สวัสดีค่ะ ท่านคณะกรรมการ ท่านผู้ชมผู้ฟัง และฝ่ายค้าน ที่เห็นด้วยอะไรกับดิฉันเลย....อิเวง ผิดงานค่ะ ไม่ใช่โต้คารมมัธยมศึกษา
สวัสดีค่ะทุกคน คุณน้องกลับมาแล้วค่ะ ช่วงนี้ว่างมากเพราะฝนตกบ่อยเว่อร์ จะออกไปรับงานแถวคลองหลอด โรงแรมสยามหรือสนามหลวงก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร โชคยังดีว่าเมื่อวันก่อนตอนที่แอบขโมยหยิบไก่ย่างจากรถเข็นส้มตำมานั่งยอง ๆ กินอยู่ใต้สะพานลอยตาก็ไปเห็นใบประกาศรับสมัครพนักงานร้านนวด บอกว่าเงินดี มีโปรแถมทำนมทำดั้งให้ โอ้โห้ โปรดีขนาดนี้ไอ้เราก็รีบวิ่งไปสมัครสิคะ พอไปถึง ที่ไหนได้ เจ้าของร้านบอก “ล้างส้วมแทนได้ไหม” ฮื้มมมมมม อัลไล นี่นางงามตะวันนานะคะ จะมาตกเวทีนี้ได้เหรอ ดูถูกเหยียดหยามกันเกินไปแล้ว พอนางยื่นที่ขัดส้วมให้ เราก็รวบผมตึงเลยค่ะ!!! และตะโกนถาม “ห้องน้ำอยู่ไหนล่ะ!!!”
ไม่เลือกงาน ไม่ยากจนนะคะท่านผู้ชม ช่วงนี้เลยว่าง ๆ มีเวลาอ่านหนังสือในห้องพักที่ค้างค่าเช้าเขามาสามเดือน เป็นดอกหญ้าในป่าปูน นั่งเจียดกินผักที่เขาแถมมากับส้มตำประทังชีวิต เก็บเงินได้ไม่เท่าไรก็เอาไปซื้อหนังสือมาอ่านแก้เหงา พอดีว่าปีนี้ซีไรต์ออกพอดี เลยสอยมาอ่านโดยฉับพลัน แล้วยังไงคะ? โอ้โห้ๆๆๆๆๆๆ อ่านไปได้ไม่กี่หน้านี่รู้เลยว่านี่มันไม่ใช่งานเขียนของคนนะคะ แต่เป็นงานเขียนของเทพเทวีองค์อรที่อวตาลเอวเอสลงมาร่ายรำจารจรงานให้เราได้อ่าน ภาษา เนื้อเรื่อง ข้อความ ตัวละคร ทุกอย่างหมดจดดีพร้อมประหนึ่งใบหน้าของประภัสรา หงสกุล เมื่อยามได้นางงามจักรวาลใหม่ ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ซีไรต์...ยังไงล่ะคะ อยากอ่านแล้วล่ะสิ มาค่ะ เดี๋ยวคุณน้องจะเล่าให้ฟัง
เขาเรื่องเลยนะคะ (อิเวง แล้วที่เกริ่นมาสามย่อหน้านี่คือไร?)
พุทธศักราชอัศดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ เป็นนวนิยายรางวัลซีไรต์ประจำปี 2561 โดยผู้เขียน วีรพร นิติประภา ชื้อนี้คงคุ้นหูกับแฟน ๆ ซีไรต์ดีจาก ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต นวนิยายของเธออีกเรื่องที่ได้รางวัลเดียวกันเมื่อสามปีก่อน โดยนวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวชีวิต ความรักและโศกนาตกรรมของครอบครัวตระกูล ‘ตั้ง’ ครอบครัวชาวจีนโพ้นทะเลที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากในไทย ผ่านร้อนผ่านหนาวจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์มากมายจนนำไปสู่จุดจบอันน่าสลดของทั้งครอบครัว
ผู้เขียนเริ่มต้นเรื่องอย่างน่างุนงงสงสัยว่า
“วันละสองครั้ง ตอนสายกับบ่ายแก่ รถไฟจะแล่นผ่าน ทันไดบ้านที่นิ่งงันกับมืดทึบตลอดเวลานั่นก็จะฟื้นตื่น อึกทึกครึกโครมด้วยชีวิตชีวา...” พุทธศักราชอัศดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ หน้า 11
หลังจากนั้นผู้เขียนก็บรรยายถึงสภาพภายในบ้าน ข้าวของสิ่งละอันพันละน้อยที่กระจายตัวทั่วไป ทั้งกระจกลายพิกุล กล่องดนตรีในขวดเหล้ารูประฆังคว่ำ ตุ๊กตาผู้ชายใส่สูธกับผู้หญิงกระโปรงบาน รวมไปถึงต้นฉำฉาที่อยู่ในส่วนนอกบ้าน
นากนั้นผู้เขียนก็เริ่มพูดถึง ‘ดาว’ กับ ‘ยายศรี’ ซึ่งเป็นตัวละครเอกของเรื่องเป็นครั้งแรก ตัวดาวนั้นเป็นเด็กอายุสิบสองที่ไม่เคยออกจากบ้าน ส่วนยายศรีเป็นหญิงชรา ผู้เขียนให้ภาพของเธอไว้ว่า
“...ยายศรีเป็นหญิงชราร่างเล็ก มีดวงตาเรียวรีเป็นกระกาย ไว้ผมสั่นเกือบเหมือนทรงดอกกระทุ่มอย่างคนโบราณแต่แสกข้างใส่น้ำมัน ซึ่งทำให้ผมขาวโพลนมองออกเป็นสีทองอ่อน ๆ กับมีกลิ่นห้อมละมุนคล้ายมะกรูดผสมกับดอกไม่อะไรสักอย่าง นี่ห้องมอร์แก็น ของนอกเชียวนา ผิวหย่อยคล้อยของยายนิ่มกับมีสีเหมือนประจันทร์ รอยยิ้มของยายนั่นก็เหมือกัน...เหมือนพระจันทร์ยิ้มแฉ่ง ยายศรีใจดี มีอารมณ์ขัน แล้วยังมีเรื่องเล่ามากมาย เวลาเล่าก็มักจะมีคำเปรียบเปรยของจีนสอดแทรก มันฟังแปลก ๆ และตลกดี...” พุทธศักราชอัศดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ หน้า 13-14
จากนั้นผู้เขียนก็เล่าถึงความทรงจำแรกของดาว...ซึ่งก็คือตั้งแต่แรกเกิด ใช่ค่ะ ตั้งแต่แรกเกิดนังดาวก็จำได้เลยว่าเห็นแม่พูดว่าอะไรยังไงแบบไหนตอนเห็นหน้าดาวเป็นครั้งแรก ถึงตรงนี้ผู้อ่านจะเริ่มรู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่เคลือบแฝงอยู่ในภาษาละลุนละไมไทยแลดแดนสมายลี่ ในย่อหน้าถัดมาผู้เขียนก็เล่าถึงความสนิทสนมกันของยายหลาน นิสัยชอบเล่าเรื่องของยายศรี มลดกตกทอดทางพันธุกรรมเป็นเม็ดกระบนผิวตัวที่ดูเหมือนจักรวาลทางช้างเผือกของตาทวด แล้วก็เล่าถึงความรักครั้งแรกของยายศรีกับผัวคนแรกที่อยู่ ๆ ก็หายตัวไปเหมือนผัวเช่าของคุณน้องหนีหายไปพร้อมกับกระเป๋าสตางค์และบัตรเครดิตของคุณน้องไงคะ
ตรงนี้ผู้อ่านจะรับรู้ได้ถึงความลับดำมืดของยายศรีที่ทั้งหอมหวานและน่าสงสัยจากภาษาอันสละสลวยของผู้เขียน เชื้อเชิญให้ผู้อ่านจดจ่อกับเรื่องราวต่อไป (เรื่องภาษาการเขียนคุณน้องขอรวบตึงไปพูดถึงตอนท้ายนะคะ ทดไว้ในใจค่ะ ทดสิคะ!!!)
