
ศิลปิน : Cocteau twins
เพลง : I wear your ring
______________________________________
I wear your ring
เรื่องสั้นประกอบเพลง
○ ...คลื่นคลอหาดสาดกระเซ็นกระแนบฝั่ง
ระยิบดั่งด้าวดารามหาศาล
สุกสกาวเบื้องฟากฟ้ามโหฬาร
เคล้าคำขานถ้อยวจีสัญญาใจ...
" แต่งงานกับผมนะ "
น้ำเสียงที่นุ่มนวล หากเต็มเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น ชัดเจนทุกอนูถ้อยของ'อดิเรก' ตัดผ่านเสียงซากซ่าของเกลียวคลื่นที่ม้วนนำเอาไอความร้อนแรงเฮือกสุดท้ายของสุริยันอัศดง เข้ามาเผื่อแผ่โขดหินและแนวทรายอันซึมกระทือให้ได้มีการเลื่อนไหลอีกครั้ง เป็นพละกำลังมหึมาที่ไม่รู้ว่าจะทลายหินผาหัวใจของ'รมิตา'ได้หรือไม่
... แต่กล่องใบน้อยน้อยสีแดงที่เปิดอ้าให้เห็นแหวนประดับเพชรเม็ดจ้อยที่สะท้อนแสงอ่อนของตะวันรอน ก็ได้ถูกยื่นจากมือบุรุษที่นั่งคุกเข่าอยู่ขึ้นสู่เบื้องหน้าของสาวผมยาวสลวยที่เรี่ยปลิวไปกับสายลมแผ่วพริ้ว... คลาสสิก
มือที่กุมกล่องนั้นช่างดูแบบบางเหลือเกิน นิ้วเรียวยาวนุ่มนวลไม่สมบุรุษ ทว่านิ่งหนักไม่ไหวติง ราวกับชะง่อนผาแกร่งที่ยื่นหน้าท้าทะเลรอคอยคำตอบจากกาลเวลา
คลื่นแค่ระลอกเดียวแต่มันช่างยาวนานเสียนี่กระไร มันคือคลื่นภูเขาน้ำแข็งเย็นเยียบที่พร้อมจะพรากไออุ่นไปจากทุกสรรพชีวิต? หรือคลื่นสายฟ้าที่ซัดเปรี้ยงเดียวต้นไม้พันปีก็ล้ม? หรือมันจะเป็นคลื่น--
"ฉันนึกว่าชาตินี้จะไม่ได้ยินคำคำนี้จากคุณซะแล้ว..."
"รอมานานแค่ไหนแล้วนะ... แปดปี... ไม่สิ แปดปีสี่ เดือนกับอีกสิบเจ็ดวัน นับตั้งแต่วันแรกที่เราคบกันมา รอ รอ รอจนผมฉันจะหงอกจวนหมดหัวอยู่แล้วเนี่ย ดูซิ" ผมเธอยังดกดำสวยไร้หลืบเส้นขาว ย้อนแยงกับมวลคำพร่ำรำพัน เสียงเอื้อยระฆังหวานของรมิดายังกังวานมิหยุดหย่อน เหลือบด้วยความสั่นเครือที่ปะทุมาจากม่านน้ำที่เรื่อนัยน์ตาคู่นั้น
"คุณมันผีบ้า..." เสียงนั้นสั่นมากขึ้นสอดคล้องกับน้ำที่เอ่อท้นท่วมจนหลั่งออกมาที่ริมตลิ่งตาเป็นสายปื้น
" ตกลงค่ะ "
--ที่ซัดละอองน้ำกลิ่นชื้นชื่นปอด คลื่นธรรมดากับคำธรรมดา ราบเรียบแต่แต่งตบแผ่นดินและผืนทรายได้เป็นรูปชดช้อยงดงาม งามเกินกว่าหาสิ่งใดมาเทียบเทียม
...กังสดาลทุ้มสำเนียงเสียงเพรียกสวรรค์
อัปสราสรรผ้าทิพย์วัดตัวใส่
มยุรเทพรำแพนหางสร้อยเสริมใน
ชุดหลงใหลขาวสล้างกระจ่างนวล...
