น่านเนิบเนิบ กับ คนแปลกหน้าทั้งหก

สวัสดีค่ะ ทริปน่านครั้งนี้เกิดการรวมตัวกันของคนที่ไม่รู้จักกัน 6 คน ผ่านทางเพจ "Backpacker หาเพื่อนเที่ยวในและต่างประเทศ" เนื่องจากเราเองมีวันหยุดสามวันที่ไม่รู้จะทำอะไร ด้วยความอยากไป จ.น่าน อยู่แล้วเป็นทุนเดิมจึงปิ๊งไอเดียว่า ลองหาเพื่อนไปด้วยดีกว่า

เรายังไม่มีแพลนอะไรในหัวเลยตอนที่ inbox ไปหาทางเพจให้ช่วยประกาศหาเพื่อนร่วมทริปให้ ในใจคิดว่าไม่น่าจะมีคนสนใจด้วยซ้ำ เพราะว่าไม่มีรายละเอียดอะไรเลย และค่อนข้างกระชั้นชิดมากๆ เรียกว่าแทบไม่มีเวลาเตรียมตัวเลย แต่กลายเป็นว่าผิดคาด มีคนสนใจที่จะร่วมทริปน่านกับเราเยอะมากๆจนสุดท้ายต้องลิมิตไว้ที่ 6 คน

แล้วความสนุกก็เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มออกเดินทาง เพราะรถทัวร์น่านที่เราได้จองตั๋วไว้ เต็มแล้ว เราต้องช่วยกันหารถของ บ.อื่นๆที่ออกเวลาใกล้เคียงกัน เพื่อให้ทั้ง 6 คนไปถึงน่านพร้อมๆกัน และแล้วก็ได้เวลาเริ่มต้นการผจญภัย

เราเดินทางกันคืนวันที่ 20 ตุลาคม 2561 จากหมอชิตสู่น่าน ใช้เวลาเดินทางร่วมๆ 12 ชม. เนื่องจากรถที่มาเลทและรถติดในเมือง ทำให้แพลนที่ว่าจะไปถึงตี 5 ครึ่ง จึงกลายเป็น 7 โมงเช้าแทน


ยังค่ะ! ยังมีเรื่องพังอีกค่ะ คือ รถของน้องอีกสองคนที่แยกกันมา เกิดเสีย เลยทำให้รถมาช้ากว่าเราราวๆ 3 ชม. จากแพลนแรกที่กะว่าจะรีบขึ้นดอยเสมอดาวแต่เช้า ก็ทำให้ต้องเปลี่ยนแพลนกระทันหัน เราเช่ารถกันไว้แล้วจึงทำการเซอร์เวย์ในเมือง หากาแฟกินกันก่อน

น่านเป็นเมืองสโลว์ไลฟ์มาก เวลา 8 โมงตอนนั้น เราขับไปร้านกาแฟถึงสามร้านถึงจะเจอร้านที่เปิดขายแล้ว ที่ที่เราไปคือ ร้านบ้านๆน่านๆ ตัวร้านอยู่ในซอยแคบๆซับซ้อนๆกว่าจะถึงก็วนมั่วไปสองรอบ












บรรยากาศร้านตกแต่งง่ายๆเป็นบ้านไม้ มีหนังสือให้อ่านเล่นมากมาย และมีโซนที่ขายหนังสือด้วย
คาเฟ่เล็กแห่งนี้ทำให้เรารู้สึกสบายๆ เหมือนนั่งเล่นอยู่บ้านเพื่อน เราสั่ง โกโก้เย็น (50 บาท) มาลองกินรสชาติเข้มข้นดีนะเราชอบเลย แต่เพื่อนๆที่สั่งกาแฟบอกว่าไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่

