สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 57
ตอนที่ 4
พอสักพักช่างอีกคน ก็อาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาในห้องที่พวกเรานั่งกันอยู่
ช่างก็ถามว่า เสียงอะไร
ผมก็ตอบว่า สงสัยคงเป็นเสียงคลื่นวิทยุมันแทรกเข้ามาในระบบเครื่องเสียงเก่า
อาจจะเป็นเพราะเบรคเกอร์ตัวนั้นที่เรา เปิดมัน
แล้วผมก็ถามว่า แล้วจะเอายังไง จะไปปิดเบรคเกอร์ตัวนั้นกันไหม
ช่างคนที่อาบน้ำมาก็บอกว่า โห ไปตอนมืดๆนี่หรือ มันไกลอยู่นะ
ผมก็เลยบอกว่า
นั้นนะซิ หรือว่าจะทนนอนไปก่อนพรุ้งนี้เช้าค่อยไปปิดมัน
ทุกคนก็เงียบ ไม่มีใครออกความเห็น
พอเห็นเงียบกัน ผมก็เลยเดินไปเอาชุดกับผ้าเช็ดตัว เดินไปอาบน้ำ
เดินไปถึงตรงครัว พอเลี้ยวไปทางหน้าห้องน้ำ ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำมันก็ดันกระพริบ กระพริบ
เหมือนจะดับแหล่ไม่ดับแหล่
อ้าว... เฮ้ย... อย่าเล่นแบบนี้ซิ ไม่เอานะ
พอพูดจบไฟก็กลับมา ปกติเหมือนเดิม ไม่กระพริบ
ผมรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดไฟในห้องน้ำ
แสงไฟในห้องน้ำมันสว่างไม่มาก เพราะเป็นหลอดไส้แสงสีส้มๆ
พอเริ่มอาบน้ำ อยู่ๆก็รู้สึกว่า เหมือนมีคนมาแอบดูผมอาบน้ำ
มันใจหวิวๆ แล้วก็ดูวังเวงมาก
ยิ่งตอนล้างหน้าแล้วต้องหลับตา รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบเลย
กลัวว่าลืมตามาแล้วจะเจอใครยืนอยู่ข้างๆด้วย
พอเริ่มฟอกสบู่
ตรงข้างหน้าผมมันมีกระจกเก่าๆ เล็กๆ ผูกด้วยเชือกฟาง
ห้อยแบบเอียงๆ ติดอยู่กับผนังไม้ของห้องน้ำ
พอผมมองไปในกระจก ก็เห็นเป็นหน้าตัวเองไม่ค่อยชัด
เพราะมันย้อนแสง เลยทำให้ส่องเห็นหน้าผมมืดๆ
แต่พอมองจากกระจกผ่านไปตรงด้านหลังผม
ก็เห็นเป็นขอบไม้ที่กั้นเป็นผนังห้องน้ำ อยู่ไม่สูงนัก
แล้วมันก็อดจินตนาการไม่ได้ ขึ้นมาทันที
นี่ถ้ามีหัวใครโผล่ขึ้นมาจากขอบตรงนั้นนะ
มีหวังช๊อคตายคาห้องน้ำ
นึกไปก็ขนลุกไป
ไม่ทันตั้งตัว อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น
ติ๊ง... ต๊อง....
ผมร้อง เฮ้ย..! สะดุ้งสุดตัว
ขณะนี้เวลา สิบหก นาฬิกา
ผมตกใจมากเล่นเอาซะ เกือบช๊อคไปจริงๆเสียแล้ว
และเสียงผู้หญิงที่ประกาศมันก็ฟังดูวังเวงมาก
เป็นเสียงแหลมๆ เหมือนเสียงผู้หญิงในเพลงโบราณเก่าๆ
พอหายตกใจผมก็รีบตักน้ำลาดตัวอย่างไว
รีบเช็ดตัว รีบใส่เสื้อผ้าออกมาจากห้องน้ำ
ช่วงที่ปิดไฟห้องน้ำแล้วเดินกลับออกมา
ดันไปนึกถึง
ตอนที่ช่างเขมรมันถามผม คุณมาอยู่กันกี่วัน คะ
แล้วขนหัวผมก็ลุกตั้ง
รีบเดินออกมาจากตรงนั้น ไม่หันหลังไปมอง
เอาเสื้อผ้ามาตากไว้ตรงชานทางขึ้นบันได
แล้วก็รีบเดินเข้าห้องไป
พอเข้ามาในห้อง เห็นทุกคนนอนหงายหลับตานิ่งกันหมด
อ้าว หลับกันหมดแล้วหรือ ทำไมมันหลับกันเร็วจังวะ
กลายเป็นผมคนเดียวที่ยังไม่ง่วง เพราะพึ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ
ผมพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็นอนไม่หลับ
นอนฟังเสียงวิทยุชุมชนที่มันแทรกเข้ามา ปนกับเสียงจิ้งหรีดยามราตรี
บางช่วงวิทยุนั่นก็เงียบไป
บางช่วงก็กลับมาแทรกอีก เป็นระยะ ระยะ
ผมยังนอนไม่หลับได้ฟังเสียงประกาศ
ประกาศเวลาทุกๆชั่วโมง
จนมันประกาศเวลามาถึง สิบเก้านาฬิกา
ซึ่งตรงกับเวลาจริงคือช่วงเที่ยงคืนพอดี
ผมนอนเอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆปิดตาอยู่
พอเริ่มรู้สึกปวดเบา อยากเข้าห้องน้ำ
ผมก็เปิดผ้าที่คลุมหน้าผมออก หันไปมองช่างที่นอนกันอยู่คนละมุม
ผมอยากจะปลุกใครสักคนไปห้องน้ำเป็นเพื่อนผมหน่อย
แต่อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ตรงชานบันไดทางขึ้น
เสียงพื้นไม้ลั่น ดัง เอี๊ยด..