ในบทต่อมา “ลูกอิจฉา” ผู้เขียนเล่าถึง “ตาทวดตง” ซึ่งเป็นชายชาวจีนที่ย้ายมาเมืองไทยเพื่อมาช่วยกิจการขายข้างสารของลุง ตามเรื่องเล่าถึงนิสัยใจคอและชาติกำเนิดของตาทวดตงไว้อย่างตรง ๆ ว่า
“...เป็นคนพูดน้อย ไม่ชอบเล่า จึงไม่มีใครค่อยรู้ภูมิหลังของเขามากนัก นอกจากว่ามาจากเมืองชนบทเล็ก ๆ ห่างไกลตรงไหนสักตรงในโผวเล้ง มณฑลกวางตุ้ง เป็นลูกคนที่สองในจำนวนพี่น้องสี่คนของครอบครัวแร้นแค้น แม่เป็นชาวนายากจนเช่าที่ปลูกข้าวกิน ส่วนพ่อเป็นทหารชั้นผู้น้อยมีเวลากลับมาอยู่บ้านเดือนละไม่กี่วัน...” พุทธศักราชอัศดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ หน้า 21
จากนั้นผู้เขียนก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่ลุงของตาทวดตงต้องมาอยู่เมืองไทยเพราะสมัยหนุ่ม ๆ ถูกกีดกันเรื่องความรักเลยตัดสินใจขโมยเงินกงสีของครอบครัวแล้วพาสาวเจ้าหนีมาตั้งตัวที่สยาม แต่อยู่กินมาได้ไม่เท่าไร เมียก็มาด่วนจากเพราะคลอดลูก แถมยังเป็นลูกสาว จะให้สืบทอดกิจการก็ไม่ได้ จึงจดหมายไปหาญาติห่าง ๆ ที่ไม่เคยพบหน้ากันสักครั้ง ขอลูกชายสักคนมาช่วยงานจะได้เอาไว้สืบทอดกิจการ
ตาทวดตงในวัยสิบห้าก็ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่เมืองไทย จนอายุได้ยี่สิบสองลุงก็ให้แม่สื่อไปหาเมียมาให้ แต่สุดท้ายลุงของตาทวดตงก็ตายเพราะโลกฝีดาษก่อนตาทวดตงจะหาเมียได้
แล้วเรื่องก็เล่าถึงการตามหาเมียในตำนานของตาทวดตง ว่าตาทวดตงถึงจะเป็นคนจีนจากโพ้นทะเลแต่ก็มีไฮสแตนดาร์ดนะคะ ไม่เอาลูกสาวของลุง ไม่เอาคนจีนที่มารยาทไม่งาม ตั่งตาง จนแม่สื่อมองบนอยากจะถอนตัวจากโปรเจกค์ สุดท้ายก็มาเจอกับยายทวดเสงี่ยมที่เป็นต้นเครื่องอยู่ในวังของเจ้านายระดับปลาย ๆ เป็นลูกครึ่งมอญกับจีนแต้จิ๋ว ทั้งมารยาทหน้าตาผิวพรรณอายุอานามก็ได้ตามสแตนดาร์ด แม่สื่อก็ทาบทาม ตอนแรกสาวเจ้าก็ไม่อยากได้เพราะเห็นว่าเนื้อตัวมีแต่รอยกระดำกระด่างจากฝ้าทั้งตัว อีกทั้งยังเป็นคนจีนที่ยายทวดเสงี่ยมจำฝังใจจากครอบครัวของลุงเธอที่เป็นคนจีนซึ่งดูแลเธอไม่ดีนัก แต่สุดท้ายก็ต้องแต่งงานกัน
ในย่อหน้าต่อมาเรื่องก็เล่าถึงลักษณะของตาทวดตงมากขึ้นว่า ตาทวดตงเป็นคนจีนที่มาจากครอบครัวยากจนก็จริงแต่ไม่มีนิสัยเป็นเจ๊กขาก

อย่างคนจีนส่วนใหญ่ เขาได้รับการอบรบเรื่องระเบียบวินัยและมารยาทมาพอสมควรซึ่งน่าจะเป็นมรดกตกทอดปู่ของปู่ของปู่ของปู่ที่เป็นตระกูลนักกวีที่เร่ร่อนจากราชสำนักก่อนจะตายจากไปโดยทิ้งไว้เพียงบทกวีที่ไม่มีใครอ่านออกบนผนังบ้าน (เรื่องบรรพบุรุษและมรดกรหัสพันธุกรรมนี่คุณน้องจะพูดตอนท้ายอีกทีนะคะ ทดไว้ในใจอีกทีนะคะ)