"เป็นยังไงบ้างคะ ชุดนี้ เหมาะกับฉันมั้ย? หรือชุดก่อนหน้านี้สวยกว่า"
"ผมว่าชุดนี้แหละ สวยมากเลย"
"หมายถึงชุดสินะ หึ!"
"เปล่าเลย หมายถึงคุณต่างหากละ สวยกว่าชุดเป็นไหนๆ" อดิเรกทำท่าจัดเน็คไทในชุดสูทดำพูดแก้เกี้ยว แต่ก็หมายความตามจริง
รมิตาเธอช่างดูเจิดจรัสเสียจริงในชุดคลุมขาวบางเบายาวกรอมเท้า ชุดปิดบังเนินอกอย่างมิดชิด แต่ หัวไหล่และแขนเผยผิวหนังนวลเต่งเปล่งสะท้อนสู้แสงหลอดไฟ แสงจันทรา, ดาราหรืออาทิตย์ก็มิประพรั่น ถุงมือขาวลายลูกไม้นิ่มนวล... ช่างสง่าเหมือนหงส์ฟ้า
"เอ้า เอ้า! จะยืนตะลึงไปถึงไหนคะพ่อคุณ ตกลงจะว่ายังไงคะที่ฉันถามไป"
"ห้ะ เมื่อกี้คุณถามผมว่าไงนะ?"
"ก็ที่คุณคุยกับคุณพ่อ เรื่องก่อสร้างเรือนหอของเราที่สตูลหนะ"
"อ๋อ เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก ผมวานไอ้เอ็มออกแบบให้แล้ว สัปดาห์นี้มันคงออกแบบเสร็จ ก็จ้างช่างจัดการได้ทันทีเลย น่าจะสร้างเสร็จสัก..." อดิเรกนึก
"ยี่สิบหกวันหลังจากเสร็จพิธีแต่งอะนะ"
"ว้าว! ดีจังเลยนะคะ เราจะได้ไม่ต้องเทียวไปบ้านฝั่งนู้นที ฝั่งนี้ที มีบ้านสำหรับเราสองคนสักที ที่สตูลอากาศจะเป็นยังไงน้า~ คงจะดีไม่หยอก ฮิฮิ"
"คงจะดีแหละนะ ที่ติดทะเลมีเสียงคลื่มกล่อมนอนทุกคืน"
"ตกลงชุดนี้สวยกว่าแน่นะคะ จะได้เลือกสักทีแล้วไปหาข้าวเย็นกินกัน" รมิตาหมุนตัวครึ่งรอบ พร้อมส่งสายตาสดใสให้กับชายหนุ่มร่างผอมสูงผู้ที่มองเธออย่างไม่ละสายตา
"อื้ม ชุดนี้แหละ"
"โอเค! เอาชุดนี้แหละค่ะ" รมิตาหันไปบอกกับพนักงานร้านก่อนจะหันกลับมาที่อดิเรกพร้อมนำมือป้องใต้ปากเผยให้เห็นแหวนเพชรที่นิ้วนางของเธอ
"เย็นนี้ฉันอยากกินสลัดแซลมอนอะ"
...ปลาโล้คลื่นลมซัดครื้นกระหน่ำฝน
หินผาทนแรงพายุที่พัดหวน
เรือสำราญคล้อยโคลงเคลงท่าทีจวน
จะจมม้วนกับเกลียวคลื่นกลับลำเรือ...
"ปัดโธ่เว้ย! อย่ามางี่เง่าให้มันมากนักจะได้มั้ย!?"
"นี่คุณอย่ามาขึ้นเสียงกันฉันนะ!"
