เ
รื่องสั้นวันพุธ (31 ต.ค. 61) : เด็กหญิงในห้องสมุด
โดย ลิอ่อง
ใครหรือที่
ว่ากันว่า สายลมหนาวคือสายลมของความรัก ?
ถ้าเป็นดังว่า รอบตัวผมยามนี้คงอบอวลไปด้วยกลิ่นไอแห่งรัก เพราะว่าอากาศที่นี่หนาวมาก จนทำให้ผมต้องสวมเสื้อซ้อนกันถึงสามตัว และรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของตนเองช้าลงกว่าปกติ เพราะดูเหมือนแข้งขาจะแข็งเกร็งอย่างไรบอกไม่ถูก
ถึงหน้าหนาวอีกครั้ง ผมยังคงคิดถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมากเป็นพิเศษ เธอเคยเข้ามาใช้บริการยืมหนังสือที่ห้องสมุดในหมู่บ้านของเราที่ผมดูแลอยู่ คลังหนังสือเด็กที่เป็นอานิสงส์จากงานการศึกษานอกโรงเรียน และน้ำใจจากคนหนุ่มสาวในกรุงเทพฯ ที่เป็นเครือข่ายกับเพื่อนเก่าของผม และเธอคนนี้ก็ไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่มักมีเพื่อนๆ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงขี่จักรยานติดตามกันมาเป็นโขยง
เธอมีชื่อเล่นว่า “แพม” เด็กหญิงวัยสิบขวบ ใบหน้าหวาน ตาโต ยิ้มเก่ง และชอบตั้งคำถาม แพมเป็นลูกสาวคนโตของแม่ค้าขายอาหารทอดในหมู่บ้าน แม่ของเธอเลิกกับพ่อแล้วแต่งงานใหม่ ก่อนที่จะมีน้องชายต่างพ่อให้เธออีกคนหนึ่ง เพิ่งอยู่ในวัยหัดเดินเตาะแตะ พ่อเลี้ยงของเธอเป็นคนหนุ่มอายุยังไม่ถึงสามสิบห้า แก่กว่าแม่ของเธอเล็กน้อย เขาเป็นคนขรึมที่สูบบุหรี่ค่อนข้างจัด
ผมตัดสินใจจะปั้นแพมให้เป็นแกนนำของเด็กๆ ในหมู่บ้านของเรา หลังจากที่อำเภอจัดกิจกรรม
“รักใครให้ชวนปั่น” แล้วแพมขออาสาพาเพื่อนๆ ไปร่วมปั่นจักรยานในนามตัวแทนนักเรียนในโรงเรียนจากหมู่บ้านของเรา เธอเป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีทีเดียว ถ้าได้รับการหนุนเสริมที่ถูกทาง ผมเชื่อเหลือเกินว่าเด็กคนนี้ต้องก้าวไปไกลแน่นอน
พอผมเอ่ยปากชวนแพมครั้งแรก เธอถึงกับตกตะลึงก่อนจะยิ้มกว้าง
“ครูพูดจริงหรือคะ ?”
