The Haunting of hill house

ใครก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหน่อยค่ะ สปอยล์มาเลย อยากรู้ว่ามันมีอะไร คือไม่มีเวลาดูแล้วจริงๆค่ะ เห็นมีแต่คนบอกว่าสนุก คือนี่ดูไปแล้วค่ะแต่ว่าทำงานไปด้วย เลยยังงงๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
ดูจบอยากตกตะกอนความคิดก็เลยเขียนไว้ ก่อนอื่นต้องขอบอกแบบทุกคนว่า ถ้าดูเองได้ดูเองเถอะค่ะ 😁 แต่ถ้าไม่ได้ดูจริงๆ อันนี้คือสปอยล์เต็มที่ แบบเรียบเรียงปะติดปะต่อมาเรียบร้อยและยาวมากกกกกกก

The Haunting of Hill House
#เราทุกคนต่างมีฝันร้ายที่ต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง

เคยฝันร้ายแบบเหมือนจริงสุดๆไหม ?
เหมือนจริงจนกระทั่งตอนที่ตกใจตื่นขึ้นมาน้ำตายังไม่ยอมหยุดไหล แม้จะรู้ตัวแล้วว่าเป็นแค่ฝัน ก็ยังหยุดเสียงกรีดร้องไม่ได้ ความรู้สึกยังคงชัดเจน จนตัวสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมไหว

แต่ฝันก็คือฝัน ต่อให้น่ากลัวแค่ไหน สุดท้ายมันก็จบลงไป

แต่จะเป็นยังไง ถ้าฝันร้ายนั้นไม่ยอมจบ ?


..

วันที่ครอบครัวเครนย้ายเข้ามายังคฤหาสน์ Hill House ในฤดูร้อนปี 1992 นั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายอันยาวนาน
เริ่มจาก’เนลลี่’น้องสาวคนเล็ก ที่ตื่นขึ้นมากลางดึก และเห็น ‘ผู้หญิงคอหัก’ ‘ลุค’น้องชายคนเล็ก (ฝาแฝดของเนลลี่) ที่คอยพูดถึง’อบิเกล’เด็กผู้หญิงผมบลอนด์ที่ชายป่า ซึ่งทุกคนต่างบอกเขาว่าเป็นเพียงเพื่อนในจินตนาการ ‘ธีโอ’ ลูกสาวคนกลางที่ไม่ค่อยจะมีความสุขในบ้านที่’หนาวตลอดเวลา’เท่าไหร่นัก ‘เชอร์ลี่ย์’ พี่สาวคนรองที่มักจะนอนละเมอ และตื่นตกใจกับเสียงทุบผนังที่ไม่มีที่มา หรือแม้กระทั่ง ‘สตีฟ’พี่ชายคนโต ที่แม้ไม่ได้เจอกับปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้เหมือนที่น้องๆเจอกัน แต่ก็ต้องคอยตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อปลอบใจเนลลี่ที่กำลังกรีดร้องอย่างตกใจ ในฐานะพี่ใหญ่ของบ้าน

เด็กๆคงคิดว่านั่นเป็นเพียงฝันร้าย หรือจินตนาการของพวกเขาเอง หรือปรากฏการณ์อะไรสักอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ดูจะแย่และมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือ ‘โอลิเวีย’ แม่ของพวกเขาเอง จนกระทั่งในคืนหนึ่ง ที่พ่อต้อนพาพวกเขาขึ้นรถขับออกจากบ้านกลางดึกโดยทิ้งแม่ไว้ และในเช้าวันถัดมา พวกเขาก็ได้รับรู้ว่า แม่ตายแล้ว

แม่ฆ่าตัวตาย ..

ความน่าสนใจของหนังเริ่มจากการเล่าเรื่องในช่วงนี้ ที่ตัดสลับไปมาระหว่างปัจจุบันกับอดีต บางครั้งเล่าเรื่องเดิมซ้ำๆผ่านมุมมองของตัวละครแต่ละตัวที่แตกต่าง แต่ละครั้งเราจะได้รับรู้รายละเอียดของเรื่องมากขึ้น เหมือนได้จิ๊กซอว์ชิ้นที่ยังขาดไป และก็เพิ่มมุมมองและเรื่องราวใหม่ๆเข้ามา เพื่อทำให้เราต้องมองหาจิ๊กซอว์ชิ้นต่อไปอีก

แต่สิ่งที่ทำให้เราสนใจ ถึงขนาดต้องทนดูหนังที่ถูกจัดให้เป็น ‘หนังผี’ ทั้งๆที่กลัวผีขึ้นสมองขนาดนี้ ก็คือเรื่องราวชีวิตของพวกเขาแต่ละคน หลังจากออกจากบ้านหลังนั้น

เด็กๆถูกรับไปเลี้ยงโดยป้าเจเน็ต พี่สาวของแม่ และเติบโตแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง พร้อมกับปมในใจที่ต่างพยายามกลบฝัง ไม่มีคำอธิบายใดๆจากปากพ่อเกี่ยวกับเรื่องราวในคืนนั้น และดูเหมือนพวกเขาเองก็หลีกเลี่ยงการพูดถึงมัน ราวกับว่าถ้าไปแตะต้องเข้าเมื่อไหร่ ฝันร้ายในบ้านหลังนั้นจะย้อนคืนมา

แต่ที่จริง ฝันร้ายมันไม่เคยจบต่างหาก

‘สตีฟ’ ผู้มีความคิดว่าตัวเองไม่เคยเจอ ‘อะไร’ในบ้านหลังนั้น พยายามอธิบายทุกสิ่งที่ทุกคนได้เจอด้วยหลักของวิทยาศาสตร์ ที่ทุกคน(เห็น)เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด ก็เพราะครอบครัวของเขามี’ยีนวิปลาส’ เขาหาหนทางให้ตัวเองสามารถทำความเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการ ‘เขียนมันออกมา’ เขียนสิ่งที่เป็น ให้กลายเป็น สิ่งที่เขาเข้าใจและอยากให้มันเป็น เพื่อที่เขาจะได้ยอมรับมันให้ได้ แต่แท้จริงแล้ว เขายอมรับมันไม่ได้ ไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งการตายของแม่ ความเงียบงันของพ่อ ชีวิตที่ผิดเพี้ยนของน้องๆ แม้กระทั่งชีวิตที่ดูจะเป็นปกติสุขของตัวเขาเอง ในฐานะนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ ลึกๆแล้วเขาก็ยังไม่สามารถยอมรับบางส่วนของตัวเอง ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างครอบครัวปกติได้

‘เชอร์ลี่ย์’ ผู้ซึ่งในวัยเด็ก เป็นคนแรกที่ได้รู้จักกับ’ความตาย’ เนื่องจากเธอเก็บลูกแมวป่วยครอกหนึ่งมาเลี้ยงไว้ และสุดท้ายก็ต้องกล่าวคำอาลัยและฝังศพให้มัน (เนื้อเรื่องตอนนี้ พอมานึกย้อนดูไม่เกี่ยวอะไรกับผี แต่ตอนดูนี่หลอนมาก 😫) ทำให้เธอเป็นคนที่เข้าถึงความสูญเสีย และเข้าใจถึงการจากตายมากที่สุดตอนที่เห็นร่างของแม่นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงใบนั้น เติบโตมาเป็นเจ้าของกิจการจัดงานศพ ที่คอยช่วยให้ผู้คนก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากที่สุดของชีวิตไปได้ เธอใช้วิธี ‘ควบคุมทุกอย่างให้อยู่ในแบบที่มันควรจะเป็น’ (control freak)ในการควบคุมปมในใจ มันทำให้เธอกลายเป็นคนที่ยากจะยอมรับและให้อภัยคนอื่น หรือแม้กระทั่งตัวเองได้ หากทำอะไรผิดไปจากที่มันควรจะเป็น

‘ธีโอ’ เติบโตขึ้นมาเป็นจิตแพทย์ที่คอยเปิดใจผู้คน แต่กลับปิดกั้นตัวเอง ด้วย’สัมผัส’พิเศษของเธอ ที่สามารถรับรู้ความคิดความรู้สึกของผู้คนได้ ทำให้เธอรู้สึกว่ามันเกินจะแบกรับไหว เธอจึงต้องสวมถุงมือไว้ตลอดเวลา เพื่ออยู่แต่ในโลกที่เธอจะรู้สึกถึงตัวเองเท่านั้น โดยถุงมือคู่แรกในชีวิตของเธอ ได้มาจาก ‘แม่’ ที่รู้ว่าเธอต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และยังอธิบายด้วยว่านี่คือสิ่งที่อยู่ในสายเลือดที่สืบทอดกันมา เป็นความจริงที่อาจจะฟังดูเพี้ยน แต่เพราะมันคือความจริง จึงไม่ยากที่จะเข้าใจ และนั่นทำให้เรารู้สึกว่า ถึงภายนอกธีโอจะดูเหมือนคนโดดเดี่ยว ไม่สนใจใคร แต่เอาจริงๆเธอน่าจะมีปัญหาน้อยสุดแล้วในบรรดาพี่น้องทุกคน

‘ลุค’ น้องชายคนเล็กที่พยายามจะโต เป็นหนึ่งในคนที่ได้ ‘เห็นผี’ แบบจริงจัง 😖 (แล้วหลอนจริงๆแต่ละฉาก 🥶) ในคืนที่พ่อพาพวกเด็กๆออกจากบ้าน ทุกคนทิ้งแม่-คนสำคัญในชีวิตของพวกเขา-เอาไว้ข้างหลัง แต่สำหรับลุคแล้ว เขายังทิ้ง’อบิเกล’ เพื่อนของเขาไว้ด้วยเช่นกัน บาดแผลจากความทรงจำเลวร้ายในเวลานั้น ได้ทิ้งรอยลึกที่พี่น้อง -ครอบครัวอันเป็นที่รัก- ไม่อาจช่วยแบ่งปัน บรรเทา เยียวยาเขาได้ มีก็แต่ช่วงเวลาที่ได้’เล่นยา’เท่านั้น ที่ฝันร้ายในความจริงค่อยลอยถอยห่าง ลุคจึงไม่เคยเลิกยาได้เลย จนทุกคน -ยกเว้นเนลลี่- เลิกหวังในตัวเขา