แล้วก็เงียบไป
ผมรีบมองไปทางประตูห้องที่ปิดอยู่ ตั้งใจฟังเสียงนั้นอย่างจดจ่อ
เสียงมันค่อยๆดัง เอี๊ยด... อ๊าด..
เหมือนคนกำลังเดินย่องเบาๆอยู่ด้านหน้าโถงทางเดิน
เสียงมันค่อยๆ ใกล้เข้ามาช้าๆ
จากตรงชานทางขึ้น จนมาถึงแถวๆหน้าห้องที่เรานอนกันอยู่
ตอนนั้นใจผมเต้นแรงมาก
กลางป่าแบบนี้ ไม่มีบ้านคนอยู่ละแวกนี้เลย
ใครมันจะมาทำอะไรวะ
สักพักก็ได้ยินเสียง ประตูห้องข้างๆเปิด .. แอ๊ด...
"เฮ้ย... ใครวะ" นึกในใจ
ขนผมลุกซู่ขึ้นมาอีก จนผมต้องรีบลุกมานั่ง เงี่ยหูฟังให้แน่ใจว่าหูผมไม่ได้ฝาด
แล้วสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงตะกุตะกักอยู่ห้องข้างๆ
เสียงเหมือนเข่า กับศอก มันกระทบกับพื้นเป็นเสียงดัง กึก.. กึก.. กึก.. กึก
เสียงดังมาก
จนพวกช่างก็ต่างพากันตกใจตื่น รีบลุกขึ้นมามองไปทางห้องด้านข้างทันที
แล้ววินาทีนั้น อยู่ๆเสียง หวอ ก็ดังขึ้น
เฮ้ย.. อะไรอีกวะ
สัญญาณเตือนภัย..
พวกเราพากันลุกขึ้น แล้วเปิดประตู เดินออกมาจากห้องนอน
เหลือแต่ช่างที่เจ็บนั่งรออยู่ในห้อง
พอรีบเดินไปดูห้องข้างๆ กัน
ปรากฏว่า ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่าง ว่างเปล่า
ผมพยายามมองดูที่พื้นห้อง พื้นทางเดิน มองหาว่ามีรอยเท้าอะไรหรือเปล่า
เพราะผมได้ยินชัดเจน ว่ามีคนย่องเดินอยู่บนบ้านแน่ๆ
พอตรวจดูทุกห้องแล้ว ปรากฏว่าไม่มีใคร
ก็พากันกลับมาที่ห้องนอน
แต่เสียงหวอยังคงดังอยู่ แม้จะไม่ได้ดังต่อเนื่องเหมือนตอนแรก
แต่ก็ดังเป็นระยะระยะ
ถ้าดังอยู่แบบนี้ คืนนี้ไม่ได้นอนกันแน่
พอคุยกันไปมา ก็เลยสรุปว่า ผมกับช่างสี จะไปปิดเบรคเกอร์ตัวนั้น
ส่วนช่างพม่าก็ให้อยู่เป็นเพื่อนกับช่างที่นอนเจ็บอยู่
พอตกลงกันได้อย่างนั้น ผมกับช่างเขมรก็พากันถือไฟฉาย ลงจากตัวบ้าน
มุ่งหน้าไปในป่า เพื่อไปยังห้องเก็บเบตเตอรี่ทันที
พอเริ่มเดินเข้าไปในป่า เสียงหวอ ก็เริ่มห่างออกมา แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงหวอนั้นอยู่บ้าง
เดินมาได้เกือบๆจะถึงห้องแบตเตอรี่ ผมหันไปมองที่บ้าน
เห็นเป็นแสงไฟที่รอด ออกมาตรงหน้าต่างของห้องนอนเล็ก อยู่ไกลริบๆ
พอมาถึงห้องแบตเตอรี่ ก็ไม่ได้ยินเสียงหวอนั้นแล้ว
ผมรีบเข้าไปในห้อง ไปดูตรงตู้ไฟฟ้า
ได้ยินแต่เสียงลำโพงตรงข้างบนตู้ไฟ ดัง แคล็ค แคล็ค.... แคล็ค แคล็ค
พอผมปิดเบรคเกอร์ตัวที่ผมสงสัยลง เสียงลำโพงตัวที่อยู่เหนือตู้ไฟ ก็เงียบไปทันที
อา... ใช่จริงด้วย
พอเปิดระบบเสียงได้ ผมก็รีบเอาไฟฉายส่องหาบางอย่างที่พื้น
จนช่างเขมรถามว่า นายช่าง หาอะไร
ผมก็เลยบอกว่า กระดาษแผ่นที่เขียนว่า ห้ามเปิด
จะเอามาแปะไว้ที่เดิม
