เอกชนห่วงปัจจัยลบจากภายใน-ภายนอกสะเทือนภาคผลิตไทย สงครามการค้า ราคาน้ำมันฉุดต้นทุนภาคโลจิสติกส์ขยับตาม ขณะที่ “ธนิต โสรัตน์”ให้จับตาปัจจัยภายใน เศรษฐกิจยังเติบโตแบบกระจุกตัวยังไม่กระจายถึงรากหญ้า ราคาพืชเศรษฐกิจยังตกต่ำ
นายสายัณห์ จันทร์วิภาสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ บิสเนท คอร์ปอเรชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ อีบีซีไอ เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า หากสงครามการค้าระหว่างประเทศจีนกับอเมริกาขยายผลกว้างขึ้นและอเมริกาคว่ำบาตรอิหร่านในวันที่ 4พ.ย.นี้สำเร็จ การค้าโลกจะลดลง เพราะการนำเข้าส่งออกระหว่างจีนกับอเมริกาและประเทศที่ซื้อขายสินค้ากับทั้งประเทศจะลดลงไปด้วย ในขณะเดียวกันหากประเทศซาอุดิอาระเบียถือโอกาสผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น และขายในราคาเพิ่มขึ้นด้วย ก็จะทำให้ต้นทุนด้านการขนส่งระหว่างประเทศแพงขึ้น กระทบต่อระบบโลจิสติกส์ของโลกและของไทย ดังนั้นจะเห็นว่าปัจจัยลบจากภายนอกสะเทือนภาคผลิตไทย
จึงน่าจับตามองว่าภายในปลายปีนี้ อาจเป็นไปได้ว่า
1. จีนอาจลดค่าเงินหยวนเพื่อส่งออกมากขึ้น
2. ราคาสินค้านำเข้า-ส่งออกอาจปรับตัวสูงขึ้นจากค่าการจัดการโลจิสติกส์ทั้งของโลกและของไทยที่สูงขึ้น
3. รัฐบาลจะต้องหาทางดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน30บาทต่อลิตร
4. ผู้ส่งออกต้องเร่งเจรจากับผู้ซื้อเพื่อปิดการขาย5.ภาวะการลงทุนของบางประเทศจะชะลอตัวเพื่อรอดูสถานการณ์ในอนาคต
สอดคล้องกับที่ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย มองว่า ภาคธุรกิจยังมีความกังวลต่อปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีนที่ระยะต่อไปหากขยายผล ก็จะลามถึงประเทศอื่นทั้งทางตรงและทางอ้อมมากขึ้น ทำให้หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการออกมากระจายความเสี่ยงโดยเฉพาะการออกมาลงทุนในประเทศต่างๆมากขึ้นเป็นต้น
นอกจากนี้ยังมองอีกว่า ปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศ มองเห็นถึงความเหลื่อมล้ำของ การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่เวลานี้ยังเติบโตแบบกระจุกตัว เนื่องจากเกิดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แต่ยังไม่กระจายลงไปถึงรากหญ้า เงินจึงยังไม่สะพัดถึงเศรษฐกิจฐานราก อีกทั้งพืชเศรษฐกิจเช่น ยาง ปาล์ม ราคายังตกต่ำต่อเนื่อง ยังน่าเป็นห่วงเพราะคนในภาคเกษตรมีจำนวนมาก รวมถึง คนยังเป็นหนี้เยอะ และหนี้เสียในระบบอุตสาหกรรมก็มีมาก ดังนั้นปัจจัยลบทางเศรษฐกิจยังมีผลกระทบต่อภาคการผลิตไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับอานิสงค์จากการเติบโตของเศรษฐกิจครั้งนี้
JJNY : เสดตะกิดดี๊ดี...ซี้จุกสูญ ปัจจัยลบจากภายใน-ภายนอกสะเทือนภาคผลิตไทย
นายสายัณห์ จันทร์วิภาสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ บิสเนท คอร์ปอเรชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ อีบีซีไอ เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า หากสงครามการค้าระหว่างประเทศจีนกับอเมริกาขยายผลกว้างขึ้นและอเมริกาคว่ำบาตรอิหร่านในวันที่ 4พ.ย.นี้สำเร็จ การค้าโลกจะลดลง เพราะการนำเข้าส่งออกระหว่างจีนกับอเมริกาและประเทศที่ซื้อขายสินค้ากับทั้งประเทศจะลดลงไปด้วย ในขณะเดียวกันหากประเทศซาอุดิอาระเบียถือโอกาสผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น และขายในราคาเพิ่มขึ้นด้วย ก็จะทำให้ต้นทุนด้านการขนส่งระหว่างประเทศแพงขึ้น กระทบต่อระบบโลจิสติกส์ของโลกและของไทย ดังนั้นจะเห็นว่าปัจจัยลบจากภายนอกสะเทือนภาคผลิตไทย
จึงน่าจับตามองว่าภายในปลายปีนี้ อาจเป็นไปได้ว่า
1. จีนอาจลดค่าเงินหยวนเพื่อส่งออกมากขึ้น
2. ราคาสินค้านำเข้า-ส่งออกอาจปรับตัวสูงขึ้นจากค่าการจัดการโลจิสติกส์ทั้งของโลกและของไทยที่สูงขึ้น
3. รัฐบาลจะต้องหาทางดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน30บาทต่อลิตร
4. ผู้ส่งออกต้องเร่งเจรจากับผู้ซื้อเพื่อปิดการขาย5.ภาวะการลงทุนของบางประเทศจะชะลอตัวเพื่อรอดูสถานการณ์ในอนาคต
สอดคล้องกับที่ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย มองว่า ภาคธุรกิจยังมีความกังวลต่อปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีนที่ระยะต่อไปหากขยายผล ก็จะลามถึงประเทศอื่นทั้งทางตรงและทางอ้อมมากขึ้น ทำให้หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการออกมากระจายความเสี่ยงโดยเฉพาะการออกมาลงทุนในประเทศต่างๆมากขึ้นเป็นต้น
นอกจากนี้ยังมองอีกว่า ปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศ มองเห็นถึงความเหลื่อมล้ำของ การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่เวลานี้ยังเติบโตแบบกระจุกตัว เนื่องจากเกิดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แต่ยังไม่กระจายลงไปถึงรากหญ้า เงินจึงยังไม่สะพัดถึงเศรษฐกิจฐานราก อีกทั้งพืชเศรษฐกิจเช่น ยาง ปาล์ม ราคายังตกต่ำต่อเนื่อง ยังน่าเป็นห่วงเพราะคนในภาคเกษตรมีจำนวนมาก รวมถึง คนยังเป็นหนี้เยอะ และหนี้เสียในระบบอุตสาหกรรมก็มีมาก ดังนั้นปัจจัยลบทางเศรษฐกิจยังมีผลกระทบต่อภาคการผลิตไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับอานิสงค์จากการเติบโตของเศรษฐกิจครั้งนี้