ตอบอธิบาย
“เรื่องเสี้ยวที่๑๖ ให้เห็นลงความอธิบายแล้ว เราคิดทีท่า เห็นดีไปอย่างอื่น ต่อมานั้น จึงเห็นว่า เราจะคิดไปทางดีซะบ้าง ให้ได้, คือคิดถืออุปมาลงในคำว่าส่วนเสี้ยว ที่เขาอาจจะด่า หรือประณาม คือเป็นทางค่อนขอด ว่าน้อยซะเหลือเกิน เป็นเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อย อันแต่ที่๑๖, อันอย่างนี้ โบราณคติคิดคำเปรียบ เทียบเอาดวงพระจันทร์ เป็นที่แสดงอุปมา ว่าเต็มดวงมาทุกวัน ๆ บ้าง ว่าเป็นเดือนมืดเข้ามาทุกวัน ๆ บ้าง “ธรรม!” ก็มีดั่งนี้ คือ คำบอก คำสอน ให้ได้เห็น ให้ได้เป็นไปได้ ดีหรือไม่ดี แล้วแต่จะคิด จะกระทำไปได้เอง
ทีนี้ เราดูที่ เสี้ยวที่๑๖ เรานับไปข้างหน้า มันจะต้อง เป็นค่ำ๑ เมื่อนับย้อนมา มันจะต้องเป็น๑๔ ค่ำ ทีนี้ถ้าเราจะเข้ากัน กับตัวบท ที่ว่า เป็นที่เต็มดวงมาทุกวัน ๆ , อันเป็นคำชอบด้วยโวหาร อันสดใส เป็นอันเดียว, อย่างนี้เขาอาจจะเห็นว่า คนไม่ใช่จะเข้ามาด้วยโจทก์ ให้เรื่องอุปกิเลส สมกันลง เป็นความคาถา๑๖ อย่าง อุปมา ตามแต่เราเขาจะเข้ามากล่าวด้วย เฉพาะความส่วนตัว พอดีเราเอาตรง ๆ แต่ที่จะตรง ที่ควรถูกประณาม ความอันไม่ให้เต็มได้ ไม่ให้ได้ที่ได้ เราก็ถึงจะว่าไป นำตนส่งไป ออกไปอยู่ที่๑๖ โน่น นับปฏิโลม ก็ต้องได้๑๔ ค่ำ หากนับอนุโลมให้ไป ก็เป็น๑ ค่ำ ถ้าไม่อย่างนั้น ถ้าใครคนใดใคร่จะเอาดวงดาว ตามแต่ท้องฟ้านภากาศ จะยกมาเปรียบ มีเมฆบดบัง ลำพังตัว เอาเข้ามาเปรียบเทียบ ฉะนั้น ก็จงอย่าว่าให้มีอะไรกัน!
อะไร? คือ อย่างนี้ก็ดี เราจะต้องว่า เป็นที่เต็มดวงมาทุกวัน ๆ ถ้าอุปมา ว่าตนจะได้ตลอด ญาณ๑๖ มีเวลาวันหนึ่งข้างหน้า คืนหนึ่งข้างหน้า จบแค่นั้น สำเร็จธรรม เป็นเรื่องอย่างดี ก็พึงจะถูก จะตรง เพราะว่า อันที่เต็มดี เต็มบริบูรณ์นั้น เป็น๑๕ ค่ำ เท่านั้น พาจบลงไปในที่ ที่ไม่ลงไป รวมกัน กับในส่วนในเสี้ยวที่ใดอื่นอีก อันที่ซึ่งในพวกเราคนไหนในที่นี่แล้ว ก็ไม่ได้มี แล้วก็ไม่ได้คิดให้ใครกล่าวไปถึงได้ ว่ามีดีอย่างนั้นบ้างเลย”
“ฉะนั้น เรื่องส่วนที่จะสรุป ก็ควรให้ว่าอีก พึงว่าดังนี้ ก็คือ “ทิฏฐิ!” ตัวคนผู้มืดอยู่ นั่นแหละ เขาจะเป็นลำดับที่เต็มดวง มาทุกวัน ๆ ต่อแต่เมื่อ ให้เขาถือเอาเสี้ยวมืดนั้น ในข้างขึ้น ซึ่งเป็นส่วนเสี้ยวที่มืด แล้วหากเพราะว่า ถ้าหากตัวเขาเองกระทำนับต่อมาจากข้างโน้น ย้อนคืน คนจึงจะจริงแล้วให้เป็นไปได้ จบเป็นอย่างดีเหมือนส่วนเสี้ยวสว่าง ในวันค่ำ๑, แต่ว่า หากใครจะนับรวมกันลงไป แล้วเริ่มสมมุติเอากันในวันข้างแรมหมดแล้ว ก็เป็นอันว่า ต่อ ๆ ไปก็จะต้องมืด”