ช่างเขมรก็เลยมาช่วยหากระดาษนั้นอยู่ใกล้ๆอีกคน
หาอยู่พักใหญ่ก็ไม่เจอ
ช่างเขมรก็เลยบอกว่า พรุ้งนี้ค่อยเอามาแปะก็ได้ กลับเถอะ ง่วงแล้ว
ผมก็เลยตัดสินใจกลับ
พอเดินมาถึงบ้าน บ้านเงียบสงัด ไม่มีเสียงดังมาจากลำโพงนั่นอีกแล้ว
พอขึ้นมาบนบ้าน ผมก็ต้องชะงักทันที
เฮ้ย... เกิดอะไรขึ้น
มีข้าวของตกเกลื่อนอยู่ตรงชานทางขึ้นบันได
พอวิ่งไปดูในห้องนอนเล็ก ก็ไม่เจอช่างพม่าสองคนนั่น
พอมาดูตรงโถงทางเดิน ก็มีหยดเลือด หยดเป็นทาง
ตรงไปทางห้องใหญ่
ผมเดินตามหยดเลือดนั้นไป จนถึงหน้าห้องใหญ่
พอเปิดประตูเข้าไปดู ปรากฏว่า
ข้าวของกระจัดกระจายเต็มห้องไปหมด
ของส่วนใหญ่หายไป
ผมยืนดูด้วยความ งง งวย
นี่มันอะไรวะนี่..
โปรดติดตามตอนต่อไป
พอสักพักช่างอีกคน ก็อาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาในห้องที่พวกเรานั่งกันอยู่
ช่างก็ถามว่า เสียงอะไร
ผมก็ตอบว่า สงสัยคงเป็นเสียงคลื่นวิทยุมันแทรกเข้ามาในระบบเครื่องเสียงเก่า
อาจจะเป็นเพราะเบรคเกอร์ตัวนั้นที่เรา เปิดมัน
แล้วผมก็ถามว่า แล้วจะเอายังไง จะไปปิดเบรคเกอร์ตัวนั้นกันไหม
ช่างคนที่อาบน้ำมาก็บอกว่า โห ไปตอนมืดๆนี่หรือ มันไกลอยู่นะ
ผมก็เลยบอกว่า
นั้นนะซิ หรือว่าจะทนนอนไปก่อนพรุ้งนี้เช้าค่อยไปปิดมัน
ทุกคนก็เงียบ ไม่มีใครออกความเห็น
พอเห็นเงียบกัน ผมก็เลยเดินไปเอาชุดกับผ้าเช็ดตัว เดินไปอาบน้ำ
เดินไปถึงตรงครัว พอเลี้ยวไปทางหน้าห้องน้ำ ไฟที่อยู่หน้าห้องน้ำมันก็ดันกระพริบ กระพริบ
เหมือนจะดับแหล่ไม่ดับแหล่
อ้าว... เฮ้ย... อย่าเล่นแบบนี้ซิ ไม่เอานะ
พอพูดจบไฟก็กลับมา ปกติเหมือนเดิม ไม่กระพริบ
ผมรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดไฟในห้องน้ำ
แสงไฟในห้องน้ำมันสว่างไม่มาก เพราะเป็นหลอดไส้แสงสีส้มๆ
พอเริ่มอาบน้ำ อยู่ๆก็รู้สึกว่า เหมือนมีคนมาแอบดูผมอาบน้ำ
มันใจหวิวๆ แล้วก็ดูวังเวงมาก
ยิ่งตอนล้างหน้าแล้วต้องหลับตา รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบเลย
กลัวว่าลืมตามาแล้วจะเจอใครยืนอยู่ข้างๆด้วย
พอเริ่มฟอกสบู่
ตรงข้างหน้าผมมันมีกระจกเก่าๆ เล็กๆ ผูกด้วยเชือกฟาง
ห้อยแบบเอียงๆ ติดอยู่กับผนังไม้ของห้องน้ำ
พอผมมองไปในกระจก ก็เห็นเป็นหน้าตัวเองไม่ค่อยชัด
เพราะมันย้อนแสง เลยทำให้ส่องเห็นหน้าผมมืดๆ
แต่พอมองจากกระจกผ่านไปตรงด้านหลังผม
ก็เห็นเป็นขอบไม้ที่กั้นเป็นผนังห้องน้ำ อยู่ไม่สูงนัก
แล้วมันก็อดจินตนาการไม่ได้ ขึ้นมาทันที
นี่ถ้ามีหัวใครโผล่ขึ้นมาจากขอบตรงนั้นนะ
มีหวังช๊อคตายคาห้องน้ำ
นึกไปก็ขนลุกไป
ไม่ทันตั้งตัว อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น
ติ๊ง... ต๊อง....
