ทำไมบ้านเราถึงเน้นเรียนพอเศษ แทนที่จะ บังคับครูให้สอนให้ดีขึ้นรึครับ

แค่สงสัยการศึกษาไทย นับวันความห่างชั้นด้านความรู้ยิ่งมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ
สมัยผมเด็กๆ ในห้องก็ยังไม่ห่างกันเท่าไหร่ เพราะเราไม่มีการกวดวิชา หรือแข่งขันกันมากมาย
แต่ทุกวันนี้เหมือนว่าการเรียนในห้อง ไม่พอที่เอามาใช้ในการสอบ เหมือนแต่ก่อนแล้ว
เด็กๆจึงมักจะหันไปเรียนพิเศษกัน

สิ่งที่ติดใจคือ คนที่สอนพิเศษส่วนใหญ่ ก็เป็นครูในโรงเรียนนั่นเอง
เจอกันในห้องแล้วยังไม่พอต้องมาเจอกันหลังเลิกเรียน หรือ เสาร์ อาทิตย์อีก
หรือ อาจจะมีเด็กจากที่อื่นมาเรียนด้วย ก็มี
ครูบางคน สอนในห้อง อีกแบบ แต่สอนพิเศษ อีกแบบ หรือ มีสูตร เกร็ด ที่ บอกในห้องสอนพิเศษ โดยที่ไม่บอกในห้องเรียน

เด็กในห้อง พอเห็นเพื่อนเรียน แล้วได้เกรดดี(อาจจะเป็นเพราะ เรียนแล้วเข้าใจมากขั้น หรือ อ. ที่สอนพอเศษ แนะแนวข้อสอบมาให้จำก็ไม่ทราบได้)
เขาก็อยากเรียนด้วย ต้องขอตัง พ่อ แม่ มาเรียน พ่อ แม่ ก็ต้องทำงานหนัก ขึ้น เพื่อให้ลูกได้เรียนพิเศษ

พ่อ แม่ บางคน ส่งลูกเรียนพิเศษ ตั้งแต่ ป.1 (กะว่าเรียนให้มันส์ ไปข้างกันเลย)

เราปลูกฝังการจ่ายตังเรียนมากเกินไปหรือปล่าวครับ
แทนที่เราจะสร้างมาตรฐานครู หรือ จรรยาบรรณ ปลูกจิตสำนึกครู ให้รักการสอน และ อยากส่งเสริมให้เด็กไทย ก้าวหน้ามากกว่าที่จะเน้นที่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียว
รัฐควร เข้ามาดูแล ระบบ ครอบครัว อย่างจริงจัง ปลูกฝังให้ พ่อ แม่ รู้จัก สอนลูก ให้เขารักการอ่านเขียนตั้งแต่เด็กๆ
ยิ่งเด็กรักการอ่านเขียนมากเท่าไหร่ เขาจะยิ่งมีความรู้มากขึ้นเท่านั้น

เราจะเห็นได้ชัดเวลามีคนมาถามว่า จะเก่ง คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ได้ยังไง
พอถามกลับไปว่าอ่านหนังสือไปกี่รอบ กลับตอบไม่ได้ เพราะรู้ว่าตัวเอง อ่านน้อย ทำโจทย์ น้อย
สุดท้ายก็ต้องไปเรียนพิเศษ ก็ต้องอ่านเหมือนเดิม ดีหน่อยที่มีคน สรุป มาให้แล้ว พร้อมอัดใส่สมอง แค่นั้นเอง

