
สวัสดีจ้าชาวPantip ทุกคน
ขอแนะนำตัวก่อนจ้า เราชื่อว่าจุง เราเป็นภูมิสถาปนิกทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ ด้วยความไกลบ้านและประเทศที่เราอยู่มันเป็นจุดเล็กๆจิ๋วเดียว เวลาว่างมันก็จะเหงาๆอะเนอะ ก็เลยเริ่มออกเที่ยว พอเที่ยวไปเรื่อยๆ คนเดียวบ้าง กับเพื่อนบ้าง ก็เริ่มหลงรักการเที่ยว เรียกได้ว่าถ้าไม่มีตั๋วเครื่องบินอยู่ในมือจิตใจมันจะห่อเหี่ยวยังไงไม่รู้ ฮ่าๆๆ
ตัวเราเองก็เคยมีประสบการณ์เขียน Blog และบทความมาบ้าง แต่เราไม่ค่อยคุ้นชินกับ Pantip และนี่ก็เป็นครั้งแรกในการมาแชร์ประสบการณ์ใน Pantip (กว่าจะสมัคร กว่าจะยืนยันตัวตน อะไรนี่เสร็จ ก็เหนื่อยละ ละยังกดผิด ที่เขียนไว้หายไปหมดอีกหนึ่งรอบ ฮ่าๆ) ถ้าบทความมันอ่านยาก หรือขาดๆเกินๆยังไงแนะนำติชมได้เลย จะยินดีมากๆ พร้อมแก้ไขปรับปรุงเต็มที่จ้า
อ๊ะๆ ไม่เสียเวลาละ ขอPantipของเรา ด้วยการพาทุกคนบินลัดฟ้าไปเที่ยวเส้นทาง Bromo-Kawah Ijen ประเทศอินโดนีเซียกันเลยซึ่งจริงๆก็เห็นมานานละ คนนู้นคนนี้ก็ไป ว่าแล้วก็ต้องจัดซักหน่อย การไปเที่ยวBromoนั้นไม่ได้ยากเลย แค่วางแผนซักนิดว่าอยากไปไหนบ้าง มีเวลากี่วัน แล้วEmailไปหา ไกด์ทัวร์ ซึ่งก็มีหลายยี่ห้อหลายคนหลายราคามาก เลือกเอาตามความชอบใจ แค่นี้ก็จะได้ที่พัก รถ พร้อมไกด์และตารางทัวร์มา บินไปถึงเค้าก็มารับ เที่ยวเสร็จก็ไปส่ง จ่ายเงินหลังทริป จบ!! ง่ายสุดๆ ไงหละ มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปอีก
แต่ก็มีเพื่อนๆเราหลายคนไปจองเอาข้างหน้า ก็พอทำได้ แต่อาจจะลำบากหน่อย เพราะมันไม่มีระบบขนส่งรองรับ ต้องไปเสี่ยงต่อราคาเอาก็น่าจะสนุกไปอีกแบบ
อ๊ะๆ พร้อมยัง พร้อมแล้วก็ลุยเลยจ้า
Itinerary
29.04.17 : Fly to Surabaya| Drive To Bromo| rest
30.04.17 : Bromo Sunrise Tour-Savanah-Whispering Sand| Madakaripura Waterfall | To Ijen
01.06.17 : Blue Fire Tour| Blawan Waterfall | To Pronojiwo Village
02.06.17 : Tumpak Sewu | To Malang Batu
03.06.17 : City Tour | Surabaya Fly back home
Day 1: To Bromo
พวกเราเดินทางมาถึงสนามบิน Surabaya ประมาณ6.00pm ก็มองหาคนรถที่นัดไว้เพื่อพาเราออกเดินทางต่อไปเพื่อไปพักที่ Bromo เอาแรงก่อนหนึ่งคืน ก่อนที่จะตื่นไปทัวร์ใน Bromo