จากนั้นเรื่องก็เล่าว่าถึงทั้งคู่ผัวเมียจะปฏิบัติการลับเฉพาะในห้องนอนกันมาร่วมห้าปีก็ยังไม่มีลูกเต้า ทำให้ตาทวดตงกลัวว่าจะไม่มีคนมาดูแลยามแก่จึงคิดจะรับลูกบุญธรรมมาเลี้ยง เลยให้แม่สื่อ (คือว่านอกจากแม่สื่อจะมีเปิดเดทดิ้งแอปแล้ว ยังเป็นเอเจนซี่รับหาลูกด้วยเหรอคะ เริ่ด!!!) ไปดูเด็กผู้ชายมาให้สักคน ไม่นานแม่สื่อนางก็ไปเจอเด็กคนหนึ่งเป็นลูกของจนจีนอาภัพ พ่อตายเพราะดื่มหนัก แม่ก็ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมูวันดีคืนดีก็ติดโช๊คหงึก ๆ เป็นลม อาศัยประทังชีวิตด้วยการเป็นแค่คนเผาถ่านขายและรับจ้างไปวัน ๆ
แม่สื่อนางก็ดูลักษณะเด็กแล้วเห็นว่าตรงตามนรลักษณ์วาสนาดี ก็ทาบทามมาให้เป็นลูกของตาทวดตงกับยายทวดเสงี่ยม แต่แม่เด็กก็ไม่อยากจะให้เพราะด้วยความรักลูกและถึงจะยากจนข้นแค้นก็ไม้คิดจะขายลูกกิน แต่พอเห็นว่าครอบครัวนั้นมีฐานะดีก็ยอมตกลง แต่ก็ยังไม่วายมาแอบดูลูกอยู่เนือง ๆ จนยายทวดเสงี่ยมทนไม่ไหว ต้องออกมาจัดการด้วยการพูดตรง ๆ และถอดทรัพย์สินในตัวให้อีกฝ่าย
“...เขาเป็นลูกฉันแล้ว ไม่ได้เป็นลูกของหล่อนอีกต่อไป...เข้าใจหรือไม่ ว่าพรางก็ถอดต่างหูกับกำไลหยกหุ้มกะไหล่ทองแกะลายดอกโบตั๋นที่ตาทวดตงให้ใส่ติดตัวไว้ส่งให้ แม่เด็กเห็นก็ปล่อยโฮสะอึกสะอื้นปาดน้ำหูน้ำตาวุ่นวาย บอกหล่อนแค่อยากมาดูหน้าลูกให้คลายคิดคะนึงโหยหา ไม่ได้ต้องการสร้างความรำคาญหรือประสงค์ทรัพย์ เหล่านี่ไม่ใช่ทรัพย์ หากเป็นของรักติดตัวของฉัน รับเอาไว้เถิด หลอนสูญของรักของหล่อน ฉันก็สมควรเสียของรักของฉันทัดเทียม รับเอาไว้และรออยู่ตรงนี้ อีกสักประเดี๋ยวฉันจะให้พาอาหวัง (ลูกชายบุญธรรม) ออกมา จากนั้นหล่อนก็จงมองเขาเสียให้เต็มตา มองจนกว่าหล่อนจะพอใจแล้วไปเสียอย่ากลับมา...” พุทธศักราชอัศดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ หน้า 27
จากนั้นเรื่องก็อย่างกับละครตำนานรักดอกเหมย เพราะพอหลังจากนั้นไม่กี่เดือนยายทวดเสงี่ยมก็ตั้งท้อง
“...ลูกอิจฉานั่นแหละรู้ไหมเล่า คนโบราณเขาเรียกกัน อยู่ตั้งเป็นนานสองนานไม่มีลูก แต่พอไปเอาเด็กมาเลี้ยงเข้าเท่านั้นก็เกิดจะท้องกับเขาขึ้นมา...” พุทธศักราชอัศดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ หน้า 28