"คุณเข้าใจผมหน่อย พวกต่างชาติมันเทขายหุ้นเราไปเกือบหมด แล้วคุณก็ยังจะมาเซ้าซี้อีก... จะเอาทุนที่ไหนไปโปะวะเนี่ย"
"ขายที่ตรงนั้นไปเลยมั้ยหละ ฮื้อ? ทำเลทองแบบนั้นคงจะได้พวกโรงแรมหรูมาซื้อได้อยู่กระมัง"
"ให้มันน้อยๆหน่อยคุณ นั่นที่ของเรานะ แล้วบ้านก็สร้างเสร็จมาสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วด้วย"
"แต่ก็ยังไม่เสร็จนี่ ใช่ไหมหละ? อยากได้เงินนักก็ขายทิ้งไปซะ"
"คุณช่วย! กรุณา! อยู่เงียบๆจะได้มั้ย!? เดี๋ยวผมเคลียร์ทุกอย่างเอง เดี๋ยวทุกอย่างจะต้องราบรื่น ไม่ต้องขายที่ของเรา"
"คุณมันก็เป็นซะแบบนี้! มีปัญหาอะไรก็ไม่ยอมมาคุยมาปรึกษาฉัน เห็นฉันเป็นเงา ถ้าเรื่องนี้ฉันไม่รู้เองคุณก็คงไม่บอกหรอกว่ากำลังมีปัญหาอยู่ เก็บๆๆมันไว้กับตัว!"
"เหมือนกับคำขอแต่งงานที่ฉันต้องทนรอมานานขนาดไหน คุณรู้บ้างมั้ย...ที่ผ่านมาที่ฉันต้องเฝ้ารอคุณเคยนึกถึงความรู้สึกฉันบ้างมั้ย? ฉันก็ต้องการความมั่นคงในชีวิตเหมือนกัน!..."
รมิตาพรั่งพรูทุกถ้อยความในใจพร้อมกับสายอัสสุชลที่พร่างพรมอาบแก้มดั่งหวังที่จะชำระชะความเศร้าหมองลงสู่ห้วงความโน้มถ่วง
"...ผมขอโทษ"
"คุณสัญญากับฉันได้ไหม" เธอปาดน้ำตาอย่างไว
"...ว่างานแต่งของเราจะเรียบร้อยไปได้ด้วยดี"
"ผมสัญญา ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ทั้งงานแต่งและบ้านของเรา... ผมสัญญา"
อดิเรกว่าจบก็ผลุดเข้ากอดรมิตาที่พร้อมจะทรุดฟุบลงที่หน้าอกเขาเมื่อเข้าไปถึง เธอร่ำไห้อย่างเด็กอนุบาล มันคือความอ่อนแอของหญิงสาวที่หวังเพียงแค่หลักพึ่งพิงอันมั่นคงก็เท่านั้น
เขากอดรมิตาอย่างแนบแน่นเข้าไปอีก แม้ร่างของเขาจะผอมบาง ไม่กำยำล่ำสัน แต่มันจะต้องเป็นเสาหลักให้เธอได้อย่างไม่มีวันไหวติง ไม่มีวันสั่นคลอน ไม่มีวัน...
"ผมสัญญา"
"...เรื่อเสียงระฆังขับก้อง โบสถ์สถาน
ทวงท่าดังกังวาน เสนาะครื้น
ทวงคืนท่อนสดสราญ ปลอบจิต ชูเทอญ
ทวงพร่ำสัญญาฟื้น สถิตย์สร้างทนนิรันดร์ ฯוะ
พรมแดงถูกปูจากด้านหน้าถนนเข้าไปสู่ภายในโถงอาคารโบสถ์อันวิจิตรแต่เรียบรื่นสไตล์บาโร้ค แขกเหรื่อทยอยเดินเข้ากันมายังที่นั่งด้านข้างอย่างสุภาพเรียบร้อย พร้อมเสียงจอกแจกจอแจตามประสาฝูงชน ส่วนมากก็เป็นคนใกล้ชิดของทั้งสองฝ่ายทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นญาติฝั่งพ่อเจ้าสาวก็ดี ญาติฝั่งเจ้าบ่าวก็มากันไม่น้อยหน้า เพื่อนผองสมัครพรรคพวก แม้บางคนจะไม่ได้เจอหน้าค่าตากันมานานก็มารวมกันอีกทีคราวนี้ จุดประสงค์ร่วมคือเตรียมมาชื่นชมยินดีให้กับคู่บ่าวสาวในวันนี้ จำนวนคนแม้จะไม่มากมายล้นโบสถ์แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างเป็นกันเอง
คงมีแต่เพียงความกระสับกระส่ายที่ด้านหลังพิธีการ...