เด็กบางคนอุตส่าห์ เสียตังเรียนตั้ง พอ ถามว่าเรียนแล้วจะไปทำงานอะไร กลับตอบไม่ได้อีก เพราะเขาโดนปลูกฝังให้เรียน
ไม่ใช่ปลุกฝังให้ใช้ชีวิตอยู่จริงๆ ที่ต้องทำงานด้วย แก้ปัญหาด้วย
หรือแม้กระทั่ง เด็กบางคน จบมาแล้วไม่สามารถทำงานในสายงานตัวเองได้
เพราะตอนเรียนก็เรียนตามเพื่อน แถมเผลอๆเพื่อนจบไปแล้ว แต่เรายังไม่จบอีกต่างหาก
เรียนมา 4-5 ปี ไม่มีอะไรเข้าหัว เพราะไม่ใช่สายวิชาที่ตัวเองถนัด


ผมมีความเชื่อในการปลูกฝังนะครับ ว่าถ้าพ่อแม่ ปลูกฝังลูกให้รักคิด รักอ่าน ลูกๆจะเก่งขึ้น
การศึกษาบ้านเราน่าจะส่งเสริมให้เด็กเห็นภาพจริงๆมากกว่าที่เป็นอยู่
ลดงานด้านวิชาการลง ลดการสอบแข่งขันที่ไร้ประโยชน์ ลดการท่องจำที่ไม่ได้ใช้

แต่หันมาปลูกฝังเด้กๆให้เขาทำจริงๆจังๆ และผมอยากให้แยกสายอาชีพตั้งแต่ ม.ต้น
ทุกวันนี้เราจะแยกเมื่อเรียน ม.ปลาย หรือ มหาลัย
ทั้งๆที่ทุกวันนี้ เด็ก ประถม หลายๆคน เริ่มมีความคิดที่ก้าวหน้าในสายอาชีพเป็นอย่างมาก
บางคน อยู่ ป.1 ป.2 ก็เริ่มจิงจังกับการประกอบหุ่นยนต์ รวมไปถึง หัด เขียนโค้ด เบื้องต้นกันไปแล้ว

มันจะดีกว่าไม๊ หาก เด้ก จบ ป.6 มาแล้ว อยากเป็น หมอ ก็เรียน เตรียมหมอ อยากทำงาน เขียนแบบ ก็เรียนเขียนแบบ
อยากเรียนไฟฟ้าก็เรียนไฟฟ้า หรืออยากทำ บัญชี หรือ บริหาร ก็เรียน เพื่อ ต่อยอดความรู้ตัวเองได้

คิดเล่นๆนะครับ เด้กคนหนึ่งอยากเป็นหมอ เขาจบ ป.6 แล้ว สามารถสอบเข้าเรียนวิทยาลัยเตรียมหมอ 3-5 ปี แล้ว สอบเข้ามหาลัย เพื่อเรียนหมออีกต่อหนึ่ง คิดดูว่าเราจะได้หมออายุน้อยที่มีประสบการณ์ มากขนาดไหน

หรือ เด็กที่ใฝ่ฝันอยากสร้างธุรกิจด้านวิศวะ เขาจบ ป.6 แล้ว สามารถสอบเข้าเรียนวิทยาลัยเตรียม 3-5 ปี แล้ว สอบเข้ามหาลัย
ส่วนเด็กที่ยังเลือกทางออกไม่ได้ก็เรียนสายสามัญเหมือนปัจจุบัน ที่เรา มีสามัญ สายอาชีพ ตอน จบ ม.3 นั่นเอง

เพราะบางทีเวลาไปบ้านหม้อ เห็นเด้กๆมาเลือกอุปกรณ์ โน่นนี่นั่น แล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า ถ้าเขาได้เรียนในสิ่งที่เขารัก ได้ความรู้ที่ถูกต้อง เขาจะไปไกลได้ขนาดไหนกันนะ

ที่สำคัญความเห็นส่วนตัว คือ เด็กที่มีความมุ่งมั่นเหล่านี้ เขาจะไม่ต้องพึ่งการสอนพิเศษ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขารัก
และ เขาจะทำมันทุกๆวันจนคล่อง และ หาทางพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆโดยที่ผู้ใหญ่ไม่ต้องมาคอย บังคับให้อ่านหนังสือ ทำการบ้านซะด้วยซ้ำไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่