ผมร้อง เฮ้ย..! สะดุ้งสุดตัว
ขณะนี้เวลา สิบหก นาฬิกา
ผมตกใจมากเล่นเอาซะ เกือบช๊อคไปจริงๆเสียแล้ว
และเสียงผู้หญิงที่ประกาศมันก็ฟังดูวังเวงมาก
เป็นเสียงแหลมๆ เหมือนเสียงผู้หญิงในเพลงโบราณเก่าๆ
พอหายตกใจผมก็รีบตักน้ำลาดตัวอย่างไว
รีบเช็ดตัว รีบใส่เสื้อผ้าออกมาจากห้องน้ำ
ช่วงที่ปิดไฟห้องน้ำแล้วเดินกลับออกมา
ดันไปนึกถึง
ตอนที่ช่างเขมรมันถามผม คุณมาอยู่กันกี่วัน คะ
แล้วขนหัวผมก็ลุกตั้ง
รีบเดินออกมาจากตรงนั้น ไม่หันหลังไปมอง
เอาเสื้อผ้ามาตากไว้ตรงชานทางขึ้นบันได
แล้วก็รีบเดินเข้าห้องไป
พอเข้ามาในห้อง เห็นทุกคนนอนหงายหลับตานิ่งกันหมด
อ้าว หลับกันหมดแล้วหรือ ทำไมมันหลับกันเร็วจังวะ
กลายเป็นผมคนเดียวที่ยังไม่ง่วง เพราะพึ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ
ผมพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็นอนไม่หลับ
นอนฟังเสียงวิทยุชุมชนที่มันแทรกเข้ามา ปนกับเสียงจิ้งหรีดยามราตรี
บางช่วงวิทยุนั่นก็เงียบไป
บางช่วงก็กลับมาแทรกอีก เป็นระยะ ระยะ
ผมยังนอนไม่หลับได้ฟังเสียงประกาศ
ประกาศเวลาทุกๆชั่วโมง
จนมันประกาศเวลามาถึง สิบเก้านาฬิกา
ซึ่งตรงกับเวลาจริงคือช่วงเที่ยงคืนพอดี
ผมนอนเอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆปิดตาอยู่
พอเริ่มรู้สึกปวดเบา อยากเข้าห้องน้ำ
ผมก็เปิดผ้าที่คลุมหน้าผมออก หันไปมองช่างที่นอนกันอยู่คนละมุม
ผมอยากจะปลุกใครสักคนไปห้องน้ำเป็นเพื่อนผมหน่อย
แต่อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ตรงชานบันไดทางขึ้น
เสียงพื้นไม้ลั่น ดัง เอี๊ยด..
แล้วก็เงียบไป
ผมรีบมองไปทางประตูห้องที่ปิดอยู่ ตั้งใจฟังเสียงนั้นอย่างจดจ่อ
เสียงมันค่อยๆดัง เอี๊ยด... อ๊าด..
เหมือนคนกำลังเดินย่องเบาๆอยู่ด้านหน้าโถงทางเดิน
เสียงมันค่อยๆ ใกล้เข้ามาช้าๆ
จากตรงชานทางขึ้น จนมาถึงแถวๆหน้าห้องที่เรานอนกันอยู่
ตอนนั้นใจผมเต้นแรงมาก
กลางป่าแบบนี้ ไม่มีบ้านคนอยู่ละแวกนี้เลย
ใครมันจะมาทำอะไรวะ
สักพักก็ได้ยินเสียง ประตูห้องข้างๆเปิด .. แอ๊ด...
