ชีวิตคนเราจะ “ล้มเหลว” สักกี่ครั้ง?

ในปี 2560 ผมทำผิดพลาดมากมายจน เรียกได้ว่าพาตัวเองเข้าไปสู่จุดตกต่ำอีกจุดหนึ่งของชีวิตอีกครั้ง … ผมทุกข์ระทมกับความผิดพลาดครั้งนี้ของผม ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกแย่มากทั้งต่อตัวผมเองและต่อครอบครัวของผม ... ผมใช้เวลานานนับปีเพื่อปลอบประโลมจิตใจ รักษาเยียวบาดแผลจากความเสียหายจากสิ่งที่เกิดขึ้น ... ซึ่งวันนี้ผมคิดว่าแผลผมตกสะเก็ดแล้ว ถึงแม้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม แต่ผมก็พร้อมแล้วที่จะกลับมาสู้อีกครั้ง!!!
.
ช่วงนี้จิตใจผมกลับมาแล้ว สมองเริ่มแจ่มใสขึ้นมาบ้าง จึงเริ่มตั้งคำถามและเริ่ม “บทเรียน” ในครั้งนี้ ... นั่งทบทวนไปทบทวนมาอยู่หลายวัน ผมเกิดฉุกคิดถึงคำถามๆหนึ่งขึ้นมาว่า ... ชีวิตเราจะ “ล้มเหลว” แบบหนักๆได้สักกี่ครั้ง? ... นี่จึงเป็นที่มาของบทนี้ ตั้งแต่ผมเกิดมาจนถึง วันนี้(ปี 2561) ผมเกิดมาบนโลกได้ 34 ปี ผมเจอกับความล้มเหลวแบบหนักๆมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ในชีวิต เหตุการณ์ทั้ง 3 ครั้งของผมนั้นผมเคยเล่ามาบ้างแล้วในบทความเก่าๆ แต่ในบทนี้ผมขอนำกลับขึ้นมาเล่าอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับวิเคราะห์เรื่องราวที่ผ่านมาด้วย
.
.
วิกฤตครั้งแรก สมัยผมเรียนอยู่ชั้นปฐม
.
ครอบครัวผมเป็นข้าราชการ แม่เป็นพยาบาล พ่อเป็นตำรวจชั้นประทวน(ประจำห้องวิทยุ) ผมอาศัยอยู่บ้านพักข้าราชการมาตั้งแต่เกิด (ประมาณบ้านทาวน์เฮ้าส์กึ่งไม่กึ่งปูนสองชั้นปลูกติดๆกัน) ... เหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มจาก เราเป็นหนี้หลักล้านจากการค้ำประกันคนอื่นแล้วเขาหนี(ผมมารู้เมื่อโตแล้ว) ... ผลของมันก็คือ ครอบครัวเราย้ำแย่มาก จากค่าใช้จ่ายเดิมที่มีที่รัดตัวอยู่แล้วเรื่องราวหนี้ของคนอื่นทำให้เราแย่ลงไปอีก
.
มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมจำได้ไม่ลืมคือ แม่ยื่นเงินรายวันให้ผมแล้วก็บอกกับผมว่าให้ตั้งใจเรียน แล้วก็ร้องไห้ไปกอดกับพ่อบอกว่าเราไม่มีเงินเหลืออีกแล้ว!!!! … ผมยังเด็กอาจจะไม่รู้ถึงความกดดันต่อชีวิตมากเพราะพอกับแม่ท่านยังคอยโอบอุ้มคอยเป็นเกราะกำบังให้เราอยู่ แต่การดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนไปมาก เงินค่าขนมผมน้อยลงมากหรือไม่ได้เลย!!! ... ผมจำได้ว่าผมได้ค่าขนมน้อยมากจนแทบไม่ได้ซื้ออะไรเลย แต่ในตอนนั้นบางวันพ่อผมไปรับจากโรงเรียนไม่ได้ พ่อผมก็จะให้เงินนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับบ้าน ผมไม่นั่งผมเลือกที่จะเดิน 3-4 กม. กลับบ้าน เพราะอยากเก็บตังค์ค่ารถไว้ซื้อขนม!!! ถ้าวันเสาร์อาทิตย์ไหนแม่ผมไม่ได้เข้าเวร(ท่านทำงานเป็นกะ) ก็จะพาผมไปขายเสื้อผ้ามือสอง นั่งรถไปหลายต่อเป็นชั่วโมง นั่งขายครึ่งค่อนวัน ค่ำๆกลับ ... เรื่องราวมันบีบคั้น ค่ากินอยู่วันนั้นๆ ขึ้นอยู่กับเสื้อผ้าที่ขายได้เลยทีเดียว แต่ในท้ายที่สุดเราก็ผ่านมันมาได้ด้วยความมุมานะ ความอดทน และความมุ่งมั่นของท่านทั้งสอง ... เรื่องราวมันสอนเราว่า เงินมันมีค่าขนาดไหนเมื่อยามที่เราไม่มีมัน … ตอนเด็กๆ ผมก็ไม่รู้หลอกครับว่าเรื่องราววิกฤตครั้งนั้นมันเกิดจากอะไร เพียงแต่รับรู้ได้ถึงผลที่มันเกิดขึ้น รับรู้ถึงความยากลำบากในยามที่เราไม่เหลืออะไรเลย แต่พอผมโตขึ้นจึงรู้ว่าครั้งนั้นเกิดจากการค้ำประกันผู้อื่น!!!
