไหร่นะครับ
แบบที่ 3 เป็นบ้านพักหลังใหญ่เหมาะสำหรับมาพักเป็นครอบครัว ตกคืนละ 1,500 - 2,000 บาท นอนได้ประมาณ 8 คน
พอดีผมจองที่พักที่นี่ได้เพราะตอนติดต่อไปยังไม่เต็ม แต่กว่าจะตอบรับเรื่องได้ปาไป 2 สัปดาห์นะครับ เพราะเจ้าของดูแล้วไม่ค่อยง้อลูกค้า บอกแต่ว่างานยุ่งต้องขายของที่ร้านอาหารแขกมาทั้งวัน ไม่ยอมคุยโทรศัพท์กับลูกค้าเลย โทรติดต่อยากมาก และให้เขียนไลน์ทิ้งไว้เดี๋ยวเขาจะเขียนตอบกลับเอง ถ้าใครเป็นคนใจเย็นรอได้ก็เชิญที่นี่ได้นะครับแต่อย่าคาดหวังคุณภาพมาก
ที่พักแห่งต่อไปที่หลายคนน่าจะรู้จักกันแพร่หลาย เพราะเป็นที่พักแรก ๆ ของแถบนี้เลยนั่นก็คือ
ภูลังกาบ้านสวน หรือ
ภูลังการีสอร์ท


ที่พักแห่งนี้เจ้าของอัธยาศัยดีนะครับ แต่ที่พักก็ตามสภาพเพราะเป็นบริเวณป่าเขาคงหาที่ดีที่คุณภาพดีมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมเหมือนในเมืองไม่ได้หรอกนะครับ ราคาที่พักหลังเล็กสุดอยู่ราว ๆ 600 - 800 บาทนอนได้ 2 คน หลังคาใหญ่นอนได้เป็นครอบครัวตกหลังละ 2,500 บาท
ตระเวนเดี่ยวเที่ยวเมืองอุตรดิตถ์ เมืองพะเยาต่อเมืองน่าน ตอนที่ 3
กลับมารีวิวกระทู้ท่องเที่ยวสไตล์ตระเวนเดี่ยวเที่ยวทั่วไทยกันอีกครั้ง หลังจากห่างนานไปนานร่วมปี ทั้ง ๆ ที่จริงผมก็เที่ยวตระเวนไปทั่วทั้งเหนือ อีสาน กลาง และใต้ ทั้งเที่ยวคนเดียวและเทื่ยวกับครอบครัว วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวสไตล์ตระเวนเดี่ยวกันต่อที่เมืองอุตรดิตถ์ เมืองพะเยาต่อด้วยเมืองน่านกันนะครับ
ก่อนอื่นมาดูกำหนดการตระเวนเที่ยวของผมในทริปนี้ จำนวน 8 วันก่อนนะครับ
วันแรก : เดินทางจากกรุงเทพุฯ - อุตรดิตถ์ และเที่ยวย่านเมืองลับแล
วันที่ 2 : เที่ยวอุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ
วันที่ 3 : เที่ยวเก็บตกในเมืองอุตรดิตถ์ และนั่งรถต่อไปยังเมืองน่าน
วันที่ 4 : เที่ยวย่านอำเภอปัว และอำเภอท่าวังผา
วันที่ 5 : เที่ยวชมทะเลหมอกภูลังกา และเที่ยวย่านอำเภอเชียงคำ
วันที่ 6 : เที่ยวย่านเมืองพะเยา และอำเภอดอกคำใต้
วันที่ 7 : เที่ยวย่านอำเภอเชียงม่วน และเที่ยวยามค่ำคืนในเมืองน่าน
วันที่ 8 : เที่ยวเก็บตกในเมืองน่าน และเดินทางกลับกรุงเทพฯ
วันที่ 5 : เที่ยวชมทะเลหมอกภูลังกา และเที่ยวย่านอำเภอเชียงคำ
วันนี้ผมตื่นแต่ตี 5 ครึ่งเพื่อมาชมทะเลหมอกภูลังกาจากหน้าผาบริเวณที่พักบ้านทะเลหมอก แม้จะมาเฝ้าดูทะเลหมอกแต่ฟ้าสางแต่ก็มีนักท่องเที่ยวต่างทยอยกันเดินมาจากจุดชมวิวนี้กันอย่างไม่ขาดสาย จนนักท่องเที่ยวเริ่มหนาแน่นขึ้นเมื่อฟ้าเริ่มสว่าง
นักท่องเที่ยวต่างรีบจับจองพื้นที่หน้าผาริมถนนเพื่อคอยดูทะเลหมอกเบื้องล่างหุบเขาที่เริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นยามฟ้าสว่าง
สีท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีฟ้าและมีสีแดงจับอยู่ตามสันเขาฝั่งตรงข้ามของหน้าผา แสดงให้เห็นว่าอีกไม่นานดวงอาทิตย์ก็จะเริ่มโผล่พ้นแนวทิวเขาขึ้นมาทีละน้อย