"เฮ้ย... ใครวะ" นึกในใจ
ขนผมลุกซู่ขึ้นมาอีก จนผมต้องรีบลุกมานั่ง เงี่ยหูฟังให้แน่ใจว่าหูผมไม่ได้ฝาด
แล้วสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงตะกุตะกักอยู่ห้องข้างๆ
เสียงเหมือนเข่า กับศอก มันกระทบกับพื้นเป็นเสียงดัง กึก.. กึก.. กึก.. กึก
เสียงดังมาก
จนพวกช่างก็ต่างพากันตกใจตื่น รีบลุกขึ้นมามองไปทางห้องด้านข้างทันที
แล้ววินาทีนั้น อยู่ๆเสียง หวอ ก็ดังขึ้น
เฮ้ย.. อะไรอีกวะ
สัญญาณเตือนภัย..
พวกเราพากันลุกขึ้น แล้วเปิดประตู เดินออกมาจากห้องนอน
เหลือแต่ช่างที่เจ็บนั่งรออยู่ในห้อง
พอรีบเดินไปดูห้องข้างๆ กัน
ปรากฏว่า ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่าง ว่างเปล่า
ผมพยายามมองดูที่พื้นห้อง พื้นทางเดิน มองหาว่ามีรอยเท้าอะไรหรือเปล่า
เพราะผมได้ยินชัดเจน ว่ามีคนย่องเดินอยู่บนบ้านแน่ๆ
พอตรวจดูทุกห้องแล้ว ปรากฏว่าไม่มีใคร
ก็พากันกลับมาที่ห้องนอน
แต่เสียงหวอยังคงดังอยู่ แม้จะไม่ได้ดังต่อเนื่องเหมือนตอนแรก
แต่ก็ดังเป็นระยะระยะ
ถ้าดังอยู่แบบนี้ คืนนี้ไม่ได้นอนกันแน่
พอคุยกันไปมา ก็เลยสรุปว่า ผมกับช่างสี จะไปปิดเบรคเกอร์ตัวนั้น
ส่วนช่างพม่าก็ให้อยู่เป็นเพื่อนกับช่างที่นอนเจ็บอยู่
พอตกลงกันได้อย่างนั้น ผมกับช่างเขมรก็พากันถือไฟฉาย ลงจากตัวบ้าน
มุ่งหน้าไปในป่า เพื่อไปยังห้องเก็บเบตเตอรี่ทันที
พอเริ่มเดินเข้าไปในป่า เสียงหวอ ก็เริ่มห่างออกมา แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงหวอนั้นอยู่บ้าง
เดินมาได้เกือบๆจะถึงห้องแบตเตอรี่ ผมหันไปมองที่บ้าน
เห็นเป็นแสงไฟที่รอด ออกมาตรงหน้าต่างของห้องนอนเล็ก อยู่ไกลริบๆ
พอมาถึงห้องแบตเตอรี่ ก็ไม่ได้ยินเสียงหวอนั้นแล้ว
ผมรีบเข้าไปในห้อง ไปดูตรงตู้ไฟฟ้า
ได้ยินแต่เสียงลำโพงตรงข้างบนตู้ไฟ ดัง แคล็ค แคล็ค.... แคล็ค แคล็ค
พอผมปิดเบรคเกอร์ตัวที่ผมสงสัยลง เสียงลำโพงตัวที่อยู่เหนือตู้ไฟ ก็เงียบไปทันที
อา... ใช่จริงด้วย
พอเปิดระบบเสียงได้ ผมก็รีบเอาไฟฉายส่องหาบางอย่างที่พื้น
จนช่างเขมรถามว่า นายช่าง หาอะไร
ผมก็เลยบอกว่า กระดาษแผ่นที่เขียนว่า ห้ามเปิด
จะเอามาแปะไว้ที่เดิม
ช่างเขมรก็เลยมาช่วยหากระดาษนั้นอยู่ใกล้ๆอีกคน
หาอยู่พักใหญ่ก็ไม่เจอ
ช่างเขมรก็เลยบอกว่า พรุ้งนี้ค่อยเอามาแปะก็ได้ กลับเถอะ ง่วงแล้ว
ผมก็เลยตัดสินใจกลับ
พอเดินมาถึงบ้าน บ้านเงียบสงัด ไม่มีเสียงดังมาจากลำโพงนั่นอีกแล้ว
พอขึ้นมาบนบ้าน ผมก็ต้องชะงักทันที
เฮ้ย... เกิดอะไรขึ้น
มีข้าวของตกเกลื่อนอยู่ตรงชานทางขึ้นบันได
พอวิ่งไปดูในห้องนอนเล็ก ก็ไม่เจอช่างพม่าสองคนนั่น
พอมาดูตรงโถงทางเดิน ก็มีหยดเลือด หยดเป็นทาง
ตรงไปทางห้องใหญ่
ผมเดินตามหยดเลือดนั้นไป จนถึงหน้าห้องใหญ่
พอเปิดประตูเข้าไปดู ปรากฏว่า
ข้าวของกระจัดกระจายเต็มห้องไปหมด
ของส่วนใหญ่หายไป
ผมยืนดูด้วยความ งง งวย
นี่มันอะไรวะนี่..