“ต่อมา ในส่วนธรรม อันไม่พึงประมาทนั้น เราก็ควรจะนับถือ การควรอันจะตรวจ นับถือ ดูกันให้เห็นแจ้งจริงสักที ว่าพระจันทร์อันเป็นดวงบริวารแท้ ๆ นั้น ที่แท้ท่านผู้รู้ท่านหมายถึงญาณ อันเป็นพละกำลัง อันที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ คือพระจันทร์ (เต็มดวง) เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ เป็นพวกที่คอยส่องแสงของดวงอาทิตย์ ที่สุก สว่างสวยนั้น มาให้เราเห็น ที่ไหนคนจะสำคัญเองว่า ดวงจันทร์ เป็นบริวารของโลก ธรรม!ประมาทความมืดเช่นนั้น เอาเป็นจริงแล้ว จะใช้เป็นความดีได้หรือ”
“จะใช่ที่ไหน ดังนี้ เราก็เห็นแล้วว่า ในปัจจุบันโลกของเรา ทุกวันนี้ พวกเรานับถือ รู้กันไปในทิฏฐิที่ไม่ค่อยถูก เพราะไม่ใช่แค่จะอนุโลมตามโวหารพระจันทร์อะไร ว่า เสี้ยวมืด ก็ต้องของข้างขึ้น เสี้ยวสว่าง ก็ต้องของข้างขึ้น จึงจะถึงที่เต็มดวงมาทุกวัน ๆ, หยั่งลงในการที่จะสำคัญให้เห็นด้วย ไม่ข้าม ไม่ขวาง ไม่กระทำยับเยินให้กับทิฏฐิโวหาร อันที่ใช่ ที่สมบูรณ์พอดี คือหมายความว่า พระจันทร์ดวงบริวารจริง ๆ นั้น ก็คือบริวารของดวงอาทิตย์ แต่หากว่าเมื่อใดโลกเรามองไม่เห็นพระจันทร์ซะแล้ว โลกก็พึงให้รู้เพียงว่า ไม่รู้ว่า พระจันทร์นั้น ตอนนี้เป็นบริวารของใคร?”
“ดังนี้ เท่านั้น คนอันไม่เต็มดี กับกิจอันนั้นแหละ ก็จึงจะปรารภอยู่ จึงจะเข้าถือ ว่ามีทิฏฐิ มีคติ มีทิศทางโคจรดี ได้ตนประพฤติตนเองส่งไป ตามนัยก็แต่ทางไม่ประมาท ทำความพร้อม ตนกระทำดี มีส่วนเกี่ยวกัน เฉพาะก็แต่ทางอันสมบูรณ์นั้น อยู่ไม่เว้น”
“ธรรม! เสี้ยวที่ ๑๖”
“เรื่องเสี้ยวที่๑๖ ให้เห็นลงความอธิบายแล้ว เราคิดทีท่า เห็นดีไปอย่างอื่น ต่อมานั้น จึงเห็นว่า เราจะคิดไปทางดีซะบ้าง ให้ได้, คือคิดถืออุปมาลงในคำว่าส่วนเสี้ยว ที่เขาอาจจะด่า หรือประณาม คือเป็นทางค่อนขอด ว่าน้อยซะเหลือเกิน เป็นเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อย อันแต่ที่๑๖, อันอย่างนี้ โบราณคติคิดคำเปรียบ เทียบเอาดวงพระจันทร์ เป็นที่แสดงอุปมา ว่าเต็มดวงมาทุกวัน ๆ บ้าง ว่าเป็นเดือนมืดเข้ามาทุกวัน ๆ บ้าง “ธรรม!” ก็มีดั่งนี้ คือ คำบอก คำสอน ให้ได้เห็น ให้ได้เป็นไปได้ ดีหรือไม่ดี แล้วแต่จะคิด จะกระทำไปได้เอง
ทีนี้ เราดูที่ เสี้ยวที่๑๖ เรานับไปข้างหน้า มันจะต้อง เป็นค่ำ๑ เมื่อนับย้อนมา มันจะต้องเป็น๑๔ ค่ำ ทีนี้ถ้าเราจะเข้ากัน กับตัวบท ที่ว่า เป็นที่เต็มดวงมาทุกวัน ๆ , อันเป็นคำชอบด้วยโวหาร อันสดใส เป็นอันเดียว, อย่างนี้เขาอาจจะเห็นว่า คนไม่ใช่จะเข้ามาด้วยโจทก์ ให้เรื่องอุปกิเลส สมกันลง เป็นความคาถา๑๖ อย่าง อุปมา ตามแต่เราเขาจะเข้ามากล่าวด้วย เฉพาะความส่วนตัว พอดีเราเอาตรง ๆ แต่ที่จะตรง ที่ควรถูกประณาม ความอันไม่ให้เต็มได้ ไม่ให้ได้ที่ได้ เราก็ถึงจะว่าไป นำตนส่งไป ออกไปอยู่ที่๑๖ โน่น นับปฏิโลม ก็ต้องได้๑๔ ค่ำ หากนับอนุโลมให้ไป ก็เป็น๑ ค่ำ ถ้าไม่อย่างนั้น ถ้าใครคนใดใคร่จะเอาดวงดาว ตามแต่ท้องฟ้านภากาศ จะยกมาเปรียบ มีเมฆบดบัง ลำพังตัว เอาเข้ามาเปรียบเทียบ ฉะนั้น ก็จงอย่าว่าให้มีอะไรกัน!
