วันนี้ผมจะเขียนเรื่อง ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น ขบถความคิด ที่ขัดแย้งกับความคิดปัจจุบันของคนบนโลกและของโลก
และผมอยากให้เพื่อนสมาชิก ได้อ่านและใช้ความคิดตามไปด้วย ผมเชื่อว่าหากเพื่อนสมาชิกท่านใดที่ได้อ่านและคิดตาม
จะก่อให้เกิดตกผลึกทางความคิด อันจะทำให้คุณมีมุมมองต่อการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปในทางที่ถูกที่ควรมากขึ้น
หากคุณคิดว่าสิ่งที่โลกเรากำลังเป็นอยู่ ดำเนินอยู่ และสิ่งที่คนบนโลกส่วนใหญ่กำลังทำอยู่มันถูกต้องมันมาถูกทางแล้ว
คนบนโลกคงมีความสุขมากขึ้น โลกคงมีสันติภาพและความสงบมากขึ้น ภัยธรรมชาติคงมีความรุนแรงน้อยลง
หากแต่มันมิได้เป็นอย่างนั้น ทุกอย่างที่เราเห็น ที่เป็นและที่กำลังดำเนินไปในอนาคต มันล้วนตรงข้ามกับที่ผมกล่าว
ผู้คนบนโลกมีความทุกข์กันมากขึ้น โลกมีความวุ่นวายทำลายล้างกันมากขึ้น และภัยธรรมชาติก็รู้สึกจะรุนแรงและถี่มากขึ้น
หากเป็นเช่นนี้ ผมคิดว่าเรากำลังมาผิดทาง เรากำลังทำให้โลกและคนบนโลกกำลังหลงทิศ เรากำลังทำในสิ่งที่ตรงข้ามอันจะ
นำมาซึ่งสันติสุขและสันติภาพมาสู่โลกและมวลมนุษยชาติ
โลกเราทุกวันนี้ คนมักพูดถึงกันแต่โลกอนาคต ซึ่งมันจะมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีก้าวไกล จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
บนโลกที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าโลกมันหมุนไวขึ้น จนคนบนโลกแทบตามไม่ทัน
ประเทศต่างๆ ล้วนวัดความเจริญกันด้วย เทคโนโลยีและความมั่งคั่ง จึงมีการแข่งขันกันทางด้านเทคโนโลยีและทางการค้า
และต่างมีมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆออกมา ทุกอย่างที่ทำล้วนอยู่บนฐานความคิดเพื่อให้ประเทศตนเองมีอำนาจและได้เปรียบ
มีอำนาจต่อรองเพื่อความอยู่รอดของคนในประเทศตนเอง โดยมิคำนึงถึงคุณธรรมและจริยธรรม ต่อเพื่อนร่วมโลกชาติอื่นและต่อธรรมชาติ
เหตุเพราะโลกเราดำเนินไปแบบนั้น ทำให้คนเราทุกวันนี้จึงคิดถึงกันแต่อนาคต เหตุเพราะคิดถึงแต่อนาคตเลยห่วงอนาคต
เหตุเพราะเราห่วงอนาคต จึงทำให้เราต่างแก่งแย่งแข่งขันและต่างกอบโกยกักตุน เพื่อให้ตัวเองและคนที่เรารักอยู่รอดได้ในอนาคต
…อนาคตกับความเห็นแก่ตัวจึงเป็นของคู่กัน การที่คนเห็นแก่อนาคตก็คือคนเห็นแก่ตัวนั่นเอง…
พลวัต ที่เกิดขึ้นบนโลกในแต่ละประเทศและการพัฒนาที่อยู่บนฐานของความเห็นแก่ตัว จึงมุ่งเน้นพัฒนาประเทศด้วยการมองเพียงแต่
ความเจริญภายนอกทางด้านวัตถุและเน้นความมั่งคั่ง โดยลืมให้คุณค่าของการพัฒนาทางด้านจิตใจของคนในประเทศ
โลกเราจึงเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ล้วนจะก่อให้เกิดวิกฤติทางธรรมชาติ และวิกฤติทางเศรฐกิจ อันจะเป็นมหันตภัยอันใหญ่หลวง
ที่จะนำไปสู่จุดจบความล่มสลายของโลกและมวลมนุษยชาติในที่สุด