โปรดติดตามตอนต่อไป
แสดงความคิดเห็น
อาถรรพ์บ้านหลอนกลางป่า
นั่งๆนอนๆไม่ได้ทำอะไรนานๆ ก็รู้สึกเบื่อๆเซ็งๆ สุดท้ายก็เลยต้องมุ่งหน้าเข้ากรุงไปหางานใหม่อีกรอบ
ผมมาพักอยู่กับครอบครัวของน้า ช่วงที่ยังไม่ได้งาน ก็อาศัยเป็นที่พักไปพลางๆก่อน จนกว่าจะได้งาน
ค่อยหาห้องเช่าเอง
ทุกๆวันผมใช้เวลาช่วงเช้าเข้าไปนั่งจดตำแหน่งานที่ผมสนใจ ที่สำนักงานจัดหางาน ใกล้ๆที่พัก
เสียงผู้คนที่มาหางาน จ้อกแจ้ก จอแจ ราวกะตลาดสด
ผมนั่งเปิดแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ มองหาตำแหน่งงานว่างไปเงียบๆ ไม่ได้สนใจใคร
จนเกือบๆเที่ยง อยู่ๆก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่ง พูดเสียงดังขึ้นอยู่แถวๆด้านหลังผม
ช่างไม้สอง ช่างสีหนึ่ง โฟเมนคุมงาน ใครสนใจบ้าง
ผมรีบหันไปดู เห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปหา ชายคนนั้น
แล้วชายคนนั้นก็พูดกับคนที่วิ่งไปหาว่า ไปอยู่จันท์นะ ไปได้ไหม ที่พักฟรี
คนที่วิ่งไปหาก็ต่างพากันส่ายหน้ากันเป็นแถว โห ไกลไปลวกพี่
แล้วชายคนนั้นก็ประกาศหาคนต่อ
จนผมสังเกตเห็นว่า ไม่ค่อยมีคนสนใจ ผมก็เลยเดินไปถามชายคนนั้น
ไปอยู่ที่จันท์ กี่วันครับ
ชายคนนั้นหันมามองผม แล้วก็ตอบว่า ราวๆสองเดือน
พอถามเรื่องเงินเดือนแล้ว ก็น่าสนใจอยู่ครับ
ผมเลยสมัคร ตำแหน่งโฟแมนกับเขา ซึ่งเขาต้องการคนที่ค่อนข้างเป็นงาน อินทีเรีย อยู่พอดี
หลังจากที่เขาสัมภาษท์อยู่พักหนึ่ง เขาก็รับผมเข้าทำงานทันที
เช้าวันเดินทางเขานัดผมให้มารออยู่ที่ หน้าสำนักงานจัดหางานที่เดิม
ผมเอาเสื้อผ้าของใช้ติดกระเป๋ามาไม่มากนัก พอมารอได้สักพัก เขาก็มารับผมตามนัด
รถกระบะเก่าๆมาจอดอยู่ตรงริมถนนหน้าสำนักงานจัดหางาน ได้ยินเสียงคนเรียก น้อง
ผมก็รีบหันไป ก็เจอคนขับ ชะโงกหน้า มามองผม แล้วก็ กวักมือเรียกผมให้ขึ้นรถ
ผมรีบหิ้วกระเป๋า วิ่งไปขึ้นรถทันที
ผมขึ้นรถไป นั่งอยู่ข้างๆคนขับ ที่เป็นคนรับผมเข้าทำงาน มองไปที่แค๊ปด้านหลัง
เห็นเป็นผู้ชายนั่งอยู่ 3คน ตัวผอมๆ หน้าตาไม่เหมือนคนไทยเท่าไหร่
ช่วงที่นั่งอยู่ในรถ ที่กำลังมุ่งหน้าไปจันทบุรี เถ้าแก่ที่รับผม ก็เริ่มสาธยายเรื่องงานให้ฟังว่า
งานไม่มีอะไรมาก เป็นงานรีโนเวทบ้านเก่า ตรงไหนผุก็รื้อทำใหม่ บ้านเป็นบ้านไม้ ส่วนใหญ่จะ
เน้นงานไม้ ทาสี
แกก็เล่าให้ฟังว่า ที่นั้นบรรยากาศดี เป็นธรรมชาติ เจ้าของที่เข้าจ้างให้มาปรับปรุงบ้าน
ซื้อที่ดินแถวนั้น ต่อจากเจ้าของเดิม