"จวนจะถึงฤกษ์เปิดพิธีอยู่แล้ว ไอ้อติเรกมันยังไม่มาเลย ติดต่อมันก็ไม่ได้" ชาวชราแต่ดูภูมิฐาน หน้าตาท่าทางไม่แก่สมวัยพูดขึ้นมา
"ลูกคิดยังไงไปตกลงปลงใจกับเจ้านี่ หืม? พ่อค้านมาตั้งแต่แรกแล้ว ท่าทางมันเหลาะแหละจะตาย จะมาเลี้ยงดูลูกสาวพ่อได้ยังไง"
"แล้วดูนี่เห็นมั้ย! ส่อแววใจเสาะจะเบี้ยวงานแต่งซะแล้ว โทรไปก็ไม่ติด ไอ้เลวเอ๊ย! ถ้าเจอนะ..."
"คุณพ่อหยุดพล่ามสักทีจะได้มั้ยคะ!"
เป็นเสียงผรุสวาทที่มาจากหญิงสาวผู้ที่นั่งประจันหน้าอยู่กับกระจกโต๊ะเครื่องแป้งในชุดขาวยาวเรี่ยพื้น พร้อมผ้าคลุมหัวสีขาวลายลูกไม้ประดับอย่างละเอียดลออ ในมือกุมช่อดอกกุหลาบสีขาวสลับแดงเอาไว้อย่างมั่นเหมาะ หน้าผ่องปากแดงแต่แฝงเหลือบความกังวลอยู่ในสายตา
"แล้วก็ช่วยออกไปก่อนด้วย หนูขออยู่เงียบๆคนเดียวสีกพัก" ชายผู้เป็นพ่อเห็นแบบนั้นก็ยินดีให้เวลากับลูกสาวและก้าวออกไปจากห้อง แต่เขาจะไม่ทนแน่ถ้างานวันนี้ต้องเป็นอันล่ม มันจะต้องมีการล้างเลือด!
"ปึง"
สิ้นเสียงประตูปิด ทุกอย่างมันช่างเย็นเชียบเงียบงัน รมิตาน้ำตารื้นคลอเบ้า แต่มันจะไหลออกมาไม่ได้เพราะจะไปชะเครื่องสำอางไปเสียหมด เธอจะต้องสวยที่สุดในงานวันนี้
เธอก้มลงไปดูมือที่กุมช่อดอกกุหลาบ ดูที่นิ้วนางข้างซ้ายอันเปล่าเปลือย มันเคยถูกสวมด้วยแหวนหมั้นตั้งแต่ครั้งนั้น--เหตุการณ์ที่หาดทรายเมื่อยามเย็น-- บัดนี้มันรอการถูกสวมด้วยแหวนเพชรวงเดิมในความหมายใหม่ มันรออย่างเปล่าเปลือยเปล่าเปลี่ยว หากแต่เปี่ยมไปด้วยความหวังอยู่ลึกๆ เป็นศรัทธาของลูกผู้หญิง
รมิตาวางช่อดอกไม้ไว้ที่หน้ากระจก ก่อนที่จะผสานนิ้วโป้งจรดกับนิ้วชี้ในมือขวาให้เป็นวง แล้วนำมันมาสวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย พร้อมเอามือที่เหลือกุมเข้าไว้ด้วยกันแล้วหลุบเข้ามาทาบที่อก หน้าเชิดเงย
"เธอจะต้องมา อดิเรก ฉันเชื่อเธอ"
บาทหลวงเคาะประตูเป็นสัญญาณบอกว่าถึงฤกษ์ของพิธีการแล้ว รมิตาจึงจำต้องหยิบช่อดอกไม้แล้วเดินออกจากห้องขังเดี่ยวไป ออกไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
ทันใดนั้นก็มีเสียงรถเข้ามาเทียบที่หน้าโบสถ์.