.
ความล้มเหลวครั้งนี้เป็นบทเรียนจนกลายมาเป็นรากฐานของครอบครัวผมจนมาถึงปัจจุบัน
.
.
วิกฤตครั้งที่สอง สมัยผมเรียนอยู่ชั้นมหาวิทยาลัย
.
ชีวิตผมก็ดำเนินเรื่อยมาตามลำดับจนผมสอบติด คณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ความล้มเหลวในชีวิตครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้น เพราะ ผมพาตัวเองเข้าไปสู่วงการอบายมุข เหล้า สุรา การพนัน ยาเสพติด(สายเขียว) และ ทะเลาะวิวาทพกปืนผาหน้าไม้ถล่มกันก็เคยมี ผมหวิดคุกหวิดตารางหลายรอบมาก โดนเจ้าหน้าที่เอาเท้าเหยียบอกจับใส่กุญแจมือขึ้นหลังรถก็เคยมาแล้ว ... แน่นอนว่านอกจากผมหวิดจะหมดอนาคตหลายครั้งแล้ว โดนภาคทัณฑ์จากกรณีดื่มสุราในมหาวิทยาลัย ผลของมันอีกอย่างคือผมจะโดนรีไทร์ เรียนมา 3-4 เทอม แต่เกรดรวมน่าจะราวๆ 1.70 !!!
.
รู้สึกตัวอีกทีคือย่ำแย่มากแล้ว รู้สึกตัวอีกทีก็งงไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไรดีและจะเริ่มจากตรงไหน? แต่คิดแล้วละว่าเป็นแบบนี้ต่อไปแย่แน่ เพราะ แค่นี้ก็จะกู่ไม่กลับอยู่แล้ว ... อย่างแรกเลยคือตั้งสติ ตั้งมั่นว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว แล้วพาตัวเองออกมาจากสังคมนั้น ให้กลับมาสู่เส้นทางที่ควรจะเป็น
.
ผมมองว่าทุกอย่างเริ่มจากจิตใจ เลยเริ่มอ่านหนังสือแนวเพิ่มพลังชีวิตและ โชคดีมากที่ตอนนั้นผมได้อ่านหนังสือที่มีชื่อว่า “The Magic of Thinking Big คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” ทำให้ผมกล้าคิดกล้าฝันขึ้นมาอีกครั้ง โดยประคองผลการเรียนให้ดีขึ้น พร้อมกับแสวงหาแนวทางของตัวเองเริ่มจากคำถามง่ายๆว่า “เกรดย่ำแย่ขนาดนี้จะเอาอะไรไปสู้กับพวกที่เกรดดีๆตั้งใจเรียน” สรุปสิ่งที่ผมค้นพบก็คือ ทักษะทางด้านการเงินและการลงทุน ผมจึงทุ่มความสนใจไปในสิ่งนี้ที่น่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อไปในอนาคตได้
.
การล้มเหลวครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญในชีวิต เพราะ ผมล้มเหลวในแง่การใช้ชีวิต ณ ตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ผมทำมันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำ ทำเพราะความคึกคะนอง ความคึกคะนองนี้สามารถจะเปลี่ยนแปลงอนาคตผมไปสู่วามมืดมนได้เพียงแค่ผมข้ามเส้นบางๆเส้นหนึ่งไป หรือเพียงแค่โชคร้ายอีกสักนิดนึง ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ... การที่ผมก้าวออกมาได้ สิ่งที่ผมได้คือ ความเข้มแข็งและความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามคนอื่นให้ทันใน ... ซึ่งผมค้นพบว่า ความพยายามที่มากพอนั้น จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จที่คู่ควรเสมอ
.
