คุณเคยมีเพื่อนที่ทำแอมเวย์ไหม ก่อนทำกับหลังทำ เพื่อนเปลี่ยนไปบ้างไหม???
เราเจอกับตัวตอบเลยโคตรๆ เปลี่ยนยังไงเราจะสาธยายให้ฟัง
เริ่มจากเรากับเพื่อนสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด มีอะไรเราคุยกันได้ตลอด ด้วยความที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก แต่แล้วทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์เริ่มแย่ลงตั้งแต่ มีคนชวนเพื่อนทำแอมเวย์ จนถึงตอนนี้
เราก็ยังสงสัยตลอดว่า แอมเวย์พรากเพื่อนเราไป หรือจริงๆไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกจากตัวเอง
เพื่อนก็ชวนเราไปทำ ไปฟังแต่เราไม่ได้สนใจเท่าไร ไม่ได้รู้สึกว้าวกับข้อเสนอที่เขาหยิบยื่น ใครเคยไปแอมเวย์ คุณจะรู้ เขาจะมีรายได้ ความสำเร็จ ความมั่นคงที่ดีกว่าอาชีพอื่นเป็นไหนๆให้คุณ เขาจะปรับให้คุณมีเป้าหมาย มีตำแหน่งล่อตาล่อใจ ช่วยปรับบุคลิค ซึ่งตรงนี้คงเป็นข้อดีที่เรามองเห็น อย่างบางคนบุคลิคตอนแรกก็ดูเด็กๆ หรือทั่วๆไป แต่พอไปเกี่ยวข้องกับแอมเวย์ปุ๊ป คนละคนเลยอ่ะ ดูเป็นผู้ใหญ่ พูดจาน่าเชื่อถือ แต่งตัวก็ดูดี มีความเป็นนักธุรกิจ 😎😎😎 ถ้าทุกคนหยิบข้อดีมาปรับใช้ก็คงดี แต่ไม่รู้ทำไมสุดท้าย ก็กลายเป็นอีกแบบ ทำเรารู้สึกสงสาร+รำคาญ
เพราะหลังเราไม่ค่อยไปกับเพื่อนแล้ว เหมือนเขามีอีกสังคมที่ดูจะเป็นคนละสังคมกับเรา ดูห่างไกลไม่คุ้นเคย เราก็ยังมองว่าทุกองค์กรก็คงมีวิธีผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าไม่เหมือนกัน จรรยาบรรณต่างๆของแต่ละองค์กรก็คงมี ก็แล้วแต่ว่าองค์กรมีทิศทางไปทางไหน
แต่คือ เพื่อนเรากลายเป็นคนทะเยอทะยาน กระตือรือร้นในการสร้างเป้าหมายเพื่อให้สำเร็จ แล้วมันดีไหม??? มันดีนะ แต่มากเกินไป ทุกอย่างดูแย่ไปหมด
เริ่มจาก
1.การที่เริ่มเงินไม่พอใช้ เพราะแน่นอนถ้าคุณจะได้ผลตอบแทน คุณก็ต้องสร้างก่อน มันจะมีแรงจูงใจจาก%ของยอดขาย ได้เท่านี้ตำแหน่งนี้ สำเร็จขั้นนี้ ทุกอย่างเพื่อนเราใช้แอมเวย์หมด ไม่ต้องพูดถึงนะว่าของราคาแต่ละชิ้น ราคาเท่าไรบ้าง