______________________________________
สวัสดีครับ กระผมมือใหม่ไม่ค่อยถนัดเขียนเรื่องเป็นบทร้อยแก้วสักเท่าไหร่ ถ้ามีตะกุกตะกักตรงไหนก็ขออภัยและขอความกรุณาด้วยนะครับ
I wear your ring
ศิลปิน : Cocteau twins
เพลง : I wear your ring
______________________________________
ระยิบดั่งด้าวดารามหาศาล
สุกสกาวเบื้องฟากฟ้ามโหฬาร
เคล้าคำขานถ้อยวจีสัญญาใจ...
" แต่งงานกับผมนะ "
น้ำเสียงที่นุ่มนวล หากเต็มเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น ชัดเจนทุกอนูถ้อยของ'อดิเรก' ตัดผ่านเสียงซากซ่าของเกลียวคลื่นที่ม้วนนำเอาไอความร้อนแรงเฮือกสุดท้ายของสุริยันอัศดง เข้ามาเผื่อแผ่โขดหินและแนวทรายอันซึมกระทือให้ได้มีการเลื่อนไหลอีกครั้ง เป็นพละกำลังมหึมาที่ไม่รู้ว่าจะทลายหินผาหัวใจของ'รมิตา'ได้หรือไม่
... แต่กล่องใบน้อยน้อยสีแดงที่เปิดอ้าให้เห็นแหวนประดับเพชรเม็ดจ้อยที่สะท้อนแสงอ่อนของตะวันรอน ก็ได้ถูกยื่นจากมือบุรุษที่นั่งคุกเข่าอยู่ขึ้นสู่เบื้องหน้าของสาวผมยาวสลวยที่เรี่ยปลิวไปกับสายลมแผ่วพริ้ว... คลาสสิก
มือที่กุมกล่องนั้นช่างดูแบบบางเหลือเกิน นิ้วเรียวยาวนุ่มนวลไม่สมบุรุษ ทว่านิ่งหนักไม่ไหวติง ราวกับชะง่อนผาแกร่งที่ยื่นหน้าท้าทะเลรอคอยคำตอบจากกาลเวลา
คลื่นแค่ระลอกเดียวแต่มันช่างยาวนานเสียนี่กระไร มันคือคลื่นภูเขาน้ำแข็งเย็นเยียบที่พร้อมจะพรากไออุ่นไปจากทุกสรรพชีวิต? หรือคลื่นสายฟ้าที่ซัดเปรี้ยงเดียวต้นไม้พันปีก็ล้ม? หรือมันจะเป็นคลื่น--
"ฉันนึกว่าชาตินี้จะไม่ได้ยินคำคำนี้จากคุณซะแล้ว..."
"รอมานานแค่ไหนแล้วนะ... แปดปี... ไม่สิ แปดปีสี่ เดือนกับอีกสิบเจ็ดวัน นับตั้งแต่วันแรกที่เราคบกันมา รอ รอ รอจนผมฉันจะหงอกจวนหมดหัวอยู่แล้วเนี่ย ดูซิ" ผมเธอยังดกดำสวยไร้หลืบเส้นขาว ย้อนแยงกับมวลคำพร่ำรำพัน เสียงเอื้อยระฆังหวานของรมิดายังกังวานมิหยุดหย่อน เหลือบด้วยความสั่นเครือที่ปะทุมาจากม่านน้ำที่เรื่อนัยน์ตาคู่นั้น
"คุณมันผีบ้า..." เสียงนั้นสั่นมากขึ้นสอดคล้องกับน้ำที่เอ่อท้นท่วมจนหลั่งออกมาที่ริมตลิ่งตาเป็นสายปื้น
" ตกลงค่ะ "
--ที่ซัดละอองน้ำกลิ่นชื้นชื่นปอด คลื่นธรรมดากับคำธรรมดา ราบเรียบแต่แต่งตบแผ่นดินและผืนทรายได้เป็นรูปชดช้อยงดงาม งามเกินกว่าหาสิ่งใดมาเทียบเทียม
อัปสราสรรผ้าทิพย์วัดตัวใส่
มยุรเทพรำแพนหางสร้อยเสริมใน
ชุดหลงใหลขาวสล้างกระจ่างนวล...