อะไร? คือ อย่างนี้ก็ดี เราจะต้องว่า เป็นที่เต็มดวงมาทุกวัน ๆ ถ้าอุปมา ว่าตนจะได้ตลอด ญาณ๑๖ มีเวลาวันหนึ่งข้างหน้า คืนหนึ่งข้างหน้า จบแค่นั้น สำเร็จธรรม เป็นเรื่องอย่างดี ก็พึงจะถูก จะตรง เพราะว่า อันที่เต็มดี เต็มบริบูรณ์นั้น เป็น๑๕ ค่ำ เท่านั้น พาจบลงไปในที่ ที่ไม่ลงไป รวมกัน กับในส่วนในเสี้ยวที่ใดอื่นอีก อันที่ซึ่งในพวกเราคนไหนในที่นี่แล้ว ก็ไม่ได้มี แล้วก็ไม่ได้คิดให้ใครกล่าวไปถึงได้ ว่ามีดีอย่างนั้นบ้างเลย”
“ฉะนั้น เรื่องส่วนที่จะสรุป ก็ควรให้ว่าอีก พึงว่าดังนี้ ก็คือ “ทิฏฐิ!” ตัวคนผู้มืดอยู่ นั่นแหละ เขาจะเป็นลำดับที่เต็มดวง มาทุกวัน ๆ ต่อแต่เมื่อ ให้เขาถือเอาเสี้ยวมืดนั้น ในข้างขึ้น ซึ่งเป็นส่วนเสี้ยวที่มืด แล้วหากเพราะว่า ถ้าหากตัวเขาเองกระทำนับต่อมาจากข้างโน้น ย้อนคืน คนจึงจะจริงแล้วให้เป็นไปได้ จบเป็นอย่างดีเหมือนส่วนเสี้ยวสว่าง ในวันค่ำ๑, แต่ว่า หากใครจะนับรวมกันลงไป แล้วเริ่มสมมุติเอากันในวันข้างแรมหมดแล้ว ก็เป็นอันว่า ต่อ ๆ ไปก็จะต้องมืด”
“ต่อมา ในส่วนธรรม อันไม่พึงประมาทนั้น เราก็ควรจะนับถือ การควรอันจะตรวจ นับถือ ดูกันให้เห็นแจ้งจริงสักที ว่าพระจันทร์อันเป็นดวงบริวารแท้ ๆ นั้น ที่แท้ท่านผู้รู้ท่านหมายถึงญาณ อันเป็นพละกำลัง อันที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ คือพระจันทร์ (เต็มดวง) เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ เป็นพวกที่คอยส่องแสงของดวงอาทิตย์ ที่สุก สว่างสวยนั้น มาให้เราเห็น ที่ไหนคนจะสำคัญเองว่า ดวงจันทร์ เป็นบริวารของโลก ธรรม!ประมาทความมืดเช่นนั้น เอาเป็นจริงแล้ว จะใช้เป็นความดีได้หรือ”
“จะใช่ที่ไหน ดังนี้ เราก็เห็นแล้วว่า ในปัจจุบันโลกของเรา ทุกวันนี้ พวกเรานับถือ รู้กันไปในทิฏฐิที่ไม่ค่อยถูก เพราะไม่ใช่แค่จะอนุโลมตามโวหารพระจันทร์อะไร ว่า เสี้ยวมืด ก็ต้องของข้างขึ้น เสี้ยวสว่าง ก็ต้องของข้างขึ้น จึงจะถึงที่เต็มดวงมาทุกวัน ๆ, หยั่งลงในการที่จะสำคัญให้เห็นด้วย ไม่ข้าม ไม่ขวาง ไม่กระทำยับเยินให้กับทิฏฐิโวหาร อันที่ใช่ ที่สมบูรณ์พอดี คือหมายความว่า พระจันทร์ดวงบริวารจริง ๆ นั้น ก็คือบริวารของดวงอาทิตย์ แต่หากว่าเมื่อใดโลกเรามองไม่เห็นพระจันทร์ซะแล้ว โลกก็พึงให้รู้เพียงว่า ไม่รู้ว่า พระจันทร์นั้น ตอนนี้เป็นบริวารของใคร?”
“ดังนี้ เท่านั้น คนอันไม่เต็มดี กับกิจอันนั้นแหละ ก็จึงจะปรารภอยู่ จึงจะเข้าถือ ว่ามีทิฏฐิ มีคติ มีทิศทางโคจรดี ได้ตนประพฤติตนเองส่งไป ตามนัยก็แต่ทางไม่ประมาท ทำความพร้อม ตนกระทำดี มีส่วนเกี่ยวกัน เฉพาะก็แต่ทางอันสมบูรณ์นั้น อยู่ไม่เว้น”