การเดินทางใช้เวลาประมาณ4ชม ช่วงใกล้เข้าเขตโบรโม่นั้นเส้นทางขรุขระ มืดและเปลี่ยวมาก จนเราคิดว่าถ้ารถเสียขึ้นมา จะทำยังไงละ คิดไม่ทันจะเสร็จ ปั๊งงงงงง!! ยางแตกจ้าาาาา โอยยยย ไม่ทันถึงไหน โบรโม่ก็เล่นหนูแล้วววววววว ก็ต้องลงมาช่วยลุงคนรถ (ต่อไปนี้ขอเรียกว่าลุงจัน) เปลี่ยนยาง ง่วงก็ง่วง มืดอีก หนาวอีก

กว่าลุงจันจะเปลี่ยนยางเสร็จ และพาเราขับรถต่อมาถึงที่พักก็ปาเข้าไปตีหนึ่ง จากที่จะได้นอนเอาแรงก่อนไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Bromo ก็กลายเป็นว่าได้แค่อาบน้ำเสร็จก็ต้องออกแล้ว เพราะลุงจันอยากให้เราออกไปจองที่ตั้งแต่ตีสอง เอาวะ ไปก็ไปปปปป
Day 2: Bromo Tour
Kingkong Hill
การเที่ยวในอุทยานแห่งชาติโบรโม่นั้น เราจะต้องเปลี่ยนเป็นรถ Jeep ให้พาเที่ยวเท่านั้น คันนึงจะนั่งได้สบายๆประมาณ 4คน (ไม่รวมลุงจันที่นั่งข้างคนขับ) ถ้าเป็นกรุ๊ป 5คนแบบเราเนี้ยจะแน่นเกินไป แนะนำเป็นสองคันจะดีกว่า
ตีสาม รถ Jeep ก็พาเรามาถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งมันจะมีหลายจุดมาก กรุ๊ปเราเลือกไปที่ King Kong Hill เราไปถึงเป็นกลุ่มแรก บอกเลยว่าไม่เสียแรงที่อดหลับอดนอนรีบออกมา เพราะนอกจากจะได้ที่ด้านหน้าสุดแล้ว ยังได้ดูวิวดาวเป็นล้านดวง สวยมากก จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ดูดาวสวยขนาดนี้ก็คือที่เขาชนไก่ตอนเรียน รด


แต่เอาจริงๆมะ ก็ไม่ต้องรีบมาขนาดเราก็ได้ เพราะจากตีสาม ก็ต้องนั่งตากลมหนาวรอพระอาทิตย์ กว่าจะขึ้นก็นู้นนนนนตีห้าครึ่ง หนาวมาก หนาวจนแม่คะนิ้งแทบเกาะ แถมพอถึงเวลามีฝูงชนจากไหนไม่รู้ มาแทรกอยู่ด้านหน้าเราไปอี๊กกกกก เออเนี้ยไม่ต้องรีบมา มาแทรกเอาแบบนี้ก็ได้ (หราาาาา)
พอตีห้าก็เริ่มมีแสง ให้เราเห็นเงาของ 3ภูเขาไปเบื้องหน้าประกอบด้วย Batok ลูกหน้าที่สงบแล้ว, Bromo ลูกกลางที่กำลังพ่นควัน, ลูกหลังสุด ที่เห็นไกลๆนู๊นนนน Sumeru เสียงคนก็เริ่ม หือหาาาาา กรีดร้องกันใหญ่ ส่วนเราก็หยิบกล้องมาถ่ายรัวๆ

แต่ก็อย่ามัวแต่มองภูเขาไฟอย่างเดียว เหลียวหันไปทางซ้ายมือ ย้อนกลับไปทางหมู่บ้าน Cemoro Lawang หรือด้านโรงแรมที่เราพักนั้นเอง วิวนั้นสวยจนลืมหนาวเลยทีเดียว ยิ่งเวลาที่แสงอาทิตย์สาดลงมาเป็นสีทองๆตัดกับหมอกนะแกเอ๊ยยยยยยย ลืมหายใจกันไปเลย
Bromo