“จริงสิ เดี๋ยวครูจะไปคุยกับแม่ของหนูด้วย ดีมั้ยล่ะ ?”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “กลุ่มเด็กดีมีความสุข” ในหมู่บ้านของเราโดยมีแพมกับเพื่อนๆ เป็นแกนนำ ร่วมด้วยเด็กๆ วัยประถมทั้งในหมู่บ้านของเราและเขตใกล้เคียง พวกเขานัดหมายเพื่อพบปะทำกิจกรรมกันทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ห้องสมุด หนึ่งในนั้นคือการดูหนังเพื่อตั้งคำถามชิงรางวัล โดยที่ผมพยายามเลือกหนังที่น่าสนใจและเพลิดเพลินสำหรับเด็กๆ มาเปิดให้นั่งดูไปด้วยกัน
เด็กที่ชื่นชอบกิจกรรมนี้มากคนหนึ่งคือ ออย น้องชายของมุกดา เพื่อนสนิทของแพม ออยถึงกับอาสาทำตั๋วดูหนังเพื่อนำไปชักชวนเพื่อนๆ ให้เข้ามาดู
“แจกฟรีครับ แจกฟรี”
ออยเดินพูดตามหลังแพมและพี่สาวของเขาขณะเดินเลือกซื้อของที่ตลาดนัดยามเย็นของหมู่บ้าน เด็กชายยื่นตั๋วดูหนังที่ออกแบบเองส่งให้แม่ค้าพ่อค้าที่มีลูกหลานตัวเล็กๆ วิ่งเล่นกันอยู่แถวนั้น
“ไปดูหนังที่ห้องสมุดกันนะออโต้ มีหนังสือนิทานให้ยืมด้วย” ออยร้องบอกเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง
“ครูแจกขนมให้กินด้วยล่ะ” แพมชวนเด็กรุ่นน้องที่สนใจเดินเข้ามาล้อมวงฟัง
ผมมองภาพนั้นด้วยความปลื้มใจ และรู้สึกพอใจแทนบรรดาผู้ปกครองหลายๆ คนที่ไม่มีเวลาอยู่กับลูกหลาน ระยะหลังจึงมีย่ายายบางคนที่ออกปากฝากฝังพวกเด็กๆ ไว้กับผม
“ฝากดาเด้อครู ฉันไม่มีเวลาพามันไปไหนร้อก จะพาไปวัดรึก็เท่ากับ
พาลิงเข้าวัด โอ๊ย มันซนกันแท้ๆ”
โชคดีมากที่เพื่อนเก่าของผม-ยู เมื่อเขารู้ข่าว จึงรวบรวมซีดีหนังเก่าๆ ส่งมาให้ถึงบ้าน พอได้รับพัสดุ ผมก็ยกไปไว้ในห้องสมุดของพวกเราทันที
“
ขอบคุณนะยู” ผมโทรไปหาเพื่อตอบรับน้ำใจดีของเพื่อนด้วยความซาบซึ้ง
กิจกรรมของกลุ่มเด็กดีมีความสุขดำเนินมาด้วยความราบรื่น กระทั่งจวนจะสิ้นหยาดฝนยามสิ้นเดือนตุลาคม หมอกหนาและอากาศหนาวเย็นบนถิ่นที่ราบสูงเข้ามาทักทายทุกคนในช่วงที่เด็กๆ เตรียมตัวไปโรงเรียนสำหรับภาคเรียนที่สอง แม่ของแพมก็มาหาผมที่บ้านด้วยข่าวที่ทำให้หัวใจห่อเหี่ยว
เธอต้องเข้าไปหางานใหม่ในกรุงเทพฯพร้อมกับสามีที่มีญาติอยู่ที่นั่น ทั้งคู่จึงตกลงใจย้ายกันไปทั้งครอบครัว รวมทั้งแพมด้วย
“ฉันก็อยากส่งเสียลูกให้เขาไปได้ดีที่สุดแหละค่ะครู” เธอพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบา ดูเหมือนจะค่อนข้างเศร้า สำหรับเธอที่เกิดและเติบโตมากับชนบทบ้านทุ่งแห่งนี้
แพมมาลาผมกับเพื่อนๆ ของเธอ ในวันอาทิตย์สุดท้ายที่อากาศหนาวเย็นเพียงยี่สิบองศา เธอสวมเสื้อกันหนาวสีขาวแดงอย่างชุดแซนตาคลอส แต่ไม่ได้สวมหมวก และไม่มีรอยยิ้มอย่างเคย เป็นการจากลาครั้งแรกของกันและกันที่ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด ผมยิ้มให้เธอที่ดูซึมลงไป กับแสร้งพูดหยอกเย้า
“ไม่เป็นไรนะแพม เดี๋ยวค่อยไลฟสดมาสอนการบ้านเพื่อนๆ....เราไม่ได้จากกันซักหน่อย”