แล้วเรื่องก็เล่าว่าหลังจากนั้นหกปีตอนที่อาหวังกำลังเดินไปโรงเรียนก็เห็นชาวบ้านกำลังมุงดูคนนอนชักตายอยู่ในตรอก พอเห็นว่าสวมเครื่องประดับมีราคาก็นึกแปลกใจ อีกทั้งยังได้ยินคนแถวนั้นพูดว่าเธอเป็นหญิงอาภัพลูกตายตั้งแต่เล็ก ๆ เลยมาแอบดูเด็กบ้านอื่นเพื่อประโลมใจตัวเอง พอได้ยินแบบนั้นอาหวังก็เดินร้องให้กลับบ้าน ผู้เขียนเล่าถึงเหตุของน้ำตาและผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นต่ออาหวังจนถึงโตว่า
“...ต่อมาภายหลังเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่และนึกย้อนกลับก็ปักใจว่าคงเป็นแค่เพราะเพิ่งได้เห็นคนสิ้นลมเป็นครั้งแรก แต่เรื่องราวของหญิงที่ถวินหาลูกน้อยจนต้องมายืนดูลูกคนอื่นประโลมใจกับยิ้มรางไร้ที่มาของคนตายซึ่งผุดขึ้นในห้วงคิดยังติดตราเขาไปไม่รู้ลืม...” พุทธศักราชอัศดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ หน้า 29
เมื่ออาหวังกลับมาถึงบ้านก็เล่าเรื่องให้แม่ฟัง เธอหันมองออกไปนอกบ้านและพึมพำว่า
“...หล่อนสัญญาแล้ว หลอนสัญญากับฉันแล้ว...” พุทธศักราชอัศดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ หน้า 29
แล้วเรื่องก็เล่าแนะนำถึงเหล่าพี่น้องตระกูลตั้งที่คลานตามกันมาอีกสี่คน ถึงตรงนี้คุณน้องขอชี้แจ้งนิดหนึ่งว่าลูกทุกคนของบ้านนี้เขามีทั้งชื่อไทยและชื่อจีนคู่กันไป อย่างอาหวัง มีชื่อไทยว่า จงสว่าง เป็นต้น เพราะงั้นคุณน้องจะขอเรียกชื่อไทยเป็นหลักตามในนิยายนะคะ ลูก ๆ ตระกูลตั้งมีด้วยกันห้าคนคือ จงสว่างเป็นลูกบุญธรรมคนโต จรุงสินเป็นลูกสาวคนรอง เจริดศรีเป็นลูกสาวคนที่สาม จิตรไสวเป็นลูกชายคนที่สี่ และจรัสแสงเป็นลูกสาวคนที่ห้า
ต่อด้านล่างนะคะ
[CR] [สปอยหูดับตับไหม้] พุทธศักราชอัศดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ
สวัสดีค่ะ ท่านคณะกรรมการ ท่านผู้ชมผู้ฟัง และฝ่ายค้าน ที่เห็นด้วยอะไรกับดิฉันเลย....อิเวง ผิดงานค่ะ ไม่ใช่โต้คารมมัธยมศึกษา
สวัสดีค่ะทุกคน คุณน้องกลับมาแล้วค่ะ ช่วงนี้ว่างมากเพราะฝนตกบ่อยเว่อร์ จะออกไปรับงานแถวคลองหลอด โรงแรมสยามหรือสนามหลวงก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร โชคยังดีว่าเมื่อวันก่อนตอนที่แอบขโมยหยิบไก่ย่างจากรถเข็นส้มตำมานั่งยอง ๆ กินอยู่ใต้สะพานลอยตาก็ไปเห็นใบประกาศรับสมัครพนักงานร้านนวด บอกว่าเงินดี มีโปรแถมทำนมทำดั้งให้ โอ้โห้ โปรดีขนาดนี้ไอ้เราก็รีบวิ่งไปสมัครสิคะ พอไปถึง ที่ไหนได้ เจ้าของร้านบอก “ล้างส้วมแทนได้ไหม” ฮื้มมมมมม อัลไล นี่นางงามตะวันนานะคะ จะมาตกเวทีนี้ได้เหรอ ดูถูกเหยียดหยามกันเกินไปแล้ว พอนางยื่นที่ขัดส้วมให้ เราก็รวบผมตึงเลยค่ะ!!! และตะโกนถาม “ห้องน้ำอยู่ไหนล่ะ!!!”