ดังนั้น ผมขอเรียกพลวัตที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบที่เห็นแก่อนาคตของโลกใบนี้นี้ว่าเป็น “พลวัตพิษ”
พลวัตพิษ คือพลวัตที่ทำให้โลกคิดถึงแต่อนาคต ทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น มีการแข่งขันกันมากขึ้น
มีการแย่งชิงกันมากขึ้น มีการทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติกันมากขึ้น และมีความเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น การพัฒนาที่อยู่
บนพื้นฐานของความเห็นแก่ตัวนี้ จึงทำให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ลดลง มีการให้ค่าแก่วัตถุสิ่งประดิษฐ์มากกว่าค่าของ
ชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง
พลวัตพิษ ที่ทำให้คนเห็นแก่อนาคตมากขึ้นนี้ จึงทำให้คนบนโลกต้องวิ่งตามโลกให้ทัน ความเห็นแก่ตัวที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ทำให้เวลา24ขั่วโมงในหนึ่งวันของคนบางคนที่มันมีความต้องการมากจนเกินพอดีมันไม่พอ เหตุเพราะต้องการจะรวยมากขึ้น
แต่ตนเองมีเพียงสองมือ จึงมีการจ้างงานเกิดขึ้น มีการเบียดบังเอาเอาเวลาของคนอื่นมาใช้ เพียงเพื่อสนองกิเลสของตนเอง
และผลิตภัณฑ์ต่างๆที่แข่งกันผลิตกันออกมาเพื่อสนองความอยากของคนบนโลกใบนี้ ต่างก็เร่งผลิตกันออกมาจนล้นโลก
ต่างแย่งกันนำทรัพยากรทางธรรมชาติบนโลก มาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยและไร้ขีดจำกัด
…เสียงเครื่องจักรที่ดังแข่งกัน มันทำให้เราหูหนวกตาบอด จนเรามิได้ยินเสียงโลกที่กำลังร่ำให้…
ผมจึงอาจกล่าวได้ว่า โรงงานต่างๆที่เกิดขึ้นกันมากมายทั่วโลกในขณะนี้นั้น คือผลพวงของการคิดถึงแต่อนาคต
คือผลพวงของความเห็นแก่ตัว โรงงานเหล่านี้นอกจากจะทำให้เกิดมลภาวะที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ยังเป็นพลวัตพิษ
ที่เป็นภัยต่อเราและต่อโลกเรา
หากเรายังหลงผิดและต่างพากันสร้างภาพในอนาคตที่อยู่บนฐานความเห็นแก่ตัว มันก็จะพาเราไปติดกับดักของความโลภ
และความอยากที่มิที่สิ้นสุด และต่างพากันเอาเวลาในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน ผลของมันคือทำให้คนมีความสุขน้อยลง
มีความเครียดเพิ่มขึ้น มีเวลาให้กับตัวเองน้อยลง บางคนได้เอาเงินในอนาคตมาใช้โดยการกู้ยืมมาเพื่อสร้างอนาคต
ทำให้ต้องทำงานในปัจจุบันกันจนแทบมิมีเวลาเป็นของตัวเองเพื่อชดใช้สิ่งที่หยิบยืมมา บางคนชดใช้ไม่ทันหมดก็ลาโลก
ไปเสียก่อนก็มี
ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่อคิดถึงอนาคตที่ทำให้เราต้องดิ้นรนกันมากมายขนาดนี้ หรือเพื่อมีความสุขแบบพอดี กับปัจจุบันขณะ
หากโลกทั้งโลกเต็มไปด้วย พลวัตพิษ โลกที่คิดถึงแต่อนาคต โลกที่มีแต่คนเห็นแก่ตัว คุณคิดว่าโลกในอนาคตมันจะเป็นเช่นไร
ผมตอบได้เลยว่า โลกในอนาคตมันก็จะกลับขั้วกลายเป็นโลกไร้อนาคต เพราะการพัฒนาทางภายนอกด้านเดียวทำให้ภายในที่