พอดวงอาทิตย์เริ่มปรากฏเหนือสันเขา ภาพทะเลหมอกเบื้องล่างของหุบเขาก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัดแก่สายตา วันนี้ทะเลหมอกที่ภูลังกาไม่ได้มีหมอกหนาแน่นเท่าวันอื่น ๆ อาจเพราะอากาศไม่ได้หนาว แค่เย็นชิล ๆ เท่านั้น ถ้าลมหนาวพัดผ่านมาเมื่อไหร่อาจทำให้ที่นี่มีหมอกหนาแน่นเหมือนเช่นเคยได้
ผมว่าทะเลหมอกที่ภูลังกานี้ถึงแม้จะมีหมอกไม่มากเช่นที่อื่น แต่ความงามจากองค์ประกอบของมันจัดวางตำแหน่งให้ธรรมชาติดูสวยงามดีนะครับ ถ้าใครจะมาชมทะเลหมอกแห่งนี้ผมว่าก็ไม่ผิดหวังกับความงามที่เฝ้ารอหรอกนะครับ พอแสงแดดเริ่มแรงขึ้นบรรดาหมอกที่เคยแน่นเป็นผืนดุจผ้าห่มคลุมหุบเขาก็เริ่มละลายเป็นม่านบาง ๆ ไหลไปทั่วแอ่งเบื้องล่าง เป็นภาพที่สวยงามจับตาดีครับ
วันที่ผมมาชมทะเลหมอกภูลังกานี้แม้จะเป็นวันหยุดธรรมดาแต่ก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมกันเป็นจำนวนมาก มีทั้งมาพักค้างแรมที่รีสอร์ทแถว ๆ นี้ และบางส่วนก็ขับรถมาตอนใกล้สว่างเพื่อให้ทันในการชมทะเลหมอกยามเช้าของที่นี่
นี่ถ้าเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาวเช่นปีใหม่ สงสัยที่พักแถวนี้คงมีจำนวนไม่เพียงพอต่อปริมาณนักท่องเที่ยวที่ไหลบ่ากันมามาก ทะเลหมอกที่ภูลังกาแห่งนี้เพิ่งเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวได้ไม่นาน จากการโพสกระทู้ของนักท่องเที่ยวลงในห้องบลูเพลนเน็ตของเว็บพันทิป จึงทำให้มีคนแชร์ภาพทะเลหมอกที่นี่ออกไปอย่างกว้างขวาง จนทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างอยากมาสัมผัสดูทะเลหมอกแห่งนี้ด้วยสายตาตนเองสักครั้งว่าจะงามจริงเหมือนเช่นเห็นในภาพถ่ายหรือไม่
ทะเลหมอกแห่งนี้จะมีหมอกให้ชมจริง ๆ แค่ 1 ชั่วโมงครึ่งหลังฟ้าสว่างแล้วเท่านั้น พอ 7.30 น. หมอกก็เริ่มระเหยและจางหายไปในที่สุดเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องขึ้นสูงเหนือยอดทิวเขาแล้ว ทำให้เบื้องล่างหุบเขากลับเห็นผาช้างน้อยปรากฏอยู่ตรงกลางแอ่งที่ราบอย่างชัดเจน
เพียงไม่นานนักท่องเที่ยวที่เคยหนาตาก็เริ่มเลือนหายไป ต่างแยกย้ายกันเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก หรือบางส่วนที่มาเองก็ขับรถออกไป ทำให้ที่นี่ดูเงียบลงทันที
จริง ๆ ที่พักบริเวณจุดชมทะเลหมอกภูลังกา เท่าที่ผมเดินสำรวจก็มีอยู่ไม่มากนัก น่าจะ 7 - 8 แห่งนะครับ แต่จุดที่ถือว่าเป็นทำเลทองจริง ๆ ก็คือ ที่พักบริเวณทางโค้งของถนน ซึ่งจะเป็นหน้าผามองเห็นแอ่งที่ราบเบื้องล่างที่มีผาช้างน้อยตั้งเด่นสง่าอยู่
ยามเช้าจุดนี้แหละที่จะกลายเป็นทะเลหมอกให้เราได้ชมกัน งั้นผมขอแนะนำที่พักที่ถือว่าเป็นทำเลทองให้ผู้ชมคนอื่นได้รู้จักกันนะครับ เพราะปัจจุบันบริเวณนี้ก็มีการสร้างที่พักใหม่และกำลังสร้างขึ้นอยู่เรื่อย ๆ เพื่อรองรับการเติบโตของการท่องเที่ยวที่เริ่มมีมากขึ้น
ที่พักแห่งแรกที่ผมจะแนะนำเป็นที่พักที่ผมพักในทริปนี้ที่ภูลังกา นั่นก็คือ บ้านทะเลหมอก