"เป็นยังไงบ้างคะ ชุดนี้ เหมาะกับฉันมั้ย? หรือชุดก่อนหน้านี้สวยกว่า"
"ผมว่าชุดนี้แหละ สวยมากเลย"
"หมายถึงชุดสินะ หึ!"
"เปล่าเลย หมายถึงคุณต่างหากละ สวยกว่าชุดเป็นไหนๆ" อดิเรกทำท่าจัดเน็คไทในชุดสูทดำพูดแก้เกี้ยว แต่ก็หมายความตามจริง
รมิตาเธอช่างดูเจิดจรัสเสียจริงในชุดคลุมขาวบางเบายาวกรอมเท้า ชุดปิดบังเนินอกอย่างมิดชิด แต่ หัวไหล่และแขนเผยผิวหนังนวลเต่งเปล่งสะท้อนสู้แสงหลอดไฟ แสงจันทรา, ดาราหรืออาทิตย์ก็มิประพรั่น ถุงมือขาวลายลูกไม้นิ่มนวล... ช่างสง่าเหมือนหงส์ฟ้า
"เอ้า เอ้า! จะยืนตะลึงไปถึงไหนคะพ่อคุณ ตกลงจะว่ายังไงคะที่ฉันถามไป"
"ห้ะ เมื่อกี้คุณถามผมว่าไงนะ?"
"ก็ที่คุณคุยกับคุณพ่อ เรื่องก่อสร้างเรือนหอของเราที่สตูลหนะ"
"อ๋อ เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก ผมวานไอ้เอ็มออกแบบให้แล้ว สัปดาห์นี้มันคงออกแบบเสร็จ ก็จ้างช่างจัดการได้ทันทีเลย น่าจะสร้างเสร็จสัก..." อดิเรกนึก
"ยี่สิบหกวันหลังจากเสร็จพิธีแต่งอะนะ"
"ว้าว! ดีจังเลยนะคะ เราจะได้ไม่ต้องเทียวไปบ้านฝั่งนู้นที ฝั่งนี้ที มีบ้านสำหรับเราสองคนสักที ที่สตูลอากาศจะเป็นยังไงน้า~ คงจะดีไม่หยอก ฮิฮิ"
"คงจะดีแหละนะ ที่ติดทะเลมีเสียงคลื่มกล่อมนอนทุกคืน"
"ตกลงชุดนี้สวยกว่าแน่นะคะ จะได้เลือกสักทีแล้วไปหาข้าวเย็นกินกัน" รมิตาหมุนตัวครึ่งรอบ พร้อมส่งสายตาสดใสให้กับชายหนุ่มร่างผอมสูงผู้ที่มองเธออย่างไม่ละสายตา
"อื้ม ชุดนี้แหละ"
"โอเค! เอาชุดนี้แหละค่ะ" รมิตาหันไปบอกกับพนักงานร้านก่อนจะหันกลับมาที่อดิเรกพร้อมนำมือป้องใต้ปากเผยให้เห็นแหวนเพชรที่นิ้วนางของเธอ
"เย็นนี้ฉันอยากกินสลัดแซลมอนอะ"
หินผาทนแรงพายุที่พัดหวน
เรือสำราญคล้อยโคลงเคลงท่าทีจวน
จะจมม้วนกับเกลียวคลื่นกลับลำเรือ...
"ปัดโธ่เว้ย! อย่ามางี่เง่าให้มันมากนักจะได้มั้ย!?"
"นี่คุณอย่ามาขึ้นเสียงกันฉันนะ!"