ถูกกดทับอัดอั้นเพราะมิได้พัฒนาไปด้วย เมื่อถึงเวลาความอัดอั้นภายในก็จะระเบิดออกมา เป็นไปตามธรรมชาติของขั้วตรงข้าม
ที่ใครหากได้เคยติดตามและอ่านกระทู้ของผมก็จะเข้าใจว่า “สรรพสิ่งเมื่อดำเนินมาจนสุดขั้ว ขั้วตรงข้ามก็จักปรากฏ”
หากคุณยังนึกภาพไม่ออกว่า มันจะกลับขั้วได้อย่างไร ผมจะฉายภาพให้คุณดู
เมื่อโลกเต็มไปด้วย พลวัตพิษ อนาคตประเทศต่างๆบนโลกต่างก็แก่งแย่งแข่งขันกัน คนบนโลกที่เกิดความเครียดสะสมจากการ
ดำรงชีวิตต่างก็แย่งชิงกัน ทรัพยากรต่างๆบนโลกต่างก็ถูกนำมาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย ความเห็นแก่ตัวของคนบนโลกที่มากขึ้น
คนบนโลกจะวุ่นวายอยู่กับความคิดในอนาคต จะคำนึงถึงแต่ความอยู่รอดของตัวเอง จะทำให้คนเริ่มมองไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น
ค่าความเป็นคนจะมีราคาถูกกว่าสิ่งของเครื่องใช้ จนถึงขั้นคนเริ่มเห็นคนไม่เป็นคน มีการฆ่ากันทำร้ายกันดั่งคนเป็นผักเป็นปลา
เพื่อแย่งชิงฉกฉวยกันง่ายขึ้นและมากขึ้น โลกก็จะเกิดกลียุค…
นอกจากคนจะทำลายคนด้วยกันเอง ธรรมชาติก็เริ่มโต้ตอบการทำลายธรรมชาติของมนุษย์ ด้วยมหันตภัยทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นถี่ขึ้น
จนคนบนโลกแทบจะสูญสิ้น อันเป็นการจัดระเบียบให้โลกใหม่นั่นเอง
เมื่อโลกจัดระเบียบใหม่ โลกก็จะค่อยๆเข้าสู่สมดุล โลกใหม่ก็อุบัติขึ้น มนุษย์ที่คงเหลือรอดมาได้ต่างตระหนักถึงภัยร้ายอันยิ่งใหญ่
ของพลวัตพิษ ของการคิดถึงแต่อนาคต โลกใหม่จึงเป็นโลกที่ไร้อนาคต เป็นโลกที่คนที่อยู่บนโลกมิคิดถึงอนาคต เป็นคนไร้อนาคตอย่างแท้จริง
…พลวัตพิษ ของโลกที่คิดถึงแต่อนาคต จึงเป็นพลวัตที่เป็นภัยต่อโลกและมวลมนุษย์อย่างแท้จริง…
ทีนี้เรามาดูกัน เมื่อโลกเราไร้อนาคต คนบนโลกล้วนไร้อนาคต โลกเราจะเป็นยังไง
โลกที่ไร้อนาคต จะเป็นโลกที่หมุนช้าลง คนบนโลกจะมี จริยวัตร มาแทนที่ พลวัต คนบนโลกจะมิมีใครคิดถึงอนาคต เมื่อมิมีใครคิดถึงอนาคต
ก็มิมีใครเห็นแก่ตัว เมื่อมิมีใครเห็นแก่ตัว ก็มิมีการแก่งแย่งแข่งขัน เมื่อมิมีการแก่งแย่งแข่งขัน ก็มิมีอะไรต้องดิ้นรนกอบโกย เมื่อมิมีอะไรต้อง
ดิ้นรนกอบโกยก็มิมีความเครียด ทุกคนก็จะมีความสุขในการดำรงชีวิตแบบพอเพียง สมถะ เสมอเหมือนกันหมด ต่างเห็นคุณค่าในชีวิตของทุก
สรรพชีวิตบนโลก มิมีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ต่างมีนาฬิกาชีวิตที่เป็นอิสระต่อกันและกัน ไม่มีการจ้างงาน ไม่มีโจรผู้ร้ายเพราะต่างก็ไม่มี
อะไรให้แย่งชิง โลกจะมีแต่ ความสงบสุข มีสันติภาพอย่างแท้จริง ยามนั้นมนุษย์เราจะให้ความเคารพต่อธรรมชาติ และจะปฏิบัติต่อธรรมชาติ
อย่างสุภาพ ไม่มีการทำลายธรรมชาติอย่างที่เป็นมา มนุษย์ทุกคนต่างเห็นคุณค่าของธรรมชาติอย่างแท้จริง มนุษย์กับธรรมชาติจะอยู่ร่วมกัน
อย่างสมดุลและกลมกลืน