ขอนอกเรื่องนิดนึง ... เพื่อนๆผมสมัยที่ยังเกเร เกือบทั้งหมดรีไทร์แล้วก็วนเวียนๆอยู่ในวงโคจรเดิมๆ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพราะบางคนจบลงด้วยความตาย แต่ก็มีบางส่วนที่กลับตัวกลับใจขึ้นมาได้!!! คนที่ออกจากวงนั้นมาได้นอกจากผมก็มีเพื่อนสนิทผมอีกคน ... เมื่อปี 2556 ก่อนเคยเล่าว่าตอนนั้นเขาทำกำไรหลักแสนต่อเดือน อัพเดทล่าสุดตอนนี้หลักล้านต่อเดือน บ้านหลังใหญ่โตขับเบนซ์อีคลาสไปแล้ว เพราะ เขาสามารถดันตัวเองขึ้นเป็น Top 10 ของวงการได้สำเร็จ ... (บทความเก่าๆ เมื่อ 5 ปีก่อน ชื่อบทความว่า ... ผมขอเรียกเขาว่า ... ยอดมนุษย์ https://goo.gl/sgEVze)
.
.
วิกฤตครั้งที่สาม ความล้มเหลวที่สมบูรณ์แบบ
.
จากการล้มเหลวครั้งที่ 2 เวลาเดินผ่านมาได้สิบปีเศษ ผมพาตัวเองแล้วครอบครัวก้าวขึ้นสู่จุดที่สูงที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา ในแง่ชีวิต ผมไปเรียนต่อโทจนจบสายบริหาร แต่งงานมีลูก 2 คน ครอบครัวสมบูรณ์พูนสุขตามอัตภาพ สุขภาพก็ดีพอไปได้ แต่ในแง่การงานการเงินถือว่ารุ่งเรือง ผมมีธุรกิจที่ดูแลหลายสายค้าขายอุปกรณ์โรงงาน บ้านเช่า ร้านอาหาร และ สิ่งที่ทำให้ผมลืมตาอ้าปากได้คือเริ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เล็กๆ ช่วงจุดสูงสุดของช่วงนี้ผมสามารถลงทุนในโครงการหลักสิบล้านบาทได้!!!
.
จนมาถึงจุดที่ทุกอย่างระเบิดออก ผมขอตั้งชื่อความล้มเหลวครั้งนี้ว่า ความล้มเหลวที่สมบูรณ์แบบ เพราะ ผมล้มเหลวทุกด้านของชีวิตการงานที่ล้มเหลว การเงินที่ร่อแร่ขาดทุนหลายล้าน จำต้องขายหลายสิ่งหลายอย่างที่มีเพื่อประคองให้อยู่รอด ... สุขภาพย่ำแย่ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ และ ในท้ายที่สุดก็ลามไปถึงปัญหาครอบครัว!!!! เหตุผลและที่มาที่ไปขอไม่ลงลึกนะครับ เพราะ เขียนไว้ในบทนี้แล้ว (5 บทเรียนชีวิต ใน 1 ปี!!! https://pantip.com/topic/37392451)
.
อ.เลิศมงคล วราเวณุชย์ ท่านเคยเขียนไว้ในหนังสือของท่านว่า ชีวิตประกอบด้วย 3 องค์ ... 1.การงานการเงิน 2.ครอบรัว และ 3.ชีวิตส่วนตัว ... ความล้มเหลวส่วนแรกในเชิงธุรกิจ เพราะ ผมประมาทมากเกินไป ย่ามใจมากเกินไป ประกอบกับทำงานแบบกระจายมากเกินไปจนดูแลไม่ทั่วถึง เล็งผลเลิศแต่เมื่อผิดแผนแล้วแผนสำรองไม่รัดกุมมากพอ ในจนทำให้ชีวิตในส่วนนี้พังทลายลง … ความล้มเหลวต่อมาชีวิตส่วนตัว ผมหันไปพึ่งสุราเพื่อดับความคิดความวิตกกังวล และแน่นอนนั่นคือหายนะเพราะในท้ายที่สุดร่างกายก็รับไม่ไหวล้มป่วยในที่สุด ... เงินไม่ได้สำคัญที่สุดในชีวิตแต่ถ้าเราไม่มีมันทุกอย่างในชีวิตจะกระทบกระเทือน รวมทั้งชีวิตครอบครัวผมด้วยเช่นกัน!!!
.
ผมบอกกับภรรยาว่ามันอาจจะลำบากสักหน่อย นานสักนิดแต่เราจะผ่านมันไปได้ในท้ายสุด ผมบอกกับแม่ผมว่าแต่ก่อนเมื่อวิกฤตครั้งแรก(เรื่องค้ำประกันเรา)เราแย่กว่านี้เยอะ ตอนนี้เรามีมากกว่านั้น ถ้าไม่ไหวทรัพย์สินที่เราหามาได้ก็ขายไป ยืดมั่นถือมั่นไปก็ทุกข์มากเท่านั้น!!!
.