‘เนลลี่’ น้องสาวคนเล็กที่หากไม่ได้เติบโตมาในบ้านหลังนี้ คงจะกลายเป็นหญิงสาวที่มองโลกในแง่ดี ร่าเริงสดใส และมีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ‘รอยยิ้มของเธอคือแสงสว่าง ความรักของเราสองคนได้สร้างแสงสว่างมอบให้แก่โลกใบนี้’ ตอนที่พ่อพูดกับวิญญาณของแม่ประมาณนี้ เรารู้สึกซาบซึ้งมาก เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ขนาดว่า สุดท้ายแล้ว เนลลี่ต้องกลายเป็น ‘คนเห็นผี’ (ที่หลอนสุดในเรื่องแล้ว 🥶🥶🥶) และอยู่กับภาวะซึมเศร้า จนไม่มีใครสงสัยถ้าเธอจะฆ่าตัวตาย แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอรักพี่ๆทุกคน มากแค่ไหน และพยายาม’ช่วยพวกเขาให้ตื่นจากฝันร้าย’ อันยาวนาน

นั่นคือฉากใน’ห้องแดง’ ที่ทุกคนตกอยู่ในความฝัน ก็คือปมที่ต่างมีอยู่ในใจ ซึ่งหากไม่ยอมรับรู้ ชีวิตต่อจากนี้ก็คงยากจะตื่นจากฝันร้าย

แม้แต่วิญญาณของแม่ก็เช่นกัน ..

โอลิเวียที่น่าสงสารผู้ถูกบ้านหลังนี้หลอกหลอนกร่อนประสาท จนแยกไม่ออกว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนฝัน และฝันร้าย-ความหวาดกลัวที่หยั่งรากลึกที่สุด-ในใจของคนเป็นแม่ คือโลกภายนอกที่มืดดำนั้นจะทำร้ายลูกน้อยของตนอย่างไรบ้าง เธออยากปกป้องลูกจากความเจ็บปวดทุกสิ่งอย่าง และเชื่อว่าความจริงอันน่าเจ็บปวดที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ในบ้านหลังนั้นคือการอยู่ในฝันร้าย และวิธีปลุกตัวเองให้ตื่นจากมันที่แข็งแกร่งที่สุดคือความตายใน(ห้วงเวลาจริง ที่เธอคิดว่าเป็น)ฝัน

และแม้จะกลายเป็นวิญญาณ เธอก็ยังหลุดจากความฝันนั้นไม่ได้ จนกระทั่งฮิวจ์-ผู้เป็นสามี-ทำให้เธอตระหนักว่า ต่อให้ลูกๆต้องเจ็บปวดที่สุด จากฝันร้ายที่มืดดำที่สุด แต่นั่นคือส่วนหนึ่งของชีวิต เช่นเดียวกับช่วงเวลาที่สว่างไสว พ่อแม่ไม่สามารถปกป้องพวกเขาจาก’ความเป็นจริง’ของทุกชีวิตได้ และต่อให้เป็นครอบครัวที่รักและเข้าใจกันแค่ไหน #เราทุกคนต่างมีฝันร้ายที่ต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง

..

เคยฝันร้ายแบบเหมือนจริงสุดๆไหม ?

ในฝันแบบนั้น บางครั้งเราจะพยายามปลุกตัวเอง และบอกตัวเองว่านี่คือฝันร้าย และมันจะจบลงตอนที่เรารับรู้ได้ว่ามันเป็นแค่ฝัน

ฉากที่เราขนลุกยิ่งกว่าฉากผีมา คือเมื่อตัวละครแต่ละตัว ‘กลับมาจากฝันร้ายแล้ว’ และกำลังเผชิญหน้ากับความจริง ‘สตีฟ’ที่กำลังปอกเปลือกความรู้สึกของตัวเองต่อหน้าภรรยา ‘เชอร์ลี่ย์’ที่กำลังยอมรับต่อหน้าสามีว่าแม้กระทั่งตัวเธอเองก็เคยทำผิดและต้องการการให้อภัย ‘ธีโอ’ที่ถอดถุงมือทิ้งลงในถังขยะ และเอื้อมมือออกไปจับมือใครอีกคนเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ และสุดท้าย ‘ลุค’ที่เป็นเหมือนครึ่งหนึ่งของเนลลี่ ลุกขึ้นมาสู้กับความกลัวของตัวเอง จนเลิกยาและใช้ชีวิตแทนเธอได้

และครอบครัว.. ยังคงเป็นพลังใจและความอบอุ่นเสมอ เหมือนดั่งเช้าวันใหม่ อย่างน้อยๆเมื่อฝันร้ายสิ้นสุดลง เราก็จะไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

เพราะครอบครัวหมายถึงเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 🙂
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่