ด้วยจริยวัตรอันงดงามของคนไร้อนาคตเช่นนี้ ทำให้โลกไร้อนาคตยุคนั้น เต็มไปด้วย อริยะบุคคล มีเสรีภาพที่เป็นอิสระต่อบ่วงและห่วง
คล้องคอของอนาคต มีความเสมอภาคที่เท่าเทียม มีความเป็นภราดรภาพ เสมือนหนึ่งทุกชีวิตคือพี่น้องกัน มีสันติสุขและสันติภาพอย่างแท้จริง
และโลกไร้อนาคตนั้นก็จะกลายเป็นโลกพระศรีอาริย์ อย่างที่ใครๆไฝ่หา อย่างที่ใครๆถามถึงและต้องการ
:
:
ย้อนกลับมาปัจจุบัน…
เรามักจะสั่งสอน ส่งเสียให้ลูกเรามีการศึกษาที่ดี มีการศึกษาที่สูง แข่งกันทำคะแนนวัดผล ด้วยคิดว่าเมื่อลูกเราเก่ง ลูกเราจะมีอนาคต
เรามักดุด่าว่ากล่าวลูก หากลูกทำตัวเหลวไหล มิทำตัวอย่างที่เรากำหนดและคิดว่าถูกต้องดีแล้ว ว่าทำตัวแบบนี้จะไม่มีอนาคต
โดยเราลืมคิดในอีกด้านว่า สิ่งที่เรากำลังสั่งสอนลูกเราให้เห็นแก่อนาคต คือการสอนลูกเราให้เห็นแก่ตัวนั่นเอง
สังคมเรามักตำหนิคนที่ไร้การศึกษา ว่าเป็นคนไม่มีอนาคต ยกย่องคนที่มีดีกรีสูง จบเมืองนอกว่ามีอนาคต จึงพากันให้ค่าการศึกษา
มากกว่าค่าความเป็นคนที่เป็นตัวตนที่แท้จริงตามธรรมชาติ
สังคมเรามักจะตำหนิคนที่ มีวิถีชีวิตแบบช้าๆ ดูไม่กระตือรือร้น มีความสุขอยู่แบบพอเพียง ไม่วิ่งตามโลก ไม่ทันโลก ว่าเป็นคนตกยุค
และว่าคนประเภทนี้เป็นคนไม่มีอนาคต
สังคมเรามักให้คุณค่าของคนที่เปลือกนอก ยกย่องคนรวย ให้ค่าแก่วัตถุมากกว่าค่าชีวิตของความเป็นคน เหยียบย่ำดูถูกคนจนเพราะ
คิดว่าคนจนเหล่านั้นไม่มีอนาคต ไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และไม่มีประโยชน์ต่อตน
ผู้หญิงหลายคนมักจะบ่นและตั้งกระทู้ถามในพันทิปว่า…ทำยังไงดีกับแฟนที่กำลังคบกัน จะคบต่อหรือจะเลิกคบกับคนที่เป็นแฟนกันอยู่
ที่มีนิสัยดีแต่ดูไม่มีอนาคต
สำหรับคนที่ดูไร้อนาคตที่มีความคิดดี ทำดี มิเห็นแก่ตัว คุณมิผิดที่เกิดมาเป็นคนแบบนั้น หากแต่ผิดที่เกิดมาหลงยุค
สำหรับผมแล้ว ความคิดที่เกิดขึ้นถึงโลกไร้อนาคต ที่ผมได้เขียนให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ทำให้ผมเริ่มตระหนักถึงมหันตภัยอันใหญ่หลวง
ของโลกที่มีผู้คนที่คิดถึงแต่อนาคต มันทำให้ผมเริ่มหันกลับมามองตนเองว่า สิ่งที่ผมกำลังดำเนินตามอย่างคนบนโลกทั่วๆไป
สิ่งที่ผมกำลังสอนลูกมันถูกทิศแล้วจริงหรือ มันจะนำมาซึ่งความสุขอย่างแท้จริงให้แก่เราและคนที่เรารักจริงหรือ…
สำหรับผม ผมคิดว่าโลกได้มอบอำนาจพิเศษให้ทุกคน อำนาจที่จะทำให้คุณกล้าที่จะขบถความคิด อำนาจที่จะทำให้คุณกล้าที่จะขบถ
ต่อวิถีการดำเนินชีวิต และอำนาจที่จะทำให้คุณกล้าที่จะขบถต่อโลกที่เห็นแก่อนาคต
อำนาจที่โลกมอบให้คุณคือ อำนาจแห่งการเลือกและการตัดสินใจ หากคุณมิได้มอบอำนาจนี้ให้ใคร ก็ไม่มีใครเลือกและตัดสินใจแทนคุณได้
คุณมีสิทธิมีอำนาจนั้นเต็มที่ ที่จะเลือกและตัดสินใจว่า คุณจะเลือกดำเนินชีวิตในโลกที่มีอนาคตแบบที่เป็นอยู่ หรือเลือกโลกที่ไร้อนาคต
ที่ผมคิดว่ามันคือโลกของพระศรีอาริย์จริงๆ
