รีวิว การขอวีซ่าเยี่ยมเยียนเชงเก้นเยอรมัน 2018 ฉบับทำเอง !

รีวิวการขอวีซ่าเยี่ยมเยียนเชงเก้น ณ สถานทูตเยอรมัน (กรุงเทพ)

สวัสดีครับ เจ้าของกระทู้ ได้มีโอกาสไปยื่นขอวีซ่าครั้งที่ 2 รอบแรก เคยไปยื่นวีซ่าเยี่ยมเยียนที่ สวิส แต่ไม่ผ่านนะครับ เมื่อปี 2016
ดังนั้นวันนี้จะมารีวิวว่าทำยังไง ให้มีโอกาสผ่านวีซ่าที่สูงขึ้น

อันดับแรกเราต้องทำการจองคิวเพื่อขอวีซ่า โดยสถานทูตเยอรมัน จะไม่มีตัวแทนในการดำเนินเรื่อง ดังนั้นเราต้องทำการจองผ่านระบบของสถานทูต

https://service2.diplo.de/rktermin/extern/choose_realmList.do?locationCode=bangk&request_locale=en

โดยเราสามารถจองคิวล่วงหน้าได้ถึง 2 เดือนเลย นานมาก แต่การยื่นขอวีซ่าต้องยื่นก่อนล่วงหน้า 3 เดือนก่อนการเดือนทาง ดังนั้นเรามีเวลาเยอะมาก ที่จะจัดเตรียมเอกสารให้พร้อม โดยในระบบจะมีเวลาให้เลือก ตั้ง 7.30 เป็นต้นไป แต่ในแต่ล่ะวัน ตารางจะไม่เหมือนกัน
แนะนำให้จองวันจันทร์ จะได้รับเล่ม วันพฤหัสบดี ช่วงบ่ายโมง เพราะ สถานทูตจะนัดรับเล่มแค่วันอังคาร และพฤหัสบดี

ต่อมาเมื่อเราทำการนัดเรียบร้อยจะมี อีเมล์ส่งมาเพื่อทำการยืนยันการนัดหมาย เราต้องการปริ้นหน้าอีเมล์ เพื่อนำไปวันที่ทำการนัดให้เจ้าหน้าที่นะครับ

การเตรียมเอกสารเพื่อขอวีซ่าเยี่ยมเยียน แบ่งเป็น 2 ส่วน
1. ส่วนของผู้เชิญ ผู้เชิญต้องทำการขอใบรับรองจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อออกใบรับรองให้ (การขอใบรับรองแต่ล่ะประเทศในเซงเก้นไม่เหมือนกันนะครับ เช่นบางประเทศออกโดย สถานีตำรวจ หรือ เทศบาล) ซึ่งทางผู้เชิญต้องทำการนัดหมายเพื่อทำเอกสาร ดังนั้นควรเพื่อเวลาในการขอเอกสารนะครับ เพราะต้องคำนึงถึงส่งใบจริงมาให้ที่ไทย ด้วย

เอกสารที่ผู้เชิญต้องเตรียม
1.    Passport ของผู้เชิญ (สามารถถ่ายรูป แล้วส่งมาได้ แต่มีข้อแม้ คือต้องถ่ายให้เห็นชัดเจนนะครับ *ผมเคยอีเมล์ไปถามเจ้าหน้าที่มาแล้วครับ)
2.    หน้าวีซ่าที่เคยเข้าออกในประเทศไทย ทั้งหมด
3.    Verpflichtungserklärung ตัวจริง คือ ใบรับรองการเชิญ พร้อมสำเนา เราต้องนำใบจริงไปแสดงหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จะปั้มตรา เพื่อรับรองว่าสำเนาที่เราถ่ายมามีอยู่จริง ใบรับรองการดูแลและออกค่าใช้จ่ายในประเทศเยอรมัน ออกโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
4.    หนังสือเชิญ (ภาษาเยอรมัน หรือ อังกฤษ แนะนำเป็นเยอรมันดีกว่าครับ) ที่ต้องระบุเหตุผลว่าทำไมถึงไปประเทศเยอรมันในครั้งนี้ และต้องแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชิญ และผู้ที่ถูกเชิญ แจ้งในหนังสือด้วยนะครับ และต้องให้ผู้เชิญระบุว่าจะรับรองค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการเดินทางครั้งนี้ มีผลต่อเอกสารที่เราจะแนบไปเป็นหลักฐานด้วยนะครับ