ไม่เลือกงาน ไม่ยากจนนะคะท่านผู้ชม ช่วงนี้เลยว่าง ๆ มีเวลาอ่านหนังสือในห้องพักที่ค้างค่าเช้าเขามาสามเดือน เป็นดอกหญ้าในป่าปูน นั่งเจียดกินผักที่เขาแถมมากับส้มตำประทังชีวิต เก็บเงินได้ไม่เท่าไรก็เอาไปซื้อหนังสือมาอ่านแก้เหงา พอดีว่าปีนี้ซีไรต์ออกพอดี เลยสอยมาอ่านโดยฉับพลัน แล้วยังไงคะ? โอ้โห้ๆๆๆๆๆๆ อ่านไปได้ไม่กี่หน้านี่รู้เลยว่านี่มันไม่ใช่งานเขียนของคนนะคะ แต่เป็นงานเขียนของเทพเทวีองค์อรที่อวตาลเอวเอสลงมาร่ายรำจารจรงานให้เราได้อ่าน ภาษา เนื้อเรื่อง ข้อความ ตัวละคร ทุกอย่างหมดจดดีพร้อมประหนึ่งใบหน้าของประภัสรา หงสกุล เมื่อยามได้นางงามจักรวาลใหม่ ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ซีไรต์...ยังไงล่ะคะ อยากอ่านแล้วล่ะสิ มาค่ะ เดี๋ยวคุณน้องจะเล่าให้ฟัง
เขาเรื่องเลยนะคะ (อิเวง แล้วที่เกริ่นมาสามย่อหน้านี่คือไร?)
พุทธศักราชอัศดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ เป็นนวนิยายรางวัลซีไรต์ประจำปี 2561 โดยผู้เขียน วีรพร นิติประภา ชื้อนี้คงคุ้นหูกับแฟน ๆ ซีไรต์ดีจาก ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต นวนิยายของเธออีกเรื่องที่ได้รางวัลเดียวกันเมื่อสามปีก่อน โดยนวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวชีวิต ความรักและโศกนาตกรรมของครอบครัวตระกูล ‘ตั้ง’ ครอบครัวชาวจีนโพ้นทะเลที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากในไทย ผ่านร้อนผ่านหนาวจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์มากมายจนนำไปสู่จุดจบอันน่าสลดของทั้งครอบครัว
ผู้เขียนเริ่มต้นเรื่องอย่างน่างุนงงสงสัยว่า
หลังจากนั้นผู้เขียนก็บรรยายถึงสภาพภายในบ้าน ข้าวของสิ่งละอันพันละน้อยที่กระจายตัวทั่วไป ทั้งกระจกลายพิกุล กล่องดนตรีในขวดเหล้ารูประฆังคว่ำ ตุ๊กตาผู้ชายใส่สูธกับผู้หญิงกระโปรงบาน รวมไปถึงต้นฉำฉาที่อยู่ในส่วนนอกบ้าน
นากนั้นผู้เขียนก็เริ่มพูดถึง ‘ดาว’ กับ ‘ยายศรี’ ซึ่งเป็นตัวละครเอกของเรื่องเป็นครั้งแรก ตัวดาวนั้นเป็นเด็กอายุสิบสองที่ไม่เคยออกจากบ้าน ส่วนยายศรีเป็นหญิงชรา ผู้เขียนให้ภาพของเธอไว้ว่า
จากนั้นผู้เขียนก็เล่าถึงความทรงจำแรกของดาว...ซึ่งก็คือตั้งแต่แรกเกิด ใช่ค่ะ ตั้งแต่แรกเกิดนังดาวก็จำได้เลยว่าเห็นแม่พูดว่าอะไรยังไงแบบไหนตอนเห็นหน้าดาวเป็นครั้งแรก ถึงตรงนี้ผู้อ่านจะเริ่มรู้สึกถึงความแปลกประหลาดที่เคลือบแฝงอยู่ในภาษาละลุนละไมไทยแลดแดนสมายลี่ ในย่อหน้าถัดมาผู้เขียนก็เล่าถึงความสนิทสนมกันของยายหลาน นิสัยชอบเล่าเรื่องของยายศรี มลดกตกทอดทางพันธุกรรมเป็นเม็ดกระบนผิวตัวที่ดูเหมือนจักรวาลทางช้างเผือกของตาทวด แล้วก็เล่าถึงความรักครั้งแรกของยายศรีกับผัวคนแรกที่อยู่ ๆ ก็หายตัวไปเหมือนผัวเช่าของคุณน้องหนีหายไปพร้อมกับกระเป๋าสตางค์และบัตรเครดิตของคุณน้องไงคะ
ตรงนี้ผู้อ่านจะรับรู้ได้ถึงความลับดำมืดของยายศรีที่ทั้งหอมหวานและน่าสงสัยจากภาษาอันสละสลวยของผู้เขียน เชื้อเชิญให้ผู้อ่านจดจ่อกับเรื่องราวต่อไป (เรื่องภาษาการเขียนคุณน้องขอรวบตึงไปพูดถึงตอนท้ายนะคะ ทดไว้ในใจค่ะ ทดสิคะ!!!)