…ด้วยรักและเคารพ ต่อเพื่อนร่วมโลกทุกๆคน…
❤️ผลึกหิน❤️
@@@โลกพระศรีอาริย์ โลกที่ไร้อนาคต@@@ —-ผลึกหิน—-
และผมอยากให้เพื่อนสมาชิก ได้อ่านและใช้ความคิดตามไปด้วย ผมเชื่อว่าหากเพื่อนสมาชิกท่านใดที่ได้อ่านและคิดตาม
จะก่อให้เกิดตกผลึกทางความคิด อันจะทำให้คุณมีมุมมองต่อการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปในทางที่ถูกที่ควรมากขึ้น
หากคุณคิดว่าสิ่งที่โลกเรากำลังเป็นอยู่ ดำเนินอยู่ และสิ่งที่คนบนโลกส่วนใหญ่กำลังทำอยู่มันถูกต้องมันมาถูกทางแล้ว
คนบนโลกคงมีความสุขมากขึ้น โลกคงมีสันติภาพและความสงบมากขึ้น ภัยธรรมชาติคงมีความรุนแรงน้อยลง
หากแต่มันมิได้เป็นอย่างนั้น ทุกอย่างที่เราเห็น ที่เป็นและที่กำลังดำเนินไปในอนาคต มันล้วนตรงข้ามกับที่ผมกล่าว
ผู้คนบนโลกมีความทุกข์กันมากขึ้น โลกมีความวุ่นวายทำลายล้างกันมากขึ้น และภัยธรรมชาติก็รู้สึกจะรุนแรงและถี่มากขึ้น
หากเป็นเช่นนี้ ผมคิดว่าเรากำลังมาผิดทาง เรากำลังทำให้โลกและคนบนโลกกำลังหลงทิศ เรากำลังทำในสิ่งที่ตรงข้ามอันจะ
นำมาซึ่งสันติสุขและสันติภาพมาสู่โลกและมวลมนุษยชาติ
โลกเราทุกวันนี้ คนมักพูดถึงกันแต่โลกอนาคต ซึ่งมันจะมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีก้าวไกล จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
บนโลกที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าโลกมันหมุนไวขึ้น จนคนบนโลกแทบตามไม่ทัน
ประเทศต่างๆ ล้วนวัดความเจริญกันด้วย เทคโนโลยีและความมั่งคั่ง จึงมีการแข่งขันกันทางด้านเทคโนโลยีและทางการค้า
และต่างมีมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆออกมา ทุกอย่างที่ทำล้วนอยู่บนฐานความคิดเพื่อให้ประเทศตนเองมีอำนาจและได้เปรียบ
มีอำนาจต่อรองเพื่อความอยู่รอดของคนในประเทศตนเอง โดยมิคำนึงถึงคุณธรรมและจริยธรรม ต่อเพื่อนร่วมโลกชาติอื่นและต่อธรรมชาติ
เหตุเพราะโลกเราดำเนินไปแบบนั้น ทำให้คนเราทุกวันนี้จึงคิดถึงกันแต่อนาคต เหตุเพราะคิดถึงแต่อนาคตเลยห่วงอนาคต
เหตุเพราะเราห่วงอนาคต จึงทำให้เราต่างแก่งแย่งแข่งขันและต่างกอบโกยกักตุน เพื่อให้ตัวเองและคนที่เรารักอยู่รอดได้ในอนาคต
…อนาคตกับความเห็นแก่ตัวจึงเป็นของคู่กัน การที่คนเห็นแก่อนาคตก็คือคนเห็นแก่ตัวนั่นเอง…
พลวัต ที่เกิดขึ้นบนโลกในแต่ละประเทศและการพัฒนาที่อยู่บนฐานของความเห็นแก่ตัว จึงมุ่งเน้นพัฒนาประเทศด้วยการมองเพียงแต่
ความเจริญภายนอกทางด้านวัตถุและเน้นความมั่งคั่ง โดยลืมให้คุณค่าของการพัฒนาทางด้านจิตใจของคนในประเทศ
โลกเราจึงเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ล้วนจะก่อให้เกิดวิกฤติทางธรรมชาติ และวิกฤติทางเศรฐกิจ อันจะเป็นมหันตภัยอันใหญ่หลวง
ที่จะนำไปสู่จุดจบความล่มสลายของโลกและมวลมนุษยชาติในที่สุด
ดังนั้น ผมขอเรียกพลวัตที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบที่เห็นแก่อนาคตของโลกใบนี้นี้ว่าเป็น “พลวัตพิษ”