พอแสงอาทิตย์ขึ้นเผยให้เห็นวิวเบื้องหน้าจนหมด ก็ได้เวลาที่เราจะลงไปหาพระเอกของทริป นั้นก็คือเจ้าภูเขาไฟครุกรุ่นเบื้องหน้านั้นเอง จุดมุ่งหมายสูงสุดของวันนี้ก็คือการได้รูปเดินอยู่สันบนปล่องนั้น เห็นควันขโมงนั้นมั๊ย เค้าเรียกมันว่า 'ลมหายใจแห่งเทพเจ้า'
รถJeepจะพาเราไต่ลงมาจากจุดชมวิว เผื่อมาจอดส่งเราที่ตีนภูเขาไฟ Bromo จุดจอดนี้ก็จะมีรถเข็นอาหารจอดเต็มไปหมด สิ่งที่อยากจะแนะนำให้ลองคือ Bakso อารมคล้ายๆก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อ จริงๆเราเป็นคนไม่กินเนื้อวัว แต่จุดนี้หิวมาก และลุงคนขับรถก็ยืนยันจะเลี้ยงBaksoพวกเราให้ได้ ก็ต้องกิน พอกินไปครั้งเดียวเท่านั้นละจ้าาาา ถึงกับติดใจ เดินผ่านเมือไหร่ต้องเรียกเพื่อน "แกๆๆๆ Bukso ขอกินหน่อย"


เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็ได้เวลาไปตะลุยต่อ จากจุดที่รถจอดนั้นมีสองวิธีที่จะเข้าชมเจ้าภูเขาไฟคือ 1.) เดินไปเลยจ้า สองกิโลเบาๆ 2) เช่าม้าขี่ โดยม้าจะพาไปส่งถึงตีนภูเขาไฟเลย ไปถึงก็แค่ปีนขึ้น เค้าก็จะแจกใบเขียนชื่อม้าไว้ พอจะกลับก็เอาใบนี้ไปยื่น เค้าก็จะพาเรากลับ สบายสุดๆ พวกเราก็ต้องเลือกขี่ม้า เพราะขี้เกียจ เอ้ย !เพราะสนุกและก็ได้ประหยัดเวลาด้วย เอาเวลาไปถ่ายรูปบนปากปล่องดีกว่า
ข้อแนะนำอีกข้อคือ ห้องน้ำที่ Bromo เนี้ยหายากมาก แล้วคนก็เยอะมากกก ทางทีดีอย่ากินอะไรเยอะ เอาแค่รองท้อง รอกลับไปกินที่โรงแรมดีกว่า

ตอนมองจากไกลๆ ก็พอรู้ละว่าคนน่าจะเยอะ พอมาถึงตีนเขาเท่านั้นละ ช็อค แม่เจ้า คนหรืออะไร ทำไมมันเยอะแบบนี้ กว่าจะต่อแถวขึ้นลงได้ ก็เป็นชั่วโมงเหมือนกัน อาจเพราะว่าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ด้วย ถ้าใครจะมาลองสลับ แพลนนิดหน่อยให้ตรงวัน ธรรมดา อาจจะเที่ยวสบายกว่าเรา

ทางเดินบนปากปล่อง กว้างประมาณ 1.5-20เมตร แต่ดูคนสิ โหยย สามสี่แถว ละก็จะออๆกันอยู่ตรงบันได น่ากลัวมาก เพราะถ้าพลาดนิดนึงคือกลิ้งลงไปอยู่ในปล่องข้างล่างเลยน๊ะจ๊ะ
กว่าจะแทรกตัวเบียดออกไปตรงไกลๆที่ไม่มีคนได้ ก็หลายสิบนาทีอยู่ แต่พอเดินออกมาเท่านั้นละ คุ้มสุดๆ เพราะมันโล่ง สบาย ทำให้เรา enjoy บรรยากาศตรงหน้า พร้อมถ่ายรูปได้อย่างเต็มที่

เมื่อมาถึงแล้ว สิ่งที่คนนิยมทำกันก็คือการโยนช่อดอกไม้ สิ่งของ ต่างๆลงไปในปล่อง เพื่อเป็นการศักการะ และขอพรจากเทพเจ้าที่คุ้มครองภูเขาไฟนี้ แต่ถ้าใครอยากเห็นพิธีกรรมแบบ original ชาวบ้านแท้ๆ ให้มาช่วงเทศกาล 'Kasada' ก็จะมีชาวบ้านแห่มาบูชา โยนพืชผลทางการเกษตรลงไป เพื่อขอพรให้ปีนี้อุดมสมบูรณ์