เด็กๆ ในห้องนิ่งเงียบ บางคนมีสีหน้าเจื่อน บางคนจ้องหน้าแพมด้วยแววตาอาลัย ผมรู้ดีว่าทุกคนสูญเสียเพื่อนคนสำคัญไป เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องอธิบายและสร้างความเข้าใจให้พวกเขาสำหรับการจากลาในวัยเยาว์
วันเวลาค่อยเคลื่อนไป พร้อมกับความเติบโตของเด็กๆ ทั้งกาย ทั้งใจ ให้คนที่คอยปลูกปั้นอย่างเช่นผมได้สัมผัสด้วยความเอ็นดู แช่มชื่น ปลาบปลื้ม รวมทั้งวุ่นวาย โกลาหลในบางครา
ผมคัดเลือกเด็กชายและเด็กหญิงในหมู่บ้านขึ้นมาทำหน้าที่แกนนำกลุ่ม เรียนรู้การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ผ่านกระบวนการกลุ่ม โดยอาศัยห้องสมุดของเราเป็นแหล่งบ่มเพาะ
พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ผมและเด็กๆ ก็คงจะคิดเหมือนๆ กันว่า เรา
อยากพบเธออีก... แพม โดยเฉพาะผมที่
อยากรู้ว่า เธอจะเติบโตเป็นคนแบบไหน ผมคิดว่าผมคงจะได้รู้ข่าวคราวของเธอบ้างในสักวัน จากใครสักคนในหมู่บ้านที่รู้จักมักคุ้นกับแม่ของเธอ
แต่...
เรื่องมันเศร้า และ
โลกไม่ใช่ของเรา สิ่งที่เรารอคอยและคาดหวัง ไม่ได้เป็นดั่งที่เราคาดคิดและรอคอยเสมอไป
กลางเดือนกันยายนของปีถัดมา ผมรู้ข่าวของแพมจากป้ามล คนขายกับข้าวหน้าโรงเรียนว่า เธอถูกไฟช็อตข้างเวทีการแสดง ขณะเตรียมตัวขึ้นไปแสดงจินตลีลาในงานวันแม่ที่โรงเรียนจัดขึ้นเป็นพิเศษให้แก่บรรดาผู้ปกครอง และเธอก็จากทุกคนไปในค่ำคืนนั้น
“นาคะเร....
สูตรพม่าสองหาง...
ตัวช่วยดี สูตรใหม่ ลดไว ไม่โยโย่”
เสียงรถโฆษณาขายเครื่องสำอางแล่นผ่านหน้าบ้านของผม มันเข้ามาปลุกให้ผมตื่นจากห้วงภวังค์ที่กำลังคิดถึงเด็กหญิงคนนั้น
“
ประเทศกูมี...ประเทศกูมี” เสียงร้องแผดดังตามมา อาจเป็นเครื่องขยายเสียงของใครสักคนในย่านนั้นที่คงจะอยากเติมเต็มอารมณ์ประชดประชันบางสิ่งบางอย่าง
ผมเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นลุกขึ้นยืน บอกตัวเองว่า เวลากำลังล่วงไป สำหรับชีวิตหนึ่งที่เพิ่งจากไปนั้น มันจบลงแล้ว เป็นอนิจจัง ตามธรรมดาของโลก และสิ่งที่ผมต้องทำต่อไปก็คือ ดูแลเด็กๆ ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุด
...............................
(ตุลาคม 2561)
หมายเหตุ : เรื่องนี้เขียนขึ้นจากการที่ผู้เขียนเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมอบรม "นักสื่อสารเพื่อสร้างสรรค์สังคมไทย"
โดย มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ (27-28 ต.ค. 61)
บนเงื่อนไขการนำคำที่คัดเลือกมาจากข้อความแรกที่น่าประทับใจใน facebook ของผู้เข้าอบรมแต่ละคนจำนวน 10 คำ
แล้วนำมาผูกเข้าเป็นเรื่อง (คำทั้ง 10 คำนั้น ผู้เขียนขีดเส้นใต้เอาไว้แล้วค่ะ)

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ
เรื่องสั้นวันพุธ (31 ต.ค. 61) : เด็กหญิงในห้องสมุด
โดย ลิอ่อง
ใครหรือที่ว่ากันว่า สายลมหนาวคือสายลมของความรัก ?