พลวัตพิษ คือพลวัตที่ทำให้โลกคิดถึงแต่อนาคต ทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น มีการแข่งขันกันมากขึ้น
มีการแย่งชิงกันมากขึ้น มีการทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติกันมากขึ้น และมีความเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น การพัฒนาที่อยู่
บนพื้นฐานของความเห็นแก่ตัวนี้ จึงทำให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ลดลง มีการให้ค่าแก่วัตถุสิ่งประดิษฐ์มากกว่าค่าของ
ชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง
พลวัตพิษ ที่ทำให้คนเห็นแก่อนาคตมากขึ้นนี้ จึงทำให้คนบนโลกต้องวิ่งตามโลกให้ทัน ความเห็นแก่ตัวที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ทำให้เวลา24ขั่วโมงในหนึ่งวันของคนบางคนที่มันมีความต้องการมากจนเกินพอดีมันไม่พอ เหตุเพราะต้องการจะรวยมากขึ้น
แต่ตนเองมีเพียงสองมือ จึงมีการจ้างงานเกิดขึ้น มีการเบียดบังเอาเอาเวลาของคนอื่นมาใช้ เพียงเพื่อสนองกิเลสของตนเอง
และผลิตภัณฑ์ต่างๆที่แข่งกันผลิตกันออกมาเพื่อสนองความอยากของคนบนโลกใบนี้ ต่างก็เร่งผลิตกันออกมาจนล้นโลก
ต่างแย่งกันนำทรัพยากรทางธรรมชาติบนโลก มาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยและไร้ขีดจำกัด
…เสียงเครื่องจักรที่ดังแข่งกัน มันทำให้เราหูหนวกตาบอด จนเรามิได้ยินเสียงโลกที่กำลังร่ำให้…
ผมจึงอาจกล่าวได้ว่า โรงงานต่างๆที่เกิดขึ้นกันมากมายทั่วโลกในขณะนี้นั้น คือผลพวงของการคิดถึงแต่อนาคต
คือผลพวงของความเห็นแก่ตัว โรงงานเหล่านี้นอกจากจะทำให้เกิดมลภาวะที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ยังเป็นพลวัตพิษ
ที่เป็นภัยต่อเราและต่อโลกเรา
หากเรายังหลงผิดและต่างพากันสร้างภาพในอนาคตที่อยู่บนฐานความเห็นแก่ตัว มันก็จะพาเราไปติดกับดักของความโลภ
และความอยากที่มิที่สิ้นสุด และต่างพากันเอาเวลาในอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน ผลของมันคือทำให้คนมีความสุขน้อยลง
มีความเครียดเพิ่มขึ้น มีเวลาให้กับตัวเองน้อยลง บางคนได้เอาเงินในอนาคตมาใช้โดยการกู้ยืมมาเพื่อสร้างอนาคต
ทำให้ต้องทำงานในปัจจุบันกันจนแทบมิมีเวลาเป็นของตัวเองเพื่อชดใช้สิ่งที่หยิบยืมมา บางคนชดใช้ไม่ทันหมดก็ลาโลก
ไปเสียก่อนก็มี
ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่อคิดถึงอนาคตที่ทำให้เราต้องดิ้นรนกันมากมายขนาดนี้ หรือเพื่อมีความสุขแบบพอดี กับปัจจุบันขณะ
หากโลกทั้งโลกเต็มไปด้วย พลวัตพิษ โลกที่คิดถึงแต่อนาคต โลกที่มีแต่คนเห็นแก่ตัว คุณคิดว่าโลกในอนาคตมันจะเป็นเช่นไร
ผมตอบได้เลยว่า โลกในอนาคตมันก็จะกลับขั้วกลายเป็นโลกไร้อนาคต เพราะการพัฒนาทางภายนอกด้านเดียวทำให้ภายในที่