2. ในส่วนต่อมาเราต้องทำการเตรียมเอกสารของตัวเราเองด้วย ถึงแม้ว่าจะมีผู้เชิญ เพราะเราต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเราจะเดินทางกลับไทย แน่นอน หลังจากที่วีซ่าเซงเก้นหมดลง ตามกำหนดการ

เอกสารที่ผู้ถูกเชิญต้องเตรียม
1.    Passport ของตัวเราเอง
               - มีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า
               - เป็นหนังสือเดินทางที่ออกมานานไม่เกิน 10 ปี
               - ยังมีอายุใช้ได้อย่างน้อยอีก 3 เดือน นับจากวันเดินทางออกนอกประเทศสมาชิกเชงเกน
2.     ข้อมูล Videx ที่เราปริ้นมา แนะนำต้องปริ้นแบบเลเซอร์ เพื่อความละเอียดนะครับ จนท ต้องใช้เพื่อสแกนข้อมูล ครับ ไม่อย่างนั้นเราจะเสียเวลาปริ้นใหม่
        https://videx.diplo.de/videx/desktop/index.html
        เราสามารถเลือกเป็น ภาษาไทยได้นะครับ ดังนั้นไม่ต้องกลัว หาข้อมูลตาม Youtube ได้นะครับ ผมกรอกเอกสารเองเหมือนกัน เราสามารถบันทึกไว้ แล้วนำมา แก้ไข หรือปริ้นใหม่ภายหลังได้นะครับ
3.     ลงนามรับทราบข้อกาหนดตามกฎหมายการพำนักในเยอรมนีมาตรา 54 วรรค 2  ข้อ 8  และมาตรา 53 พร้อมเซ็นเอกสารนะครับ
       https://bangkok.diplo.de/blob/1387164/7ce507409f7ed68f525b82476daa376a/schengen-belehrung-data.pdf
4.    รูปถ่าย สามารถถ่ายเองได้ตามร้านถ่ายรูป ให้เเจ้งเขาไปเลยว่าเรามาถ่ายเพื่อทำวีซ่าเยอรมัน ครับ  
5.    จดหมายที่เขียนแนะนำตัวเอง (ภาษาอังกฤษ)
6.    ใบรับรองการทำงาน + การลา
* ในกรณีนี้ ผมทำงานกับบบริษัทที่ไม่ใหญ่มาก ดังนั้นผมจึงเตรียมเอกสารเพิ่มเติม เพื่อแสดงให้เห็นว่างบริษัทนี้มีอยู่จริง เอกสารตามนี้พอนะครับ         
              - หนังสือรับรองบริษัท (ภาษาไทย)
              - หนังสือจดทะเบียนบริษัท (ภาษาไทย)
* เราสามารถไปทำการขอได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งเรานำเลขเสียภาษีไปขอเองได้เลยครับ ไม่ต้องมีการมอบอำนาจ
7.    ใบสลิปเงินเดือนล่าสุด 1 เดือน
8.    ใบ Statement ย้อนหลัง 3 - 6 เดือน (ภาษาอังกฤษ) ตัวจริงยื่นได้เลยครับ
9.    แบงค์การันตี (แตกต่างจาก Statement นะครับ เพราะทางแบงค์จะรับรองเป็นเงินยูโรว่าเรามีเท่าไหร่ จะเป็นแผ่นเดียว) ใช้ตัวจริงเหมือนกัน
10.    สำเนาทะเบียนบ้าน (ภาษาไทย)
11.    สำเนาบัตรประชาชน
12.    สำเนาใบเกิด (ภาษาไทย)