พูดถึงความแพง เราก็ไม่อยากจะตัดสินนะว่าอะไรถูกหรือแพง ส่วนตัว ของแพงคืออะไรที่ซื้อแล้วจะทำให้เราเดือนร้อน นั่นแหละแพง ถ้าคุณเงินเดือน10,000 คุณอยากจะซื้อกระเป๋า5-6พันก็ย่อมได้ ตราบที่คุณไม่เดือดร้อน แต่นี่คือเพื่อนเราดงินเดือนออก ซื้อของแอมเวย์หมด บอกของมันต้องมี เราก็ไม่เป็นคนไม่ห้ามอยู่แล้วนะ สิทธิ์ของคน อยากทำไรก็ทำไป แล้วเป็นไง เงินไม่พอใช้ไง ต้องหยิบยืม แรกๆก็ไม่เยอะ ยืมนิดๆหน่อยๆ ระยะก็ไม่นานนะ สมมติยืมวันจันทร์ วันศุกร์คืนละ คือเพื่อนกันอ่ะนะ ก็ช่วยกัน แต่หลังๆก็บ่อยขึ้น และไม่ยืมเราคนเดียวด้วย แทบจะทุกคนในออฟฟิศก็ว่าได้ เราพยายามเตือน แต่ไม่เป็นผล วัยรุ่นกำลังสร้างตัว อย่าไปขวางงี้
2.เริ่มโกหก พอคนเตือนมากๆ ก็ต้องมีเหตุผลเพื่อมายืมเงินนู่นนี่นั่น เพราะถ้าบอกซื้อแอมเวย์ คนก็จะด่าและไม่ให้ไง ก็ต้องอ้างนู่นอ้างนี่ แต่สุดท้ายทุกคนก็รู้อยู่ดีแหละ 😒
3.หนักข้อเข้าเริ่มมาชวนแม่เราให้ซื้อผลิตภัณฑ์ โดยที่เราไม่รู้ แม่ก็ช่วยซื้อแล้วไม่บอกเราด้วยนะ แต่คือของมันก็เห็นๆ ถามไปถามมาก็บอกว่าช่วย สงสาร แต่คือซื้อมาก็ไม่ใช้ไง เราก็ไปเคลียร์ ก็ออกๆแนวจะทะเลาะกันแหละ เรายื่นคำขาดห้ามเราไรมาเสนอขายแม่เราอีก ถ้าอยากซื้อเดี๋ยวบอกเอง
4.เข้าทางแม่ไม่ได้ ก็เข้าทางแฟนเรา แต่ไม่ได้มาขายนะ มายืมเงิน เพราะหลังๆเราไม่ให้ละ เดือดร้อนเราช่วย แต่แบบนี้ไม่ใช่ละ ยิ่งช่วยเท่ากับทำร้ายทางอ้อม แฟนเราก็เช่นกัน นี่ก็ไม่บอก แต่เราดันรู้เองเพราะอีเมลล์การโอนเงินมันเด้งมาอีกเครื่องที่เราผูกเมลล์แฟนไว้ นี่เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเพื่อนพูดยังไง ทุกคนที่ช่วย คำตอบเหมือนกันหมด สงสาร
จริงๆมันมีร่ยละเอียดอีกเยอะ แต่ไม่อยากลงลึกมากกว่านี้ละ ถ้าผ่านมาเห็น ก็พูดผ่านพื้นที่นี้ละกัน เวลามันเป็นตัวหนังสือ อาจทำให้เราได้อ่านแล้วทบทวนตัวเองอีกครั้ง หรือบางทีลืมๆก็กลับมาอ่านได้
ถ้ายังเป็นแบบนี้เราก็คงทำไรไม่ได้นอกจากปล่อยไป มีคนสอนเราว่า
แค่ลำพังชีวิตตัวเองก็วุ่นวายมากพอแล้ว เราต้องเห็นแก่ตัวไม่สนใจเรื่องคนอื่นบ้าง ให้เขาแก้ไขปัญหาของเขาไป เราก็เลยเงียบไปละ และยุติการให้ความช่วยเหลือใดใดทั้งสิ้น
คนเราคงไม่เปลี่ยนแปลงเพราะคำพูดคนอื่น นอกจากจะคิดได้เองหรอก จริงไหม?