จากปัญหาที่เกิดขึ้นก็พยายาม "แก้ปม" ที่ตัวเองผูกไว้เกือบทุกกระบวนท่า ผลคือยิ่งแก้ก็ยิ่งรัด ยิ่งรนก็พลาด บางปมแทนที่จะดีขึ้นกลับแย่ลงไปอีก ในท้ายที่สุดผมใช้กระบวนท่าสุดท้าย ... ขายเพื่อใช้หนี้ และ นิ่งเฉยๆต่อปัญหา … บางทีปัญหามันต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา ... ผมก็เลยนิ่งเฉยเสียปล่อยให้เวลาตะกอนปัญหาให้เห็นเน้นๆ ปล่อยเฉยให้เวลาชำระล้างจิตใจให้เย็นลงเพื่อในตัดสินใจได้เฉียบขาดถูกต้องแบบที่ควรจะเป็น มาจนถึงวันนี้ทุกอย่างดีขึ้นตามลำดับ ถึงแม้ว่าหนี้ยังมีปัญหายังมาแต่คิดว่าผมผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว รอบนี้คงไม่ลงต่ำกว่านี้อีกแล้ว ผมล้มก็จริงแต่ไม่ได้ถึงขั้นหมดตัวล้มละลาย ผมยังพอมีทุน ยังพอมีทางอยู่บ้าง รอเพียงจิตใจกลับมาสภาพดีและพร้อมที่จะลุยอีกครั้งเท่านั้น
.
วิกฤตครั้งนี้สอนอะไร ความล้มเหลวครั้งนี้สอนผมเยอะมาก มีบทเรียนในเกือบทุกเรื่อง แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ ผมไม่พร้อมที่จะล้มเหลวแบบสุดกู่แบบนี้อีกแล้วเพราะตอนนี้ผมมีพันธะและภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแลเพราะผมมีลูกมีครอบครัว การผิดพลาดครั้งนี้แน่นอนผมพาพวกเขาล้มลงไปด้วย แต่ต่อไปผมไม่อยากเจอสภาพแบบนี้อีกแล้ว ฉะนั้นทุกย่างก้าวต่อไปของผมต้องปลอดภัยมากที่สุดเพื่อตัวผมเองและพวกเขา
.
.
.
นี่คือความล้มเหลวจนกลายเป็นวิกฤตของชีวิตผม 3 ครั้ง ... วิกฤตตอนเด็กๆ ครอบครัวลงดิ่งอยากหนัก แต่การรับรู้ต่อโลกยังน้อย มองโลกผ่านตาแต่ก็รับรู้ถึงความหนักหน่วงของปัญหาได้ด้วยใจ ... วิกฤตตอนวัยรุ่นวัยเรียน การรับรู้ต่อโลกพอมีแต่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ความรับผิดชอบต่อตัวเองและคนรอบข้างมีน้อยถึงน้อยมาก จนพาตัวเองดำดิ่งลงไปสู่หนทางแห่งความวิบัติ ... วิกฤตครั้งที่สาม การรับรู้ต่อโลกมี เหตุผลมีแต่ตั้งอยู่บนความประมาท
.
ทุกครั้งที่ผมล้มเหลวถามว่าผมเสียใจหรือไม่ แน่นอนว่าผมเสียใจมากถึงมากที่สุด ... แต่ผมจะไม่ยอมจมอยู่กับมัน เพราะ ในท้ายที่สุดมันก็คืออดีต ไม่ว่าจะเรียกร้องเท่าไหร่มันก็คงไม่หวนกลับมา สิ่งที่ผมทำได้คือผมจะเรียนรู้จากมัน นำเรื่องราวเหล่านั้นมาเป็นบทเรียนที่จะใช้ชีวิตต่อไปในวันข้างหน้าให้ดีกว่าเดิม!!! ... เงินทองเสียไปหาใหม่ได้แน่นอน ตราบที่ใจยังสู้ สมองยังมี และ มือยังทำ!!!
.
ชีวิตเราจะความล้มเหลวสักกี่ครั้ง? … ชีวิตนี้จะมีใครสามารถบอกเราได้หรือไม่ว่าจะล้มเหลวเมื่อใด? ... หรือถ้าล้มลงแล้วจะกลับมาได้หรือไม่? ... หรือล้มเหลวแล้วถ้าลุกขึ้นมาได้จะสำเร็จหรือไม่? ... ไม่รู้ว่าคำถามนี้ใครจะตอบได้ ถ้าจะมีใครสักคนตอบคำถามเหล่านี้ได้ก็คงมีคนเดียวนั่นคือ ตัวเราเอง !!!
.
ขอสติจงสถิตอยู่กับทุกท่าน ... สวัสดี

.
...[^_^]…
.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่