เรารอจนน้องๆอีกสองคนมาถึงก็ได้เวลาเดินทางไปดอยเสมอดาวจริงๆซะที เราแยกกันเป็นสองกลุ่มรถยนต์ 4 คน และขี่มอเตอร์ไซค์ 2 คน ใครที่มากันเยอะแล้วคิดว่าจะขี่มอเตอร์ไซค์กันหมดให้ลองคิดใหม่นะคะ ถ้าอยากจะเที่ยวให้คุ้มจริงๆ เพราะเส้นทางที่ค่อนข้างไกลบวกกับสัมภาระ และอย่างวันที่เราไปนั้นตรงกับช่วงวันหยุดยาว ทำให้เต็นท์ของอุทยานเต็มหมด เราจึงต้องแบกเต็นท์ของเอกชนจากตีนดอยขึ้นไปเอง พวกเราขึ้นไปถึงดอยเสมอดาวประมาณบ่ายโมง ที่กางเต็นท์ยังพอมี แต่ก็มีคนหลายกลุ่มที่กำลังกางกันอยู่ เรารีบไปหาที่จับจองกางเต็นท์ 3 หลังของพวกเรา ใช้เวลากางเต็นท์กันอยู่สักพัก ฝนเจ้ากรรมก็เทลงมาแต่ก็ได้ฟีลแบบนั่งหลบฝนในเต็นท์ มองดูวิว เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก





หลังจากที่ฝนหยุดตกเราก็เริ่มเดินสำรวจกัน
วิวข้างบนสุดยอดมาก จะเห็นสายแม่น้ำน่านเล็กๆ ถ่ายมาไม่สวยเท่ากับตาเห็นเลยจริงๆ เราแค่นั่งมองวิวแบบนี้เฉยๆก็มีความสุขมากแล้วอะ



จากนั้นเราก็เริ่มปาร์ตี้หมูกระทะท่ามกลางหมู่ดาวตามแพลน แต่เดี๋ยว! คือช่วงที่เราไปฟ้าปิด เอาจริงๆไม่เห็นดาวเลยสักดวง ฮ่าๆๆ อะไม่เป็นไร ก็ยังเอนจอยกับหมูกระทะตรงหน้าได้อยู่
ปล.ข้างบนดอยเสมอดาวไม่มีหมูกระทะขาย พวกเราหิ้วกันมาจากร้าน เพชรลำภูหมูกระทะ ตรงบขสน่านเลย ราคาชุดละ 100 บาท ซื้อ 2 ชุด แถม 1 ชุด แม่ค้าน่ารักมาก เนื่องจากเราไปถึงเช้าตั้งแต่ร้านไม่เปิด ลองเรียกซักพักแม่ค้าก็ออกมาขายให้เราด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แถมยังให้เรายืมเตาและกระทะฟรีๆ คนน่านนี่น่ารักจริงๆค่ะ


เช้าวันที่ 2 ไอความตั้งใจว่าจะตื่นตีห้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก็ล้มเหลว กลายเป็นว่าตื่นมาอีกทีก็หกโมงแล้ว พวกเราลุกไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วปีนขึ้นไปข้างบนจุดดูดาวด้านบน โอโห คนเยอะมาก พอเราฝ่าฝูงชนเข้าไปได้ วิวที่เห็นตรงหน้ามันก็ทำให้เย็นอกเย็นใจขึ้นมาทันที






ทะเลหมอกของจริง มันนวลมันละมุนสุดลูกหูลูกตาไปหมด อากาศกำลังเย็นสบายๆ ความรีบร้อนมันหายไปเลย เราทิ้งตัวอยู่ตรงนั้นซึมซับบรรยากาศ สูดอากาศดีๆเข้าปอด คิดในใจว่า 'คุ้มแล้วที่มา ไม่เห็นดาวก็ไม่เป็นไรเลย'


เราเดินข้ามไปดูอีกฝั่งเนินเขา ก็จะเห็นเป็นวิวนี้ ฝั่งนี้ก็กางเต็นท์ได้นะคะ มีเอกชนหลายเจ้าให้บริการ

พวกเรารีบเก็บเต็นท์ เดินทางต่อไปที่ ผาชู้ แต่พอไปถึงกลายเป็นว่าต้นไม้ขึ้นสูงมากจนแทบไม่เห็นทัศนียภาพอะไรเลย
ปล.รถมอเตอร์ไซค์ที่จะเข้ามาในผาชู้อาจจะลำบากหน่อยเพราะมีช่วงที่ทางชัน รถมอเตอร์ไซค์ของพวกเราคลัชไหม้จนเหม็นต้องช่วยกันเข็นออกมาจนถึงถนนใหญ่

จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่เสาดินนาน้อย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ฮ่อมจ๊อม อารมณ์เหมือนแพะเมืองผีขนาดย่อมๆ  เกิดจากดินตกตะกอนทับถมกัน พอเปลือกโลกเคลื่อนตัวพื้นที่บางส่วนก็พังทลาย ทำให้เกิดรูปร่างแปลกๆขึ้นมา พอเวลาผ่านไปอีกหลายล้านปี การกัดเซาะของน้ำ ฝน และลม ก็เลยทำให้เสาดินพวกนี้มีรูปทรงแตกต่างกันออกไป จากที่เราสังเกตพื้นผิวจะเหมือนเป็นปูนปนทรายร่วนๆ
ปล.ถ่ายรูปกันอย่างระมัดระวังนะคะ อย่าปีนป่าย น้องที่ไปด้วยกันได้แผลจากที่นี่ ถลอกปอกเปิกทั้งแขนทั้งขาเลย





หลังจากที่เอาเต็นท์ที่เช่ามาไปคืน พวกเราก็แวะกินอาหารกันที่ร้าน เฮือนฝ้ายแม่จำปี อาหารใช้ได้เลย ปลาหมึกทอดกระเทียมอร่อย (ขอน้ำจิ้มซีฟู้ดมากินคู่กันด้วยนะ คือดี)

เราตัดสินใจขับรถขึ้นปัว ไปที่วัดศรีมงคล บ้านก๋ง ด้วยความตั้งใจว่าจะได้เป็นเห็นวิวท้องนาเขียวขจี แต่แล้วก็เจอแบบนี้ ฮ่าๆๆ มาผิดจังหวะไปนิด เขาเริ่มเกี่ยวข้าวกันไปแล้วทำให้เราได้วิวฟางข้าวเหลืองๆแทน








ต่อกันที่วัดภูเก็ต ขึ้นไปบนวัดแล้วมองลงมาจะได้วิว ฮักนาไทลื้อ คาเฟ่ คราวนี้ยังโชคดีค่ะ ทุ่งนาเขียวขจี





ไปต่อกันที่ ลำดวนผ้าทอ กาแฟบ้านไทลื้อ ไม่ได้ชิมเครื่องดื่ม เดินเล่นถ่ายรูปวิวสวยดี
ท้องเริ่มร้อง เลยตัดสินใจกินข้าวซอยร้าน ข้าวซอยบ้านไทลื้อ อยู่ตรงนั้นเลย รสชาติค่อนข้างเด็กๆ








แล้วเรากลับเข้าตัวเมืองน่าน ไปกินขนม ร้านของหวานป้านิ่ม ตอนนี้ป้านิ่มย้ายร้านจากในเมืองมาขายที่บ้านตัวเองซึ่งทางไปค่อนข้างเปลี่ยวมาก ผ่านป่าช้า ไม่มีไฟทาง ใครที่คิดจะขี่จักรยานไปไม่แนะนำค่ะ
เราสั่งบัวลอยไข่หวานไอติมกะทิ (50 บาท) รสชาติบัวลอยอร่อยเลยคือไม่หวาน ส่วนไอติมสำหรับเราว่าหวานไป แต่ถ้าคลุกๆกินกับบัวลอยก็จะพอดี ในความคิดเราราคาแพงไปอะ มันน้อยมาก จนเราต้องนับเม็ดบัวลอย ได้ 13 เม็ดถ้วน แต่ก็โอเคถึงว่ากินเพื่อให้รู้ว่าได้มากินแล้วนะ แต่ถามว่าจะซ้ำมั้ย ก็คงไม่



เราปั่นจักรยานของทางที่พักเราไปตะลุยเมืองน่านยามค่ำคืน เราไปกินอาหารเย็นกันที่ ร้านเฮือนฮอม ซึ่งเป็นร้านอาหารพื้นเมืองที่เราเซิจจากอากู๋แล้วมีคนแนะนำมากที่สุด โอเคไปก็ได้ เราสั่งไก่ทอดมะแขว่น
ไข่เจียวกรอบ แกงฮังเล ยำเห็ดสามอย่าง ชุดน้ำพริกอ่อง ซึ่งมี แคบหมู ไส้อั่ว ผักลวก ไข่ต้ม ลาบหมูที่ใส่มะแขว่น อาหารอร่อยดีนะ


จากนั้นเราก็ปั่นจักรยานไปที่ถนนคนเดิน วัดภูมินทร์ ในตัวเมืองน่านจะเอาสายไฟลงใต้ดินหมด และไม่มีหมาเลย ใครที่กลัวปั่นเล่นได้สบายใจแน่นอน เป็นเมืองที่เงียบไว แต่ไม่น่ากลัว


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่