โอ๊ย เขียนมานาน ใจตุ้มๆต่อมๆ กลัวมันหายอีกรอบ ขอกดส่งไว้แค่นี้ละเดี๋ยวมาต่อละกันนะจ๊ะ
[CR] Indonesia Trip : Bromo-Kawah Ijen |มีดีมากกว่าภูเขาไฟ
สวัสดีจ้าชาวPantip ทุกคน
ขอแนะนำตัวก่อนจ้า เราชื่อว่าจุง เราเป็นภูมิสถาปนิกทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ ด้วยความไกลบ้านและประเทศที่เราอยู่มันเป็นจุดเล็กๆจิ๋วเดียว เวลาว่างมันก็จะเหงาๆอะเนอะ ก็เลยเริ่มออกเที่ยว พอเที่ยวไปเรื่อยๆ คนเดียวบ้าง กับเพื่อนบ้าง ก็เริ่มหลงรักการเที่ยว เรียกได้ว่าถ้าไม่มีตั๋วเครื่องบินอยู่ในมือจิตใจมันจะห่อเหี่ยวยังไงไม่รู้ ฮ่าๆๆ
ตัวเราเองก็เคยมีประสบการณ์เขียน Blog และบทความมาบ้าง แต่เราไม่ค่อยคุ้นชินกับ Pantip และนี่ก็เป็นครั้งแรกในการมาแชร์ประสบการณ์ใน Pantip (กว่าจะสมัคร กว่าจะยืนยันตัวตน อะไรนี่เสร็จ ก็เหนื่อยละ ละยังกดผิด ที่เขียนไว้หายไปหมดอีกหนึ่งรอบ ฮ่าๆ) ถ้าบทความมันอ่านยาก หรือขาดๆเกินๆยังไงแนะนำติชมได้เลย จะยินดีมากๆ พร้อมแก้ไขปรับปรุงเต็มที่จ้า
อ๊ะๆ ไม่เสียเวลาละ ขอPantipของเรา ด้วยการพาทุกคนบินลัดฟ้าไปเที่ยวเส้นทาง Bromo-Kawah Ijen ประเทศอินโดนีเซียกันเลยซึ่งจริงๆก็เห็นมานานละ คนนู้นคนนี้ก็ไป ว่าแล้วก็ต้องจัดซักหน่อย การไปเที่ยวBromoนั้นไม่ได้ยากเลย แค่วางแผนซักนิดว่าอยากไปไหนบ้าง มีเวลากี่วัน แล้วEmailไปหา ไกด์ทัวร์ ซึ่งก็มีหลายยี่ห้อหลายคนหลายราคามาก เลือกเอาตามความชอบใจ แค่นี้ก็จะได้ที่พัก รถ พร้อมไกด์และตารางทัวร์มา บินไปถึงเค้าก็มารับ เที่ยวเสร็จก็ไปส่ง จ่ายเงินหลังทริป จบ!! ง่ายสุดๆ ไงหละ มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปอีก
แต่ก็มีเพื่อนๆเราหลายคนไปจองเอาข้างหน้า ก็พอทำได้ แต่อาจจะลำบากหน่อย เพราะมันไม่มีระบบขนส่งรองรับ ต้องไปเสี่ยงต่อราคาเอาก็น่าจะสนุกไปอีกแบบ
อ๊ะๆ พร้อมยัง พร้อมแล้วก็ลุยเลยจ้า
Itinerary
29.04.17 : Fly to Surabaya| Drive To Bromo| rest
30.04.17 : Bromo Sunrise Tour-Savanah-Whispering Sand| Madakaripura Waterfall | To Ijen
01.06.17 : Blue Fire Tour| Blawan Waterfall | To Pronojiwo Village
02.06.17 : Tumpak Sewu | To Malang Batu