พอมาเห็นบ้านไม้เก่าๆทรงโบราณๆแล้วก็เลยเสียดาย ไม่อยากรื้อทิ้ง
ผมนั่งรถไป หลับๆ ตื่นๆบ้าง ใช้เวลานานมาก กว่าจะถึงจันทบุรี
พอช่วงเถ้าแก่บอกว่าใกล้จะถึงแล้ว ผมก็เริ่มสั่งเกตข้างทาง
ปรากฏว่ามันเป็นป่าทั้งสองฝั่ง ทางก็คดเคี้ยว วกวนไปมา
จนทำให้ผม แทบจะต้องมองหาจุดสังเกต เพื่อไม่ให้หลง เผื่อต้องเดินทางออกมาเอง
แล้วไม่นาน รถกระบะก็พามาจอดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง
พอพากันลงมาจากรถ มองไปที่บ้านหลังนั้น
มันเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ ทรงโบราณ ใต้ถุนยกสูง
ข้างบนดูเป็นสไตล์ทรงไทยประยุกต์ น่าจะเป็นแนวๆ ยุครัชกาลที่5
เพราะดู ดีๆอีกทีหนึ่งก็เหมือน ที่ทำงานของราชการสมัยก่อน
มองไปรอบๆ ไม่มีบ้านใกล้เรือนเคียงอยู่ข้างๆแถวนั้นเลย
เรียกได้ว่าบ้าน ตั้งอยู่กลางป่า หลังเดียว จริงๆก็ว่าได้
เถ้าแก่พาพวกเราเดินขึ้นไปบนบ้าน
พอขึ้นไปบนบ้าน ตรงกลางจะเป็นทางเดิน เป็นแนวยาว ตรงไปสุดทางเดินจะเจอประตูบานคู่
พอเปิดประตูเข้าไปก็จะเป็นห้องใหญ่ โล่งๆ
ย้อนออกมาจากห้องใหญ่ ข้างทางเดินซ้าย-ขวา ก็มีห้องอีก ห้องอยู่ตรงข้ามกัน
เดินย้อนกลับไปตรงทางเดินที่เราขึ้นมา ก็จะเป็นห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ตรงข้ามห้องเล็กนั้น
ก็จะเป็น โถงโล่งๆ เดินย้อนไปจนสุดทางอีก ก็จะเป็นห้องน้ำ
แล้วก็เป็นห้องครัวที่ไม่มีหลังคา
เต้าแก่แนะนำ คนที่มาด้วยอีก 3 คนให้ผมรู้จัก
เป็นช่างไม้2 คน และอีกคนเป็นช่างสี ช่างไม้สองคนเป็นชาวพม่า ส่วนช่างสีเป็นคนเขมร
หลังจากเถ้าแก่ใช้ สามคนนั้นให้ยกของ เครื่องมือต่างๆ กระป๋องสี ขึ้นมาเก็บไว้ที่ห้องใหญ่
เถ้าแก่ก็พาผมไปดูจุดต่างๆที่จะทำการ รีโนเวท
คุยกันจนเกือบจะพลบค่ำ เถ้าแก่ก็บอกว่า
เดี๋ยวแกจะมาดูความคืบหน้า อาทิตย์ละครั้ง
ถ้ามีของขาดหรือเครื่องมือทำงานไม่พอก็ให้โทรบอกแกก่อน
เที่ยวหน้าจะได้ขนมาเลยทีเดียว
พอได้ยินแบบนั้น ผมก็ตกใจเหมือนกัน
อ้าว แล้วนี่จะทิ้งพวกเราไว้กลางป่าแบบนี้เลยหรือ รถลาอะไรก็ไม่มี
แล้วจะออกไปหาซื้ออะไรมากินยังไง
แต่เถ้าแก่ ก็เหมือนรู้ แกก็บอกว่าไม่ต้องกังวล แกเอาข้าวสารมาให้ด้วย
แล้วก็หม้อหุงข้าว ปลากระป๋อง มาม่า อาหารแห้งต่างๆ
ก่อนไปแกก็หันมาถามพวกเราว่า อยู่ได้ใช่ไหม
ไม่ทันฟังคำตอบจากพวกเรา แกก็ขึ้นรถขับออกไปเลย
ผมกับช่างที่เหลืออยู่ พากันจับจองหาห้องนอนก่อน คืนนี้จะนอนห้องไหนดี