บ้านทะเลหมอกเป็นที่พักที่อยู่ในตำแหน่งวิวดีครับ จากที่พักสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้ชัดเจนโดยเฉพาะจุดที่เป็นร้านอาหารของที่พักครับ ที่พักแห่งนี้จะมีร้านอาหารอยู่ 2 ร้าน ร้านแรกที่วิวดีมากจะอยู่ริมถนนมองเห็นวิว ร้านนี้จะขายอาหารและเครื่องดื่มด้วยนะครับ
ดังภาพด้านล่างเนี่ยแหละครับ
ส่วนราคาอาหารที่นี่ก็จะมีราคาสูงกว่าในเมืองสักเท่านึงนะครับ เป็นเหมือนกันทุกร้านค้าแถวนี้ เพราะเค้าต้องไปซื้อของมาจากในเมืองมาขายให้ที่นี่นะครับ จึงบวกค่าขนส่งเดินทางไปด้วยตามระเบียบครับ อย่างเช่นในเมืองขายข้าวราดกะเพราบวกไข่ดาวอยู่ที่ 35 - 40 บาท ที่นี่ก็จะขายราคาอยู่ที่ 70 - 80 บาทนะครับ อ่อ...ลืมบอกไปที่นี่ยังมีขายส้มตำ หมูกระทะ หมูจุ่ม สุกี้ ด้วยนะครับ เรียกว่าใครเป็นคนคอชอบกินอาหารจำพวกนี้รับรองมาที่นี่ไม่ขาดแคลนแน่นอนครับ
ส่วนร้านอาหารอีกแห่งของที่พักแห่งนี้ มีชื่อว่า ครัวบ้านทะเลหมอก จะอยู่ด้านล่างจากร้านอาหารข้างบน ต้องเดินลงบันไดไปนะครับ ร้านนี้จะขายอาหารป่าเป็นส่วนใหญ่ครับ
ส่วนห้องพักที่นี่มีราคาแตกต่างกันไปนะครับ รู้สึกจะมี 3 - 4 แบบให้เลือก ราคาถูกสุดคือ ห้องพักแบบน็อคดาวน์ อยู่อีกฝั่งของถนนตรงข้ามกับร้านอาหารของที่พัก เป็นห้องขนาดเล็ก ๆ แค่ 2 คนนอนครับ และมีห้องน้ำรวมที่ใช้ร่วมกันทั้งแถว ราคาอยู่ที่คืนละ 800 บาท ไม่ทราบว่าวันธรรมดาจะราคานี้ด้วยรึเปล่า
แบบที่ 2 เป็นห้องพักที่มีห้องน้ำในตัว เป็นแบบที่ผมพักครับ ห้องไม่ได้กว้างอะไรมาก นอนได้แค่ 2 - 3 คน แต่มีโทรทัศน์ให้ด้วย ราคาคืนละ 1,200 บาท ห้องไม่ได้ดีอะไร ถ้าใครไม่คิดมากเรื่องคุณภาพกับราคาก็พอพักได้ แต่ถ้าคาดหวังว่าราคาขึ้นหลักพันห้องน่าจะดีกว่านี้ก็เลือกที่อื่นพักเถอะครับ จะได้ไม่เสียดายเงิน ผมว่าราคาที่พักที่นี่ไม่ค่อยเหมาะสมกับคุณภาพของห้องพักเท่าไหร่นะครับ
แบบที่ 3 เป็นบ้านพักหลังใหญ่เหมาะสำหรับมาพักเป็นครอบครัว ตกคืนละ 1,500 - 2,000 บาท นอนได้ประมาณ 8 คน
พอดีผมจองที่พักที่นี่ได้เพราะตอนติดต่อไปยังไม่เต็ม แต่กว่าจะตอบรับเรื่องได้ปาไป 2 สัปดาห์นะครับ เพราะเจ้าของดูแล้วไม่ค่อยง้อลูกค้า บอกแต่ว่างานยุ่งต้องขายของที่ร้านอาหารแขกมาทั้งวัน ไม่ยอมคุยโทรศัพท์กับลูกค้าเลย โทรติดต่อยากมาก และให้เขียนไลน์ทิ้งไว้เดี๋ยวเขาจะเขียนตอบกลับเอง ถ้าใครเป็นคนใจเย็นรอได้ก็เชิญที่นี่ได้นะครับแต่อย่าคาดหวังคุณภาพมาก
ที่พักแห่งต่อไปที่หลายคนน่าจะรู้จักกันแพร่หลาย เพราะเป็นที่พักแรก ๆ ของแถบนี้เลยนั่นก็คือ ภูลังกาบ้านสวน หรือ ภูลังการีสอร์ท
ที่พักแห่งนี้เจ้าของอัธยาศัยดีนะครับ แต่ที่พักก็ตามสภาพเพราะเป็นบริเวณป่าเขาคงหาที่ดีที่คุณภาพดีมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมเหมือนในเมืองไม่ได้หรอกนะครับ ราคาที่พักหลังเล็กสุดอยู่ราว ๆ 600 - 800 บาทนอนได้ 2 คน หลังคาใหญ่นอนได้เป็นครอบครัวตกหลังละ 2,500 บาท