ในบทต่อมา “ลูกอิจฉา” ผู้เขียนเล่าถึง “ตาทวดตง” ซึ่งเป็นชายชาวจีนที่ย้ายมาเมืองไทยเพื่อมาช่วยกิจการขายข้างสารของลุง ตามเรื่องเล่าถึงนิสัยใจคอและชาติกำเนิดของตาทวดตงไว้อย่างตรง ๆ ว่า
จากนั้นผู้เขียนก็เล่าถึงเหตุการณ์ที่ลุงของตาทวดตงต้องมาอยู่เมืองไทยเพราะสมัยหนุ่ม ๆ ถูกกีดกันเรื่องความรักเลยตัดสินใจขโมยเงินกงสีของครอบครัวแล้วพาสาวเจ้าหนีมาตั้งตัวที่สยาม แต่อยู่กินมาได้ไม่เท่าไร เมียก็มาด่วนจากเพราะคลอดลูก แถมยังเป็นลูกสาว จะให้สืบทอดกิจการก็ไม่ได้ จึงจดหมายไปหาญาติห่าง ๆ ที่ไม่เคยพบหน้ากันสักครั้ง ขอลูกชายสักคนมาช่วยงานจะได้เอาไว้สืบทอดกิจการ
ตาทวดตงในวัยสิบห้าก็ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่เมืองไทย จนอายุได้ยี่สิบสองลุงก็ให้แม่สื่อไปหาเมียมาให้ แต่สุดท้ายลุงของตาทวดตงก็ตายเพราะโลกฝีดาษก่อนตาทวดตงจะหาเมียได้
แล้วเรื่องก็เล่าถึงการตามหาเมียในตำนานของตาทวดตง ว่าตาทวดตงถึงจะเป็นคนจีนจากโพ้นทะเลแต่ก็มีไฮสแตนดาร์ดนะคะ ไม่เอาลูกสาวของลุง ไม่เอาคนจีนที่มารยาทไม่งาม ตั่งตาง จนแม่สื่อมองบนอยากจะถอนตัวจากโปรเจกค์ สุดท้ายก็มาเจอกับยายทวดเสงี่ยมที่เป็นต้นเครื่องอยู่ในวังของเจ้านายระดับปลาย ๆ เป็นลูกครึ่งมอญกับจีนแต้จิ๋ว ทั้งมารยาทหน้าตาผิวพรรณอายุอานามก็ได้ตามสแตนดาร์ด แม่สื่อก็ทาบทาม ตอนแรกสาวเจ้าก็ไม่อยากได้เพราะเห็นว่าเนื้อตัวมีแต่รอยกระดำกระด่างจากฝ้าทั้งตัว อีกทั้งยังเป็นคนจีนที่ยายทวดเสงี่ยมจำฝังใจจากครอบครัวของลุงเธอที่เป็นคนจีนซึ่งดูแลเธอไม่ดีนัก แต่สุดท้ายก็ต้องแต่งงานกัน
ในย่อหน้าต่อมาเรื่องก็เล่าถึงลักษณะของตาทวดตงมากขึ้นว่า ตาทวดตงเป็นคนจีนที่มาจากครอบครัวยากจนก็จริงแต่ไม่มีนิสัยเป็นเจ๊กขาก
จากนั้นเรื่องก็เล่าว่าถึงทั้งคู่ผัวเมียจะปฏิบัติการลับเฉพาะในห้องนอนกันมาร่วมห้าปีก็ยังไม่มีลูกเต้า ทำให้ตาทวดตงกลัวว่าจะไม่มีคนมาดูแลยามแก่จึงคิดจะรับลูกบุญธรรมมาเลี้ยง เลยให้แม่สื่อ (คือว่านอกจากแม่สื่อจะมีเปิดเดทดิ้งแอปแล้ว ยังเป็นเอเจนซี่รับหาลูกด้วยเหรอคะ เริ่ด!!!) ไปดูเด็กผู้ชายมาให้สักคน ไม่นานแม่สื่อนางก็ไปเจอเด็กคนหนึ่งเป็นลูกของจนจีนอาภัพ พ่อตายเพราะดื่มหนัก แม่ก็ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมูวันดีคืนดีก็ติดโช๊คหงึก ๆ เป็นลม อาศัยประทังชีวิตด้วยการเป็นแค่คนเผาถ่านขายและรับจ้างไปวัน ๆ
แม่สื่อนางก็ดูลักษณะเด็กแล้วเห็นว่าตรงตามนรลักษณ์วาสนาดี ก็ทาบทามมาให้เป็นลูกของตาทวดตงกับยายทวดเสงี่ยม แต่แม่เด็กก็ไม่อยากจะให้เพราะด้วยความรักลูกและถึงจะยากจนข้นแค้นก็ไม้คิดจะขายลูกกิน แต่พอเห็นว่าครอบครัวนั้นมีฐานะดีก็ยอมตกลง แต่ก็ยังไม่วายมาแอบดูลูกอยู่เนือง ๆ จนยายทวดเสงี่ยมทนไม่ไหว ต้องออกมาจัดการด้วยการพูดตรง ๆ และถอดทรัพย์สินในตัวให้อีกฝ่าย
จากนั้นเรื่องก็อย่างกับละครตำนานรักดอกเหมย เพราะพอหลังจากนั้นไม่กี่เดือนยายทวดเสงี่ยมก็ตั้งท้อง
แล้วเรื่องก็เล่าว่าหลังจากนั้นหกปีตอนที่อาหวังกำลังเดินไปโรงเรียนก็เห็นชาวบ้านกำลังมุงดูคนนอนชักตายอยู่ในตรอก พอเห็นว่าสวมเครื่องประดับมีราคาก็นึกแปลกใจ อีกทั้งยังได้ยินคนแถวนั้นพูดว่าเธอเป็นหญิงอาภัพลูกตายตั้งแต่เล็ก ๆ เลยมาแอบดูเด็กบ้านอื่นเพื่อประโลมใจตัวเอง พอได้ยินแบบนั้นอาหวังก็เดินร้องให้กลับบ้าน ผู้เขียนเล่าถึงเหตุของน้ำตาและผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นต่ออาหวังจนถึงโตว่า
เมื่ออาหวังกลับมาถึงบ้านก็เล่าเรื่องให้แม่ฟัง เธอหันมองออกไปนอกบ้านและพึมพำว่า
แล้วเรื่องก็เล่าแนะนำถึงเหล่าพี่น้องตระกูลตั้งที่คลานตามกันมาอีกสี่คน ถึงตรงนี้คุณน้องขอชี้แจ้งนิดหนึ่งว่าลูกทุกคนของบ้านนี้เขามีทั้งชื่อไทยและชื่อจีนคู่กันไป อย่างอาหวัง มีชื่อไทยว่า จงสว่าง เป็นต้น เพราะงั้นคุณน้องจะขอเรียกชื่อไทยเป็นหลักตามในนิยายนะคะ ลูก ๆ ตระกูลตั้งมีด้วยกันห้าคนคือ จงสว่างเป็นลูกบุญธรรมคนโต จรุงสินเป็นลูกสาวคนรอง เจริดศรีเป็นลูกสาวคนที่สาม จิตรไสวเป็นลูกชายคนที่สี่ และจรัสแสงเป็นลูกสาวคนที่ห้า
ต่อด้านล่างนะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้