โชคดีที่แม้จะเป็นช่างพม่า กับเขมร แต่ก็พูดไทยได้ชัดพอสมควร
เขาเรียกผมว่า นายช่าง
เราเลือกห้องนอนเล็กที่อยู่ตรงข้ามกับโถงรับแขก เป็นห้องนอน นอนรวมๆกัน
ห้องนั้น มีหลอดไฟแบบหลอดกลมๆ ห้อยลงมาเกือบๆจะเอามือเอื้อมถึง
น้ำกิน เถ้าแก่ให้ไว้ 5 ถัง แต่น้ำอาบ ผมไปดูในห้องน้ำแล้ว มันเป็น ตุ่มใส่น้ำ
ไม่มีประปา ต้องตักน้ำขึ้นมาใส่ตุ่มอาบ น้ำอาบก็จะมีในโอ่งแดง ที่อยู่ด้านข้างของบ้าน
หลังจากกินมื้อค่ำกันเสร็จแล้ว ต่างคนต่างมานั่งอยู่ในห้องนอน มุมใครมุมมัน
ตรงที่ผมอยู่ อยู่ใกล้กับหลอดไฟที่ห้อยอยู่
ผมเอาสมุดจดงานที่คุยกับเถ้าแก่ขึ้นมาดู คิดวางแผนว่าพรุ้งนี้จะทำอะไรกันบ้าง
คงต้องเริ่มจากทำหลังคาก่อน พรุ้งนี้คงต้องตั้งนั่งร้านกันทั้งวันแน่ๆ
ช่วงที่กำลังคิดอะไรไปมาอยู่คนเดียว
อยู่ๆ ก็รู้สึก ว่า หลอดไฟมันแกว่งๆไปมา จนผมต้องรีบเหงนขึ้นไปมองบนเพดาน
ก็เห็นสายไฟมัน เหวียงไป เหวียงมา ช้าๆ
เฮ้ย ทำไมมันแกว่งได้เองวะ
พอคิดในใจแบบนั้น หันไปมองพวกช่าง
ก็เห็นหลับกันหมดแล้ว
ผมก็เลยรีบนอนดีกว่า
ตื่นเช้ามา
พอคุยเรื่องงานกันแล้ว กินข้าวเช้าเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปทำงาน
สายๆ ช่างสามคนก็พากันเข้าไปในป่า ไปหาไม้มาทำนั่งร้าน
ผมตอนนั้น อยู่ในห้อง ด้านซ้าย ติดกับห้องใหญ่
เปิดประตูอ้าไว้ และก็ไปเปิดหน้าต่างทุกบานในห้องที่ผมอยู่
หน้าต่างเป็นหน้าต่างเรียงกัน 6 บาน มีลายฉลุและเซาะร่องที่มันแตกของบานหน้าต่าง ที่ต้องซ่อม
และบานพับบางตัวก็เสียด้วย
ผมเอาอุปกรณ์มาทำไม้ขึ้นรูปเพื่อใช้ซ่อมแซมลายไม้ที่แตก
ช่วงแรก เสียงดังตึงตังอยู่พักใหญ่ จนพอเริ่มขัดกระดาษทราย
บรรยากาศก็เริ่มเงียบ
ช่วงที่กำลังนั่งขัดกระดาษทรายอยู่ อย่างจดจ่อ
อยู่ๆหางตาผม ก็เห็นเหมือนคนเดิน ผ่านหน้าประตูห้องไป
วึบ..
ผมรีบหันไปมองทางประตูห้อง อย่างเร็ว เห็นแต่ปลายผ้า ดำๆผ่านแว๊บไป
ผมตกใจ ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เนื้อตัวผมนี่ชาขึ้นมาวืบๆ เลย
เฮ้ย...! ใครวะ
ตอนนั้นบรรยากาศ เงียบมากๆ
ผมค่อยๆลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ประตู ค่อยๆชะโงกหน้าออกไปดูตรงแนวทางเดิน
เห็นบรรยากาศ ตรงพื้นทางเดินเก่าๆ ประตูห้องเก่าๆ หยักไย่ ฝุ่นตามผนัง
ก็ชวนให้ขนหัวลุกทันที เพราะมันทำให้ผมพึ่งนึกได้ว่า
นี่มันบ้านร้างดีๆนี่เอง
แล้วใครจะรู้ได้ว่า ประวัติบ้านหลังนี้ มันมีอะไรที่หน้ากลัวแฝงอยู่หรือเปล่า
โปรดติดตามตอนต่อไป