เรื่องมีอยู่ว่าเป็นคุณแม่ลูก 3 ค่ะ ผู้ชายล้วนเลย เป็นลูกครึ่งค่ะ
คู่แรกเป็นแฝดค่ะ ชื่อน้องดีแลนด์กับน้องโจชัวร์ เป็นแฝดแต่นิสัยต่างกันมากเลย
โจชัวร์จะเป็นคนชอบเล่นอะไรผาดโผนค่ะ ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เจ็บตัวมาตลอด ตอนนี้อายุ 21 แล้วค่ะ
เรียนอยู่อเมริกา ปิดเทอมก็จะมาเมืองไทยทีนึง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อซัมเมอร์ที่แล้วช่วงเดือน พฤษภา มาไทย
ก็เล่นตีลังกาอยู่ที่บ้าน ปรากฏว่าไปเล่นยังไงกันไม่รู้วิ่งมาบอกแม่ว่าเจ็บแขนมาก ตอนนั้นดึกมากแล้วค่ะ
แม่ก็เข้าไปดู ไม่มีเลือดออกอะไรก็คิดว่าไม่เป็นไรมาก กะว่าตอนเช้าค่อยไปหาหมอให้นอนพักไปก่อน
แต่น้องมาบอกว่านอนไม่ได้เลยปวดมาก ดูเหมือนแขนผิดรูปด้วย แม่ใจไม่ดีเลย ก็พาไปโรงพยาบาล
พอคุณหมอดูหมอบอกว่าภายนอกไม่มีเลือด แต่เลือดออกภายในเยอะมาก แบบนี้เรียกว่า ไหล่หลุดแล้วนะคุณแม่
ต้องผ่าตัด คุณแม่ลมจะจับเลยค่ะ แต่ว่าก็ต้องผ่าก็โอเค คุณหมอบอกว่าผ่าไปแล้ว ต้องนอน โรงบาล 2 คืนนะ
แล้วหลังจากนั้นก็ต้องพักฟื้นเยอะมาก ต้องใช้เวลา ต้องกายภาพอย่างต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 3 แสน
อันนี้มีประกันซึ่งคิดว่าน่าจะครอบคลุม ต้องเล่าก่อนว่า เนื่องจากว่าเป็นบ้านที่คุณพ่อเป็นอเมริกันค่ะ
ทั้งคุณแม่และเค้าก็เลยให้ความสำคัญกับการทำประกันมาก คือน้องๆ ทุกคนมีประกัน ตั้งแต่เกิด จนตอนนี้ 21 ก็ส่งมาไม่เคยขาด
อย่างที่บอกด้วยว่าน้องเล่นผาดโผน เด็กๆจนถึงวัยรุ่นนี่เรื่องป่วยและอุบัติเหตุนี่เกิดขึ้นได้ตลอด
นี่ทำของไทยทั้งๆที่อยู่เมืองไทยปีละไม่กี่เดือน ซึ่งหลังจากเคสนี้ทางประกันก็แนะนำให้ทำแบบ Global ไปเลย ซึ่งตอนนี้ก็ทำไปแล้วค่ะ
นี่ก็สำคัญนะคะ ทำอะไรก็เลือกดีๆ เพิ่งรู้ว่ามีแบบนี้ด้วย อันนี้ก็ต้องทำกับบริษัทประกันที่เค้ามีสาขาทั่วโลก
เข้าเรื่องต่อค่ะ การผ่าตัดก็ผ่านไปด้วยดี คุณหมอบอกว่ารอให้แผลหายดี ผ่านไปสัก 2 อาทิตย์แล้วค่อยเริ่มทำกายภาพ
การทำกายภาพจะเป็นเรื่องที่ฮีลร่างกายเราได้ดีกว่ายาอีกค่ะ มันคือการปฏิบัติ ซึ่งต้องทำซ้ำๆ สม่ำเสมอ
นอกจากตอนที่นักกายภาพมาทำให้ก็ต้องดูแลตัวเองต่อเนื่องด้วย อันนี้ก็โชคดีอีกแหล่ะ
เพราะว่าทางประกันของ Azay มีดูแลต่อ ซึ่งเค้าให้เลือกระหว่างส่งพยาบาลมาดูแล กับส่งนักกายภาพบำบัดมาที่บ้าน
แน่นอนว่าเราเลือกนักกายภาพ เค้ามาทำให้ 7 วันต่อเนื่องค่ะ ก็เป็นท่ายกแขนไปในทิศทางต่างๆ
วันหลังๆก็ให้ออกกำลังกายเองเบาๆ มีแนะนำว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง และห้ามทำอะไร
เช่น ยกของหนัก ห้ามตีลังกา 5555 ถามว่าเข็ดไหม คุณแม่คิดว่าไม่นะ แต่ก็เลิกซนไปพักนึงเลย
ตัดถาพมาที่เวลาที่แม่จะห้าม แม่จะบอกอะไรสักอย่างฟังที่ไหม ทีนักกายภาพบอกนี่
พยักหน้าบอกครับ ครับ ครับ อันนี้เป็นข้อดีของการมีผู้เชี่ยวชาญมาสอน
1 คืออีแม่นี่ไม่รู้อยู่แล้วล่ะค่ะ ว่าลูกจะต้องกายภาพยังไง
2 ลูกชายแม่อายุ 21 แล้วมึนขนาดนั้น ไม่ฟังแม่แน่นอนค่ะ จะบอกอะไรลูกที นึกว่าตัวเองเป็นนางยักษ์