ถ้าเป็นดังว่า รอบตัวผมยามนี้คงอบอวลไปด้วยกลิ่นไอแห่งรัก เพราะว่าอากาศที่นี่หนาวมาก จนทำให้ผมต้องสวมเสื้อซ้อนกันถึงสามตัว และรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของตนเองช้าลงกว่าปกติ เพราะดูเหมือนแข้งขาจะแข็งเกร็งอย่างไรบอกไม่ถูก
ถึงหน้าหนาวอีกครั้ง ผมยังคงคิดถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมากเป็นพิเศษ เธอเคยเข้ามาใช้บริการยืมหนังสือที่ห้องสมุดในหมู่บ้านของเราที่ผมดูแลอยู่ คลังหนังสือเด็กที่เป็นอานิสงส์จากงานการศึกษานอกโรงเรียน และน้ำใจจากคนหนุ่มสาวในกรุงเทพฯ ที่เป็นเครือข่ายกับเพื่อนเก่าของผม และเธอคนนี้ก็ไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่มักมีเพื่อนๆ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงขี่จักรยานติดตามกันมาเป็นโขยง
เธอมีชื่อเล่นว่า “แพม” เด็กหญิงวัยสิบขวบ ใบหน้าหวาน ตาโต ยิ้มเก่ง และชอบตั้งคำถาม แพมเป็นลูกสาวคนโตของแม่ค้าขายอาหารทอดในหมู่บ้าน แม่ของเธอเลิกกับพ่อแล้วแต่งงานใหม่ ก่อนที่จะมีน้องชายต่างพ่อให้เธออีกคนหนึ่ง เพิ่งอยู่ในวัยหัดเดินเตาะแตะ พ่อเลี้ยงของเธอเป็นคนหนุ่มอายุยังไม่ถึงสามสิบห้า แก่กว่าแม่ของเธอเล็กน้อย เขาเป็นคนขรึมที่สูบบุหรี่ค่อนข้างจัด
ผมตัดสินใจจะปั้นแพมให้เป็นแกนนำของเด็กๆ ในหมู่บ้านของเรา หลังจากที่อำเภอจัดกิจกรรม “รักใครให้ชวนปั่น” แล้วแพมขออาสาพาเพื่อนๆ ไปร่วมปั่นจักรยานในนามตัวแทนนักเรียนในโรงเรียนจากหมู่บ้านของเรา เธอเป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีทีเดียว ถ้าได้รับการหนุนเสริมที่ถูกทาง ผมเชื่อเหลือเกินว่าเด็กคนนี้ต้องก้าวไปไกลแน่นอน
พอผมเอ่ยปากชวนแพมครั้งแรก เธอถึงกับตกตะลึงก่อนจะยิ้มกว้าง
“ครูพูดจริงหรือคะ ?”