03.06.17 : City Tour | Surabaya Fly back home
Day 1: To Bromo
พวกเราเดินทางมาถึงสนามบิน Surabaya ประมาณ6.00pm ก็มองหาคนรถที่นัดไว้เพื่อพาเราออกเดินทางต่อไปเพื่อไปพักที่ Bromo เอาแรงก่อนหนึ่งคืน ก่อนที่จะตื่นไปทัวร์ใน Bromo
การเดินทางใช้เวลาประมาณ4ชม ช่วงใกล้เข้าเขตโบรโม่นั้นเส้นทางขรุขระ มืดและเปลี่ยวมาก จนเราคิดว่าถ้ารถเสียขึ้นมา จะทำยังไงละ คิดไม่ทันจะเสร็จ ปั๊งงงงงง!! ยางแตกจ้าาาาา โอยยยย ไม่ทันถึงไหน โบรโม่ก็เล่นหนูแล้วววววววว ก็ต้องลงมาช่วยลุงคนรถ (ต่อไปนี้ขอเรียกว่าลุงจัน) เปลี่ยนยาง ง่วงก็ง่วง มืดอีก หนาวอีก
กว่าลุงจันจะเปลี่ยนยางเสร็จ และพาเราขับรถต่อมาถึงที่พักก็ปาเข้าไปตีหนึ่ง จากที่จะได้นอนเอาแรงก่อนไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Bromo ก็กลายเป็นว่าได้แค่อาบน้ำเสร็จก็ต้องออกแล้ว เพราะลุงจันอยากให้เราออกไปจองที่ตั้งแต่ตีสอง เอาวะ ไปก็ไปปปปป
Day 2: Bromo Tour
Kingkong Hill
การเที่ยวในอุทยานแห่งชาติโบรโม่นั้น เราจะต้องเปลี่ยนเป็นรถ Jeep ให้พาเที่ยวเท่านั้น คันนึงจะนั่งได้สบายๆประมาณ 4คน (ไม่รวมลุงจันที่นั่งข้างคนขับ) ถ้าเป็นกรุ๊ป 5คนแบบเราเนี้ยจะแน่นเกินไป แนะนำเป็นสองคันจะดีกว่า
ตีสาม รถ Jeep ก็พาเรามาถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งมันจะมีหลายจุดมาก กรุ๊ปเราเลือกไปที่ King Kong Hill เราไปถึงเป็นกลุ่มแรก บอกเลยว่าไม่เสียแรงที่อดหลับอดนอนรีบออกมา เพราะนอกจากจะได้ที่ด้านหน้าสุดแล้ว ยังได้ดูวิวดาวเป็นล้านดวง สวยมากก จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ดูดาวสวยขนาดนี้ก็คือที่เขาชนไก่ตอนเรียน รด
แต่เอาจริงๆมะ ก็ไม่ต้องรีบมาขนาดเราก็ได้ เพราะจากตีสาม ก็ต้องนั่งตากลมหนาวรอพระอาทิตย์ กว่าจะขึ้นก็นู้นนนนนตีห้าครึ่ง หนาวมาก หนาวจนแม่คะนิ้งแทบเกาะ แถมพอถึงเวลามีฝูงชนจากไหนไม่รู้ มาแทรกอยู่ด้านหน้าเราไปอี๊กกกกก เออเนี้ยไม่ต้องรีบมา มาแทรกเอาแบบนี้ก็ได้ (หราาาาา)
พอตีห้าก็เริ่มมีแสง ให้เราเห็นเงาของ 3ภูเขาไปเบื้องหน้าประกอบด้วย Batok ลูกหน้าที่สงบแล้ว, Bromo ลูกกลางที่กำลังพ่นควัน, ลูกหลังสุด ที่เห็นไกลๆนู๊นนนน Sumeru เสียงคนก็เริ่ม หือหาาาาา กรีดร้องกันใหญ่ ส่วนเราก็หยิบกล้องมาถ่ายรัวๆ
Bromo