3 การทำกายภาพอย่างถูกต้อง ทำให้การฟื้นตัวหายง่ายและเร็วขึ้นมากค่ะ อันนี้ต้องขอบคุณประกันที่ให้บริการเสริมนี้
พอหลังจากทำกายภาพครบ 7 วันแล้ว ทางเราก็จ้างนักกายภาพบำบัดคนเดิมกับที่ประกันส่งมาให้ต่อค่ะ
เพราะเท่าที่ดูเค้ามีความเป็นมืออาชีพ และดูแลลูกเราดีค่ะ
ที่สำคัญเค้าตรงต่อเวลาค่ะ
ตอนนี้ผ่านไป 5 เดือนแล้ว อย่างว่านะคะ วัยรุ่น ร่างกายมันยังกลับสภาพเดิมได้ไม่ยาก
ตอนนี้น้องหายเป็นปกติ กลับไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้วค่ะ
สุดท้ายนี้คุณแม่อยากบอกว่า มีลูกชายเราก็ไม่สามารถห้ามได้ทุกอย่างหรอกค่ะ
เรื่องซนเรื่องอุบัติเหตุนี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้แน่นอน แต่ว่าเรื่องนี้ก็สอนว่าให้ต้องมีสติเสมอ
ลูกเป็นอะไรก็รีบพาไปหาหมอนะคะ บางทีเราเห็นภายนอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่เราไม่รู้ว่าข้างในเป็นไงบ้าง
ดังนั้นมีอะไรก็หาหมอเถอะค่ะ คุณหมอเค้ารู้ดีกว่าเราแน่ๆ แล้วก็ด้วยความที่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร
มีประกันติดไว้ก็ดีค่ะ อันนี้ที่บ้านเราให้ความสำคัญมากๆ มันเป็นความคิดมาจากคุณพ่อน้องด้วยแหล่ะ
เพราะว่าที่เมกานี่ค่าใช้จ่าย การรักษาก็แพงมากเรื่องประกันเลยเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องทำเลย
แต่ว่าคนไทยเราอาจจะไม่ได้เห็นความสำคัญขนาดนั้น แล้วเวลาเลือกก็ดูข้อกำหนด เงื่อนไข และบริการเสริมต่างๆให้ดีค่ะ
เตือนภัย คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยซนค่ะ ลูกชายตีลังกาไหล่หลุด
คู่แรกเป็นแฝดค่ะ ชื่อน้องดีแลนด์กับน้องโจชัวร์ เป็นแฝดแต่นิสัยต่างกันมากเลย
โจชัวร์จะเป็นคนชอบเล่นอะไรผาดโผนค่ะ ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เจ็บตัวมาตลอด ตอนนี้อายุ 21 แล้วค่ะ
เรียนอยู่อเมริกา ปิดเทอมก็จะมาเมืองไทยทีนึง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อซัมเมอร์ที่แล้วช่วงเดือน พฤษภา มาไทย
ก็เล่นตีลังกาอยู่ที่บ้าน ปรากฏว่าไปเล่นยังไงกันไม่รู้วิ่งมาบอกแม่ว่าเจ็บแขนมาก ตอนนั้นดึกมากแล้วค่ะ
แม่ก็เข้าไปดู ไม่มีเลือดออกอะไรก็คิดว่าไม่เป็นไรมาก กะว่าตอนเช้าค่อยไปหาหมอให้นอนพักไปก่อน
แต่น้องมาบอกว่านอนไม่ได้เลยปวดมาก ดูเหมือนแขนผิดรูปด้วย แม่ใจไม่ดีเลย ก็พาไปโรงพยาบาล
พอคุณหมอดูหมอบอกว่าภายนอกไม่มีเลือด แต่เลือดออกภายในเยอะมาก แบบนี้เรียกว่า ไหล่หลุดแล้วนะคุณแม่
ต้องผ่าตัด คุณแม่ลมจะจับเลยค่ะ แต่ว่าก็ต้องผ่าก็โอเค คุณหมอบอกว่าผ่าไปแล้ว ต้องนอน โรงบาล 2 คืนนะ
แล้วหลังจากนั้นก็ต้องพักฟื้นเยอะมาก ต้องใช้เวลา ต้องกายภาพอย่างต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 3 แสน
อันนี้มีประกันซึ่งคิดว่าน่าจะครอบคลุม ต้องเล่าก่อนว่า เนื่องจากว่าเป็นบ้านที่คุณพ่อเป็นอเมริกันค่ะ
ทั้งคุณแม่และเค้าก็เลยให้ความสำคัญกับการทำประกันมาก คือน้องๆ ทุกคนมีประกัน ตั้งแต่เกิด จนตอนนี้ 21 ก็ส่งมาไม่เคยขาด