“จริงสิ เดี๋ยวครูจะไปคุยกับแม่ของหนูด้วย ดีมั้ยล่ะ ?”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “กลุ่มเด็กดีมีความสุข” ในหมู่บ้านของเราโดยมีแพมกับเพื่อนๆ เป็นแกนนำ ร่วมด้วยเด็กๆ วัยประถมทั้งในหมู่บ้านของเราและเขตใกล้เคียง พวกเขานัดหมายเพื่อพบปะทำกิจกรรมกันทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ห้องสมุด หนึ่งในนั้นคือการดูหนังเพื่อตั้งคำถามชิงรางวัล โดยที่ผมพยายามเลือกหนังที่น่าสนใจและเพลิดเพลินสำหรับเด็กๆ มาเปิดให้นั่งดูไปด้วยกัน
เด็กที่ชื่นชอบกิจกรรมนี้มากคนหนึ่งคือ ออย น้องชายของมุกดา เพื่อนสนิทของแพม ออยถึงกับอาสาทำตั๋วดูหนังเพื่อนำไปชักชวนเพื่อนๆ ให้เข้ามาดู
“แจกฟรีครับ แจกฟรี”
ออยเดินพูดตามหลังแพมและพี่สาวของเขาขณะเดินเลือกซื้อของที่ตลาดนัดยามเย็นของหมู่บ้าน เด็กชายยื่นตั๋วดูหนังที่ออกแบบเองส่งให้แม่ค้าพ่อค้าที่มีลูกหลานตัวเล็กๆ วิ่งเล่นกันอยู่แถวนั้น
“ไปดูหนังที่ห้องสมุดกันนะออโต้ มีหนังสือนิทานให้ยืมด้วย” ออยร้องบอกเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง
“ครูแจกขนมให้กินด้วยล่ะ” แพมชวนเด็กรุ่นน้องที่สนใจเดินเข้ามาล้อมวงฟัง
ผมมองภาพนั้นด้วยความปลื้มใจ และรู้สึกพอใจแทนบรรดาผู้ปกครองหลายๆ คนที่ไม่มีเวลาอยู่กับลูกหลาน ระยะหลังจึงมีย่ายายบางคนที่ออกปากฝากฝังพวกเด็กๆ ไว้กับผม
“ฝากดาเด้อครู ฉันไม่มีเวลาพามันไปไหนร้อก จะพาไปวัดรึก็เท่ากับพาลิงเข้าวัด โอ๊ย มันซนกันแท้ๆ”
โชคดีมากที่เพื่อนเก่าของผม-ยู เมื่อเขารู้ข่าว จึงรวบรวมซีดีหนังเก่าๆ ส่งมาให้ถึงบ้าน พอได้รับพัสดุ ผมก็ยกไปไว้ในห้องสมุดของพวกเราทันที
“ขอบคุณนะยู” ผมโทรไปหาเพื่อตอบรับน้ำใจดีของเพื่อนด้วยความซาบซึ้ง
กิจกรรมของกลุ่มเด็กดีมีความสุขดำเนินมาด้วยความราบรื่น กระทั่งจวนจะสิ้นหยาดฝนยามสิ้นเดือนตุลาคม หมอกหนาและอากาศหนาวเย็นบนถิ่นที่ราบสูงเข้ามาทักทายทุกคนในช่วงที่เด็กๆ เตรียมตัวไปโรงเรียนสำหรับภาคเรียนที่สอง แม่ของแพมก็มาหาผมที่บ้านด้วยข่าวที่ทำให้หัวใจห่อเหี่ยว
เธอต้องเข้าไปหางานใหม่ในกรุงเทพฯพร้อมกับสามีที่มีญาติอยู่ที่นั่น ทั้งคู่จึงตกลงใจย้ายกันไปทั้งครอบครัว รวมทั้งแพมด้วย
“ฉันก็อยากส่งเสียลูกให้เขาไปได้ดีที่สุดแหละค่ะครู” เธอพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบา ดูเหมือนจะค่อนข้างเศร้า สำหรับเธอที่เกิดและเติบโตมากับชนบทบ้านทุ่งแห่งนี้
แพมมาลาผมกับเพื่อนๆ ของเธอ ในวันอาทิตย์สุดท้ายที่อากาศหนาวเย็นเพียงยี่สิบองศา เธอสวมเสื้อกันหนาวสีขาวแดงอย่างชุดแซนตาคลอส แต่ไม่ได้สวมหมวก และไม่มีรอยยิ้มอย่างเคย เป็นการจากลาครั้งแรกของกันและกันที่ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด ผมยิ้มให้เธอที่ดูซึมลงไป กับแสร้งพูดหยอกเย้า