"คุณเข้าใจผมหน่อย พวกต่างชาติมันเทขายหุ้นเราไปเกือบหมด แล้วคุณก็ยังจะมาเซ้าซี้อีก... จะเอาทุนที่ไหนไปโปะวะเนี่ย"
"ขายที่ตรงนั้นไปเลยมั้ยหละ ฮื้อ? ทำเลทองแบบนั้นคงจะได้พวกโรงแรมหรูมาซื้อได้อยู่กระมัง"
"ให้มันน้อยๆหน่อยคุณ นั่นที่ของเรานะ แล้วบ้านก็สร้างเสร็จมาสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วด้วย"
"แต่ก็ยังไม่เสร็จนี่ ใช่ไหมหละ? อยากได้เงินนักก็ขายทิ้งไปซะ"
"คุณช่วย! กรุณา! อยู่เงียบๆจะได้มั้ย!? เดี๋ยวผมเคลียร์ทุกอย่างเอง เดี๋ยวทุกอย่างจะต้องราบรื่น ไม่ต้องขายที่ของเรา"
"คุณมันก็เป็นซะแบบนี้! มีปัญหาอะไรก็ไม่ยอมมาคุยมาปรึกษาฉัน เห็นฉันเป็นเงา ถ้าเรื่องนี้ฉันไม่รู้เองคุณก็คงไม่บอกหรอกว่ากำลังมีปัญหาอยู่ เก็บๆๆมันไว้กับตัว!"
"เหมือนกับคำขอแต่งงานที่ฉันต้องทนรอมานานขนาดไหน คุณรู้บ้างมั้ย...ที่ผ่านมาที่ฉันต้องเฝ้ารอคุณเคยนึกถึงความรู้สึกฉันบ้างมั้ย? ฉันก็ต้องการความมั่นคงในชีวิตเหมือนกัน!..."
รมิตาพรั่งพรูทุกถ้อยความในใจพร้อมกับสายอัสสุชลที่พร่างพรมอาบแก้มดั่งหวังที่จะชำระชะความเศร้าหมองลงสู่ห้วงความโน้มถ่วง
"...ผมขอโทษ"
"คุณสัญญากับฉันได้ไหม" เธอปาดน้ำตาอย่างไว
"...ว่างานแต่งของเราจะเรียบร้อยไปได้ด้วยดี"
"ผมสัญญา ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ทั้งงานแต่งและบ้านของเรา... ผมสัญญา"
อดิเรกว่าจบก็ผลุดเข้ากอดรมิตาที่พร้อมจะทรุดฟุบลงที่หน้าอกเขาเมื่อเข้าไปถึง เธอร่ำไห้อย่างเด็กอนุบาล มันคือความอ่อนแอของหญิงสาวที่หวังเพียงแค่หลักพึ่งพิงอันมั่นคงก็เท่านั้น
เขากอดรมิตาอย่างแนบแน่นเข้าไปอีก แม้ร่างของเขาจะผอมบาง ไม่กำยำล่ำสัน แต่มันจะต้องเป็นเสาหลักให้เธอได้อย่างไม่มีวันไหวติง ไม่มีวันสั่นคลอน ไม่มีวัน...
"ผมสัญญา"
ทวงท่าดังกังวาน เสนาะครื้น
ทวงคืนท่อนสดสราญ ปลอบจิต ชูเทอญ
ทวงพร่ำสัญญาฟื้น สถิตย์สร้างทนนิรันดร์ ฯוะ
พรมแดงถูกปูจากด้านหน้าถนนเข้าไปสู่ภายในโถงอาคารโบสถ์อันวิจิตรแต่เรียบรื่นสไตล์บาโร้ค แขกเหรื่อทยอยเดินเข้ากันมายังที่นั่งด้านข้างอย่างสุภาพเรียบร้อย พร้อมเสียงจอกแจกจอแจตามประสาฝูงชน ส่วนมากก็เป็นคนใกล้ชิดของทั้งสองฝ่ายทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นญาติฝั่งพ่อเจ้าสาวก็ดี ญาติฝั่งเจ้าบ่าวก็มากันไม่น้อยหน้า เพื่อนผองสมัครพรรคพวก แม้บางคนจะไม่ได้เจอหน้าค่าตากันมานานก็มารวมกันอีกทีคราวนี้ จุดประสงค์ร่วมคือเตรียมมาชื่นชมยินดีให้กับคู่บ่าวสาวในวันนี้ จำนวนคนแม้จะไม่มากมายล้นโบสถ์แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างเป็นกันเอง
คงมีแต่เพียงความกระสับกระส่ายที่ด้านหลังพิธีการ...