ถูกกดทับอัดอั้นเพราะมิได้พัฒนาไปด้วย เมื่อถึงเวลาความอัดอั้นภายในก็จะระเบิดออกมา เป็นไปตามธรรมชาติของขั้วตรงข้าม
ที่ใครหากได้เคยติดตามและอ่านกระทู้ของผมก็จะเข้าใจว่า “สรรพสิ่งเมื่อดำเนินมาจนสุดขั้ว ขั้วตรงข้ามก็จักปรากฏ”
หากคุณยังนึกภาพไม่ออกว่า มันจะกลับขั้วได้อย่างไร ผมจะฉายภาพให้คุณดู
เมื่อโลกเต็มไปด้วย พลวัตพิษ อนาคตประเทศต่างๆบนโลกต่างก็แก่งแย่งแข่งขันกัน คนบนโลกที่เกิดความเครียดสะสมจากการ
ดำรงชีวิตต่างก็แย่งชิงกัน ทรัพยากรต่างๆบนโลกต่างก็ถูกนำมาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย ความเห็นแก่ตัวของคนบนโลกที่มากขึ้น
คนบนโลกจะวุ่นวายอยู่กับความคิดในอนาคต จะคำนึงถึงแต่ความอยู่รอดของตัวเอง จะทำให้คนเริ่มมองไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น
ค่าความเป็นคนจะมีราคาถูกกว่าสิ่งของเครื่องใช้ จนถึงขั้นคนเริ่มเห็นคนไม่เป็นคน มีการฆ่ากันทำร้ายกันดั่งคนเป็นผักเป็นปลา
เพื่อแย่งชิงฉกฉวยกันง่ายขึ้นและมากขึ้น โลกก็จะเกิดกลียุค…
นอกจากคนจะทำลายคนด้วยกันเอง ธรรมชาติก็เริ่มโต้ตอบการทำลายธรรมชาติของมนุษย์ ด้วยมหันตภัยทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นถี่ขึ้น
จนคนบนโลกแทบจะสูญสิ้น อันเป็นการจัดระเบียบให้โลกใหม่นั่นเอง
เมื่อโลกจัดระเบียบใหม่ โลกก็จะค่อยๆเข้าสู่สมดุล โลกใหม่ก็อุบัติขึ้น มนุษย์ที่คงเหลือรอดมาได้ต่างตระหนักถึงภัยร้ายอันยิ่งใหญ่
ของพลวัตพิษ ของการคิดถึงแต่อนาคต โลกใหม่จึงเป็นโลกที่ไร้อนาคต เป็นโลกที่คนที่อยู่บนโลกมิคิดถึงอนาคต เป็นคนไร้อนาคตอย่างแท้จริง
…พลวัตพิษ ของโลกที่คิดถึงแต่อนาคต จึงเป็นพลวัตที่เป็นภัยต่อโลกและมวลมนุษย์อย่างแท้จริง…
ทีนี้เรามาดูกัน เมื่อโลกเราไร้อนาคต คนบนโลกล้วนไร้อนาคต โลกเราจะเป็นยังไง
โลกที่ไร้อนาคต จะเป็นโลกที่หมุนช้าลง คนบนโลกจะมี จริยวัตร มาแทนที่ พลวัต คนบนโลกจะมิมีใครคิดถึงอนาคต เมื่อมิมีใครคิดถึงอนาคต
ก็มิมีใครเห็นแก่ตัว เมื่อมิมีใครเห็นแก่ตัว ก็มิมีการแก่งแย่งแข่งขัน เมื่อมิมีการแก่งแย่งแข่งขัน ก็มิมีอะไรต้องดิ้นรนกอบโกย เมื่อมิมีอะไรต้อง
ดิ้นรนกอบโกยก็มิมีความเครียด ทุกคนก็จะมีความสุขในการดำรงชีวิตแบบพอเพียง สมถะ เสมอเหมือนกันหมด ต่างเห็นคุณค่าในชีวิตของทุก
สรรพชีวิตบนโลก มิมีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ต่างมีนาฬิกาชีวิตที่เป็นอิสระต่อกันและกัน ไม่มีการจ้างงาน ไม่มีโจรผู้ร้ายเพราะต่างก็ไม่มี
อะไรให้แย่งชิง โลกจะมีแต่ ความสงบสุข มีสันติภาพอย่างแท้จริง ยามนั้นมนุษย์เราจะให้ความเคารพต่อธรรมชาติ และจะปฏิบัติต่อธรรมชาติ
อย่างสุภาพ ไม่มีการทำลายธรรมชาติอย่างที่เป็นมา มนุษย์ทุกคนต่างเห็นคุณค่าของธรรมชาติอย่างแท้จริง มนุษย์กับธรรมชาติจะอยู่ร่วมกัน
อย่างสมดุลและกลมกลืน
ด้วยจริยวัตรอันงดงามของคนไร้อนาคตเช่นนี้ ทำให้โลกไร้อนาคตยุคนั้น เต็มไปด้วย อริยะบุคคล มีเสรีภาพที่เป็นอิสระต่อบ่วงและห่วง