“ไม่เป็นไรนะแพม เดี๋ยวค่อยไลฟสดมาสอนการบ้านเพื่อนๆ....เราไม่ได้จากกันซักหน่อย”
เด็กๆ ในห้องนิ่งเงียบ บางคนมีสีหน้าเจื่อน บางคนจ้องหน้าแพมด้วยแววตาอาลัย ผมรู้ดีว่าทุกคนสูญเสียเพื่อนคนสำคัญไป เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องอธิบายและสร้างความเข้าใจให้พวกเขาสำหรับการจากลาในวัยเยาว์
วันเวลาค่อยเคลื่อนไป พร้อมกับความเติบโตของเด็กๆ ทั้งกาย ทั้งใจ ให้คนที่คอยปลูกปั้นอย่างเช่นผมได้สัมผัสด้วยความเอ็นดู แช่มชื่น ปลาบปลื้ม รวมทั้งวุ่นวาย โกลาหลในบางครา
ผมคัดเลือกเด็กชายและเด็กหญิงในหมู่บ้านขึ้นมาทำหน้าที่แกนนำกลุ่ม เรียนรู้การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ผ่านกระบวนการกลุ่ม โดยอาศัยห้องสมุดของเราเป็นแหล่งบ่มเพาะ
พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ผมและเด็กๆ ก็คงจะคิดเหมือนๆ กันว่า เราอยากพบเธออีก... แพม โดยเฉพาะผมที่อยากรู้ว่า เธอจะเติบโตเป็นคนแบบไหน ผมคิดว่าผมคงจะได้รู้ข่าวคราวของเธอบ้างในสักวัน จากใครสักคนในหมู่บ้านที่รู้จักมักคุ้นกับแม่ของเธอ
แต่...เรื่องมันเศร้า และโลกไม่ใช่ของเรา สิ่งที่เรารอคอยและคาดหวัง ไม่ได้เป็นดั่งที่เราคาดคิดและรอคอยเสมอไป
กลางเดือนกันยายนของปีถัดมา ผมรู้ข่าวของแพมจากป้ามล คนขายกับข้าวหน้าโรงเรียนว่า เธอถูกไฟช็อตข้างเวทีการแสดง ขณะเตรียมตัวขึ้นไปแสดงจินตลีลาในงานวันแม่ที่โรงเรียนจัดขึ้นเป็นพิเศษให้แก่บรรดาผู้ปกครอง และเธอก็จากทุกคนไปในค่ำคืนนั้น
“นาคะเร....สูตรพม่าสองหาง...ตัวช่วยดี สูตรใหม่ ลดไว ไม่โยโย่”
เสียงรถโฆษณาขายเครื่องสำอางแล่นผ่านหน้าบ้านของผม มันเข้ามาปลุกให้ผมตื่นจากห้วงภวังค์ที่กำลังคิดถึงเด็กหญิงคนนั้น
“ประเทศกูมี...ประเทศกูมี” เสียงร้องแผดดังตามมา อาจเป็นเครื่องขยายเสียงของใครสักคนในย่านนั้นที่คงจะอยากเติมเต็มอารมณ์ประชดประชันบางสิ่งบางอย่าง
ผมเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นลุกขึ้นยืน บอกตัวเองว่า เวลากำลังล่วงไป สำหรับชีวิตหนึ่งที่เพิ่งจากไปนั้น มันจบลงแล้ว เป็นอนิจจัง ตามธรรมดาของโลก และสิ่งที่ผมต้องทำต่อไปก็คือ ดูแลเด็กๆ ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุด
...............................
(ตุลาคม 2561)
หมายเหตุ : เรื่องนี้เขียนขึ้นจากการที่ผู้เขียนเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมอบรม "นักสื่อสารเพื่อสร้างสรรค์สังคมไทย"
โดย มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ (27-28 ต.ค. 61)
บนเงื่อนไขการนำคำที่คัดเลือกมาจากข้อความแรกที่น่าประทับใจใน facebook ของผู้เข้าอบรมแต่ละคนจำนวน 10 คำ
แล้วนำมาผูกเข้าเป็นเรื่อง (คำทั้ง 10 คำนั้น ผู้เขียนขีดเส้นใต้เอาไว้แล้วค่ะ)