อย่างที่บอกด้วยว่าน้องเล่นผาดโผน เด็กๆจนถึงวัยรุ่นนี่เรื่องป่วยและอุบัติเหตุนี่เกิดขึ้นได้ตลอด
นี่ทำของไทยทั้งๆที่อยู่เมืองไทยปีละไม่กี่เดือน ซึ่งหลังจากเคสนี้ทางประกันก็แนะนำให้ทำแบบ Global ไปเลย ซึ่งตอนนี้ก็ทำไปแล้วค่ะ
นี่ก็สำคัญนะคะ ทำอะไรก็เลือกดีๆ เพิ่งรู้ว่ามีแบบนี้ด้วย อันนี้ก็ต้องทำกับบริษัทประกันที่เค้ามีสาขาทั่วโลก
เข้าเรื่องต่อค่ะ การผ่าตัดก็ผ่านไปด้วยดี คุณหมอบอกว่ารอให้แผลหายดี ผ่านไปสัก 2 อาทิตย์แล้วค่อยเริ่มทำกายภาพ
การทำกายภาพจะเป็นเรื่องที่ฮีลร่างกายเราได้ดีกว่ายาอีกค่ะ มันคือการปฏิบัติ ซึ่งต้องทำซ้ำๆ สม่ำเสมอ
นอกจากตอนที่นักกายภาพมาทำให้ก็ต้องดูแลตัวเองต่อเนื่องด้วย อันนี้ก็โชคดีอีกแหล่ะ
เพราะว่าทางประกันของ Azay มีดูแลต่อ ซึ่งเค้าให้เลือกระหว่างส่งพยาบาลมาดูแล กับส่งนักกายภาพบำบัดมาที่บ้าน
แน่นอนว่าเราเลือกนักกายภาพ เค้ามาทำให้ 7 วันต่อเนื่องค่ะ ก็เป็นท่ายกแขนไปในทิศทางต่างๆ
วันหลังๆก็ให้ออกกำลังกายเองเบาๆ มีแนะนำว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง และห้ามทำอะไร
เช่น ยกของหนัก ห้ามตีลังกา 5555 ถามว่าเข็ดไหม คุณแม่คิดว่าไม่นะ แต่ก็เลิกซนไปพักนึงเลย
ตัดถาพมาที่เวลาที่แม่จะห้าม แม่จะบอกอะไรสักอย่างฟังที่ไหม ทีนักกายภาพบอกนี่
พยักหน้าบอกครับ ครับ ครับ อันนี้เป็นข้อดีของการมีผู้เชี่ยวชาญมาสอน
1 คืออีแม่นี่ไม่รู้อยู่แล้วล่ะค่ะ ว่าลูกจะต้องกายภาพยังไง
2 ลูกชายแม่อายุ 21 แล้วมึนขนาดนั้น ไม่ฟังแม่แน่นอนค่ะ จะบอกอะไรลูกที นึกว่าตัวเองเป็นนางยักษ์
3 การทำกายภาพอย่างถูกต้อง ทำให้การฟื้นตัวหายง่ายและเร็วขึ้นมากค่ะ อันนี้ต้องขอบคุณประกันที่ให้บริการเสริมนี้
พอหลังจากทำกายภาพครบ 7 วันแล้ว ทางเราก็จ้างนักกายภาพบำบัดคนเดิมกับที่ประกันส่งมาให้ต่อค่ะ
เพราะเท่าที่ดูเค้ามีความเป็นมืออาชีพ และดูแลลูกเราดีค่ะ
ที่สำคัญเค้าตรงต่อเวลาค่ะ
ตอนนี้ผ่านไป 5 เดือนแล้ว อย่างว่านะคะ วัยรุ่น ร่างกายมันยังกลับสภาพเดิมได้ไม่ยาก
ตอนนี้น้องหายเป็นปกติ กลับไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้วค่ะ
สุดท้ายนี้คุณแม่อยากบอกว่า มีลูกชายเราก็ไม่สามารถห้ามได้ทุกอย่างหรอกค่ะ
เรื่องซนเรื่องอุบัติเหตุนี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้แน่นอน แต่ว่าเรื่องนี้ก็สอนว่าให้ต้องมีสติเสมอ
ลูกเป็นอะไรก็รีบพาไปหาหมอนะคะ บางทีเราเห็นภายนอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่เราไม่รู้ว่าข้างในเป็นไงบ้าง
ดังนั้นมีอะไรก็หาหมอเถอะค่ะ คุณหมอเค้ารู้ดีกว่าเราแน่ๆ แล้วก็ด้วยความที่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร
มีประกันติดไว้ก็ดีค่ะ อันนี้ที่บ้านเราให้ความสำคัญมากๆ มันเป็นความคิดมาจากคุณพ่อน้องด้วยแหล่ะ
เพราะว่าที่เมกานี่ค่าใช้จ่าย การรักษาก็แพงมากเรื่องประกันเลยเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องทำเลย
แต่ว่าคนไทยเราอาจจะไม่ได้เห็นความสำคัญขนาดนั้น แล้วเวลาเลือกก็ดูข้อกำหนด เงื่อนไข และบริการเสริมต่างๆให้ดีค่ะ