รถJeepจะพาเราไต่ลงมาจากจุดชมวิว เผื่อมาจอดส่งเราที่ตีนภูเขาไฟ Bromo จุดจอดนี้ก็จะมีรถเข็นอาหารจอดเต็มไปหมด สิ่งที่อยากจะแนะนำให้ลองคือ Bakso อารมคล้ายๆก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อ จริงๆเราเป็นคนไม่กินเนื้อวัว แต่จุดนี้หิวมาก และลุงคนขับรถก็ยืนยันจะเลี้ยงBaksoพวกเราให้ได้ ก็ต้องกิน พอกินไปครั้งเดียวเท่านั้นละจ้าาาา ถึงกับติดใจ เดินผ่านเมือไหร่ต้องเรียกเพื่อน "แกๆๆๆ Bukso ขอกินหน่อย"
เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็ได้เวลาไปตะลุยต่อ จากจุดที่รถจอดนั้นมีสองวิธีที่จะเข้าชมเจ้าภูเขาไฟคือ 1.) เดินไปเลยจ้า สองกิโลเบาๆ 2) เช่าม้าขี่ โดยม้าจะพาไปส่งถึงตีนภูเขาไฟเลย ไปถึงก็แค่ปีนขึ้น เค้าก็จะแจกใบเขียนชื่อม้าไว้ พอจะกลับก็เอาใบนี้ไปยื่น เค้าก็จะพาเรากลับ สบายสุดๆ พวกเราก็ต้องเลือกขี่ม้า เพราะขี้เกียจ เอ้ย !เพราะสนุกและก็ได้ประหยัดเวลาด้วย เอาเวลาไปถ่ายรูปบนปากปล่องดีกว่า
ข้อแนะนำอีกข้อคือ ห้องน้ำที่ Bromo เนี้ยหายากมาก แล้วคนก็เยอะมากกก ทางทีดีอย่ากินอะไรเยอะ เอาแค่รองท้อง รอกลับไปกินที่โรงแรมดีกว่า
ตอนมองจากไกลๆ ก็พอรู้ละว่าคนน่าจะเยอะ พอมาถึงตีนเขาเท่านั้นละ ช็อค แม่เจ้า คนหรืออะไร ทำไมมันเยอะแบบนี้ กว่าจะต่อแถวขึ้นลงได้ ก็เป็นชั่วโมงเหมือนกัน อาจเพราะว่าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ด้วย ถ้าใครจะมาลองสลับ แพลนนิดหน่อยให้ตรงวัน ธรรมดา อาจจะเที่ยวสบายกว่าเรา
ทางเดินบนปากปล่อง กว้างประมาณ 1.5-20เมตร แต่ดูคนสิ โหยย สามสี่แถว ละก็จะออๆกันอยู่ตรงบันได น่ากลัวมาก เพราะถ้าพลาดนิดนึงคือกลิ้งลงไปอยู่ในปล่องข้างล่างเลยน๊ะจ๊ะ
กว่าจะแทรกตัวเบียดออกไปตรงไกลๆที่ไม่มีคนได้ ก็หลายสิบนาทีอยู่ แต่พอเดินออกมาเท่านั้นละ คุ้มสุดๆ เพราะมันโล่ง สบาย ทำให้เรา enjoy บรรยากาศตรงหน้า พร้อมถ่ายรูปได้อย่างเต็มที่
เมื่อมาถึงแล้ว สิ่งที่คนนิยมทำกันก็คือการโยนช่อดอกไม้ สิ่งของ ต่างๆลงไปในปล่อง เพื่อเป็นการศักการะ และขอพรจากเทพเจ้าที่คุ้มครองภูเขาไฟนี้ แต่ถ้าใครอยากเห็นพิธีกรรมแบบ original ชาวบ้านแท้ๆ ให้มาช่วงเทศกาล 'Kasada' ก็จะมีชาวบ้านแห่มาบูชา โยนพืชผลทางการเกษตรลงไป เพื่อขอพรให้ปีนี้อุดมสมบูรณ์
โอ๊ย เขียนมานาน ใจตุ้มๆต่อมๆ กลัวมันหายอีกรอบ ขอกดส่งไว้แค่นี้ละเดี๋ยวมาต่อละกันนะจ๊ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้