สุดท้ายนี้ถ้าผ่านมาเห็น ก็อยากจะบอกว่า ถ้าประสบความสำเร็จเมื่อไรก็ยินดีด้วยนะ แต่ต้องชั่งน้ำหนักด้วยนะว่าดีหรือเลวมากกว่ากัน
แอมเวย์ทำให้เพื่อนไม่คบ หรือจริงๆแล้วไม่ใช่แอมเวย์ แต่เพราะตัวเองต่างหาก🙄🙄
เราเจอกับตัวตอบเลยโคตรๆ เปลี่ยนยังไงเราจะสาธยายให้ฟัง
เริ่มจากเรากับเพื่อนสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด มีอะไรเราคุยกันได้ตลอด ด้วยความที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก แต่แล้วทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์เริ่มแย่ลงตั้งแต่ มีคนชวนเพื่อนทำแอมเวย์ จนถึงตอนนี้
เราก็ยังสงสัยตลอดว่า แอมเวย์พรากเพื่อนเราไป หรือจริงๆไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกจากตัวเอง
เพื่อนก็ชวนเราไปทำ ไปฟังแต่เราไม่ได้สนใจเท่าไร ไม่ได้รู้สึกว้าวกับข้อเสนอที่เขาหยิบยื่น ใครเคยไปแอมเวย์ คุณจะรู้ เขาจะมีรายได้ ความสำเร็จ ความมั่นคงที่ดีกว่าอาชีพอื่นเป็นไหนๆให้คุณ เขาจะปรับให้คุณมีเป้าหมาย มีตำแหน่งล่อตาล่อใจ ช่วยปรับบุคลิค ซึ่งตรงนี้คงเป็นข้อดีที่เรามองเห็น อย่างบางคนบุคลิคตอนแรกก็ดูเด็กๆ หรือทั่วๆไป แต่พอไปเกี่ยวข้องกับแอมเวย์ปุ๊ป คนละคนเลยอ่ะ ดูเป็นผู้ใหญ่ พูดจาน่าเชื่อถือ แต่งตัวก็ดูดี มีความเป็นนักธุรกิจ 😎😎😎 ถ้าทุกคนหยิบข้อดีมาปรับใช้ก็คงดี แต่ไม่รู้ทำไมสุดท้าย ก็กลายเป็นอีกแบบ ทำเรารู้สึกสงสาร+รำคาญ
เพราะหลังเราไม่ค่อยไปกับเพื่อนแล้ว เหมือนเขามีอีกสังคมที่ดูจะเป็นคนละสังคมกับเรา ดูห่างไกลไม่คุ้นเคย เราก็ยังมองว่าทุกองค์กรก็คงมีวิธีผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าไม่เหมือนกัน จรรยาบรรณต่างๆของแต่ละองค์กรก็คงมี ก็แล้วแต่ว่าองค์กรมีทิศทางไปทางไหน
แต่คือ เพื่อนเรากลายเป็นคนทะเยอทะยาน กระตือรือร้นในการสร้างเป้าหมายเพื่อให้สำเร็จ แล้วมันดีไหม??? มันดีนะ แต่มากเกินไป ทุกอย่างดูแย่ไปหมด
เริ่มจาก
1.การที่เริ่มเงินไม่พอใช้ เพราะแน่นอนถ้าคุณจะได้ผลตอบแทน คุณก็ต้องสร้างก่อน มันจะมีแรงจูงใจจาก%ของยอดขาย ได้เท่านี้ตำแหน่งนี้ สำเร็จขั้นนี้ ทุกอย่างเพื่อนเราใช้แอมเวย์หมด ไม่ต้องพูดถึงนะว่าของราคาแต่ละชิ้น ราคาเท่าไรบ้าง