"จวนจะถึงฤกษ์เปิดพิธีอยู่แล้ว ไอ้อติเรกมันยังไม่มาเลย ติดต่อมันก็ไม่ได้" ชาวชราแต่ดูภูมิฐาน หน้าตาท่าทางไม่แก่สมวัยพูดขึ้นมา
"ลูกคิดยังไงไปตกลงปลงใจกับเจ้านี่ หืม? พ่อค้านมาตั้งแต่แรกแล้ว ท่าทางมันเหลาะแหละจะตาย จะมาเลี้ยงดูลูกสาวพ่อได้ยังไง"
"แล้วดูนี่เห็นมั้ย! ส่อแววใจเสาะจะเบี้ยวงานแต่งซะแล้ว โทรไปก็ไม่ติด ไอ้เลวเอ๊ย! ถ้าเจอนะ..."
"คุณพ่อหยุดพล่ามสักทีจะได้มั้ยคะ!"
เป็นเสียงผรุสวาทที่มาจากหญิงสาวผู้ที่นั่งประจันหน้าอยู่กับกระจกโต๊ะเครื่องแป้งในชุดขาวยาวเรี่ยพื้น พร้อมผ้าคลุมหัวสีขาวลายลูกไม้ประดับอย่างละเอียดลออ ในมือกุมช่อดอกกุหลาบสีขาวสลับแดงเอาไว้อย่างมั่นเหมาะ หน้าผ่องปากแดงแต่แฝงเหลือบความกังวลอยู่ในสายตา
"แล้วก็ช่วยออกไปก่อนด้วย หนูขออยู่เงียบๆคนเดียวสีกพัก" ชายผู้เป็นพ่อเห็นแบบนั้นก็ยินดีให้เวลากับลูกสาวและก้าวออกไปจากห้อง แต่เขาจะไม่ทนแน่ถ้างานวันนี้ต้องเป็นอันล่ม มันจะต้องมีการล้างเลือด!
"ปึง"
สิ้นเสียงประตูปิด ทุกอย่างมันช่างเย็นเชียบเงียบงัน รมิตาน้ำตารื้นคลอเบ้า แต่มันจะไหลออกมาไม่ได้เพราะจะไปชะเครื่องสำอางไปเสียหมด เธอจะต้องสวยที่สุดในงานวันนี้
เธอก้มลงไปดูมือที่กุมช่อดอกกุหลาบ ดูที่นิ้วนางข้างซ้ายอันเปล่าเปลือย มันเคยถูกสวมด้วยแหวนหมั้นตั้งแต่ครั้งนั้น--เหตุการณ์ที่หาดทรายเมื่อยามเย็น-- บัดนี้มันรอการถูกสวมด้วยแหวนเพชรวงเดิมในความหมายใหม่ มันรออย่างเปล่าเปลือยเปล่าเปลี่ยว หากแต่เปี่ยมไปด้วยความหวังอยู่ลึกๆ เป็นศรัทธาของลูกผู้หญิง
รมิตาวางช่อดอกไม้ไว้ที่หน้ากระจก ก่อนที่จะผสานนิ้วโป้งจรดกับนิ้วชี้ในมือขวาให้เป็นวง แล้วนำมันมาสวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย พร้อมเอามือที่เหลือกุมเข้าไว้ด้วยกันแล้วหลุบเข้ามาทาบที่อก หน้าเชิดเงย
"เธอจะต้องมา อดิเรก ฉันเชื่อเธอ"
บาทหลวงเคาะประตูเป็นสัญญาณบอกว่าถึงฤกษ์ของพิธีการแล้ว รมิตาจึงจำต้องหยิบช่อดอกไม้แล้วเดินออกจากห้องขังเดี่ยวไป ออกไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
ทันใดนั้นก็มีเสียงรถเข้ามาเทียบที่หน้าโบสถ์.
______________________________________
สวัสดีครับ กระผมมือใหม่ไม่ค่อยถนัดเขียนเรื่องเป็นบทร้อยแก้วสักเท่าไหร่ ถ้ามีตะกุกตะกักตรงไหนก็ขออภัยและขอความกรุณาด้วยนะครับ