คล้องคอของอนาคต มีความเสมอภาคที่เท่าเทียม มีความเป็นภราดรภาพ เสมือนหนึ่งทุกชีวิตคือพี่น้องกัน มีสันติสุขและสันติภาพอย่างแท้จริง
และโลกไร้อนาคตนั้นก็จะกลายเป็นโลกพระศรีอาริย์ อย่างที่ใครๆไฝ่หา อย่างที่ใครๆถามถึงและต้องการ
:
:
ย้อนกลับมาปัจจุบัน…
เรามักจะสั่งสอน ส่งเสียให้ลูกเรามีการศึกษาที่ดี มีการศึกษาที่สูง แข่งกันทำคะแนนวัดผล ด้วยคิดว่าเมื่อลูกเราเก่ง ลูกเราจะมีอนาคต
เรามักดุด่าว่ากล่าวลูก หากลูกทำตัวเหลวไหล มิทำตัวอย่างที่เรากำหนดและคิดว่าถูกต้องดีแล้ว ว่าทำตัวแบบนี้จะไม่มีอนาคต
โดยเราลืมคิดในอีกด้านว่า สิ่งที่เรากำลังสั่งสอนลูกเราให้เห็นแก่อนาคต คือการสอนลูกเราให้เห็นแก่ตัวนั่นเอง
สังคมเรามักตำหนิคนที่ไร้การศึกษา ว่าเป็นคนไม่มีอนาคต ยกย่องคนที่มีดีกรีสูง จบเมืองนอกว่ามีอนาคต จึงพากันให้ค่าการศึกษา
มากกว่าค่าความเป็นคนที่เป็นตัวตนที่แท้จริงตามธรรมชาติ
สังคมเรามักจะตำหนิคนที่ มีวิถีชีวิตแบบช้าๆ ดูไม่กระตือรือร้น มีความสุขอยู่แบบพอเพียง ไม่วิ่งตามโลก ไม่ทันโลก ว่าเป็นคนตกยุค
และว่าคนประเภทนี้เป็นคนไม่มีอนาคต
สังคมเรามักให้คุณค่าของคนที่เปลือกนอก ยกย่องคนรวย ให้ค่าแก่วัตถุมากกว่าค่าชีวิตของความเป็นคน เหยียบย่ำดูถูกคนจนเพราะ
คิดว่าคนจนเหล่านั้นไม่มีอนาคต ไม่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และไม่มีประโยชน์ต่อตน
ผู้หญิงหลายคนมักจะบ่นและตั้งกระทู้ถามในพันทิปว่า…ทำยังไงดีกับแฟนที่กำลังคบกัน จะคบต่อหรือจะเลิกคบกับคนที่เป็นแฟนกันอยู่
ที่มีนิสัยดีแต่ดูไม่มีอนาคต
สำหรับคนที่ดูไร้อนาคตที่มีความคิดดี ทำดี มิเห็นแก่ตัว คุณมิผิดที่เกิดมาเป็นคนแบบนั้น หากแต่ผิดที่เกิดมาหลงยุค
สำหรับผมแล้ว ความคิดที่เกิดขึ้นถึงโลกไร้อนาคต ที่ผมได้เขียนให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ทำให้ผมเริ่มตระหนักถึงมหันตภัยอันใหญ่หลวง
ของโลกที่มีผู้คนที่คิดถึงแต่อนาคต มันทำให้ผมเริ่มหันกลับมามองตนเองว่า สิ่งที่ผมกำลังดำเนินตามอย่างคนบนโลกทั่วๆไป
สิ่งที่ผมกำลังสอนลูกมันถูกทิศแล้วจริงหรือ มันจะนำมาซึ่งความสุขอย่างแท้จริงให้แก่เราและคนที่เรารักจริงหรือ…
สำหรับผม ผมคิดว่าโลกได้มอบอำนาจพิเศษให้ทุกคน อำนาจที่จะทำให้คุณกล้าที่จะขบถความคิด อำนาจที่จะทำให้คุณกล้าที่จะขบถ
ต่อวิถีการดำเนินชีวิต และอำนาจที่จะทำให้คุณกล้าที่จะขบถต่อโลกที่เห็นแก่อนาคต
อำนาจที่โลกมอบให้คุณคือ อำนาจแห่งการเลือกและการตัดสินใจ หากคุณมิได้มอบอำนาจนี้ให้ใคร ก็ไม่มีใครเลือกและตัดสินใจแทนคุณได้
คุณมีสิทธิมีอำนาจนั้นเต็มที่ ที่จะเลือกและตัดสินใจว่า คุณจะเลือกดำเนินชีวิตในโลกที่มีอนาคตแบบที่เป็นอยู่ หรือเลือกโลกที่ไร้อนาคต
ที่ผมคิดว่ามันคือโลกของพระศรีอาริย์จริงๆ
…ด้วยรักและเคารพ ต่อเพื่อนร่วมโลกทุกๆคน…
❤️ผลึกหิน❤️