พูดถึงความแพง เราก็ไม่อยากจะตัดสินนะว่าอะไรถูกหรือแพง ส่วนตัว ของแพงคืออะไรที่ซื้อแล้วจะทำให้เราเดือนร้อน นั่นแหละแพง ถ้าคุณเงินเดือน10,000 คุณอยากจะซื้อกระเป๋า5-6พันก็ย่อมได้ ตราบที่คุณไม่เดือดร้อน แต่นี่คือเพื่อนเราดงินเดือนออก ซื้อของแอมเวย์หมด บอกของมันต้องมี เราก็ไม่เป็นคนไม่ห้ามอยู่แล้วนะ สิทธิ์ของคน อยากทำไรก็ทำไป แล้วเป็นไง เงินไม่พอใช้ไง ต้องหยิบยืม แรกๆก็ไม่เยอะ ยืมนิดๆหน่อยๆ ระยะก็ไม่นานนะ สมมติยืมวันจันทร์ วันศุกร์คืนละ คือเพื่อนกันอ่ะนะ ก็ช่วยกัน แต่หลังๆก็บ่อยขึ้น และไม่ยืมเราคนเดียวด้วย แทบจะทุกคนในออฟฟิศก็ว่าได้ เราพยายามเตือน แต่ไม่เป็นผล วัยรุ่นกำลังสร้างตัว อย่าไปขวางงี้
2.เริ่มโกหก พอคนเตือนมากๆ ก็ต้องมีเหตุผลเพื่อมายืมเงินนู่นนี่นั่น เพราะถ้าบอกซื้อแอมเวย์ คนก็จะด่าและไม่ให้ไง ก็ต้องอ้างนู่นอ้างนี่ แต่สุดท้ายทุกคนก็รู้อยู่ดีแหละ 😒
3.หนักข้อเข้าเริ่มมาชวนแม่เราให้ซื้อผลิตภัณฑ์ โดยที่เราไม่รู้ แม่ก็ช่วยซื้อแล้วไม่บอกเราด้วยนะ แต่คือของมันก็เห็นๆ ถามไปถามมาก็บอกว่าช่วย สงสาร แต่คือซื้อมาก็ไม่ใช้ไง เราก็ไปเคลียร์ ก็ออกๆแนวจะทะเลาะกันแหละ เรายื่นคำขาดห้ามเราไรมาเสนอขายแม่เราอีก ถ้าอยากซื้อเดี๋ยวบอกเอง
4.เข้าทางแม่ไม่ได้ ก็เข้าทางแฟนเรา แต่ไม่ได้มาขายนะ มายืมเงิน เพราะหลังๆเราไม่ให้ละ เดือดร้อนเราช่วย แต่แบบนี้ไม่ใช่ละ ยิ่งช่วยเท่ากับทำร้ายทางอ้อม แฟนเราก็เช่นกัน นี่ก็ไม่บอก แต่เราดันรู้เองเพราะอีเมลล์การโอนเงินมันเด้งมาอีกเครื่องที่เราผูกเมลล์แฟนไว้ นี่เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเพื่อนพูดยังไง ทุกคนที่ช่วย คำตอบเหมือนกันหมด สงสาร
จริงๆมันมีร่ยละเอียดอีกเยอะ แต่ไม่อยากลงลึกมากกว่านี้ละ ถ้าผ่านมาเห็น ก็พูดผ่านพื้นที่นี้ละกัน เวลามันเป็นตัวหนังสือ อาจทำให้เราได้อ่านแล้วทบทวนตัวเองอีกครั้ง หรือบางทีลืมๆก็กลับมาอ่านได้
ถ้ายังเป็นแบบนี้เราก็คงทำไรไม่ได้นอกจากปล่อยไป มีคนสอนเราว่า
แค่ลำพังชีวิตตัวเองก็วุ่นวายมากพอแล้ว เราต้องเห็นแก่ตัวไม่สนใจเรื่องคนอื่นบ้าง ให้เขาแก้ไขปัญหาของเขาไป เราก็เลยเงียบไปละ และยุติการให้ความช่วยเหลือใดใดทั้งสิ้น
คนเราคงไม่เปลี่ยนแปลงเพราะคำพูดคนอื่น นอกจากจะคิดได้เองหรอก จริงไหม?
สุดท้ายนี้ถ้าผ่านมาเห็น ก็อยากจะบอกว่า ถ้าประสบความสำเร็จเมื่อไรก็ยินดีด้วยนะ แต่ต้องชั่งน้ำหนักด้วยนะว่าดีหรือเลวมากกว่ากัน