13.    หลักฐานการพูดคุยระหว่างผู้เชิญกับผู้ถูกเชิญ *เอกสารนี้สำคัญมาก เราต้องแสดงให้เห็นว่าเราได้มีการติดต่อและรู้จักกันจริงๆ สามารถ screen shot ได้ ไม่ว่าจะเป็น ทาง Line, Facebook หรือ Whatsapp เราเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เอามาบางส่วนได้ครับไม่ต้องทั้งหมด ผมแนะนำให้เลือกเป็นช่วงๆ ในแต่ละเดือนที่พูดคุยกัน จะได้แสดงให้เห็นว่าเรามีการติดต่อกันตลอด
14.    รูปถ่ายที่เคยถ่ายด้วยกัน ผมมีเยอะมาก ปริ้นไป ประมาณ 51 ใบ และแปะลงกระดาษ A4 ไปปริ้นตามร้านรูป ถูกมาก 2.5 - 3 บาท เองครับ
15.    ประกันการเดินทาง ขึ้นอยู่กับ วันที่เราเดินทางแนะนำให้นับตั้งแต่วันที่เราออกจากไทยและถึงไทย นะครับ ไม่ใช่วันที่เราอยู่ในประเทศเซงเก้นนะครับ
        -  บริษัทประกันต้องเลือกตามที่สถานทูต รับรอง นะครับ ราคาจะแตกต่างไปตามวันที่เราอยู่
           https://bangkok.diplo.de/blob/1378882/37d42721a0814180c86076a8ca64f267/krankenversicherung-data.pdf
เลือกแผนที่มีวงเงินคุ้มครอง 1,500,000 ขึ้นไปนะครับ *สำคัญมากๆ
16.    ใบเสร็จต่างๆ ถ้าเราแค่ไปเที่ยวกับผู้เชิญ เช่นพวกตั่วเครื่องบิน ดังนั้นถ้าเรารู้แน่ๆ ว่าเราต้องไปหาเขา ควรไปขอใบเสร็จจากสายการบินเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานนะครับ จะได้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
17.   กยศ ผมได้เข้าไปในระบบ ทำการปริ้นหน้าที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ของเรา เพราะผมชี้แจ้งในจดหมายว่าเรามีภาระในส่วนนี้ ที่จะต้องกลับไทยเพื่อทำการชำระหนี้ต่อไป
18.   โฉนดที่ดิน ถ้าหากใครมีนะครับสามารถนำไปได้ และต้องนำใบจริงไปแสดงด้วยนะครับ พร้อมสำเนา ในกรณีนี้ผมไม่ได้ยื่นให้ดูนะครับ

ผมเองอาจจะเตรียมเอกสารเยอะหน่อย เพราะเราจะได้มั่นใจในการขอวีซ่าครั้งนี้เราต้องผ่าน

*การจัดเรียงเอกสาร สำคัญมากนะครับ เพื่อที่ จนท จะได้ทำงานได้ง่ายขึ้น สามารถเตรียมได้ดังนั้น
1. สำเนาหนังสือเดินทาง
2. แบบฟอร์มคำร้องในการขอวีซ่า หรือ Videx นั่นเอง ปริ้นมาแล้วต้องแปะรูป พร้อมทั้งเซ็นเอกสารให้เรียบร้อยทุกหน้านะครับ
3. หนังสือจากผู้เชิญ ฉบับจริง และแนบสำเนา หลังจากนั้นก็แนบเอกสารผู้เชิญ ต่างๆ ที่เราเตรียมได้หลังใบสำเนานะครับ
4. หลักฐานอื่นๆนะครับ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน  ใบรับรองการเป็นลูกจ้าง ใบลา ใบรับรองเงินเดือน หลักฐานทางการเงิน หลักฐานแสดงความสัมพันธ์ต่างๆระหว่างผู้เชิญ และผู้ถูกเชิญ
5. ปิดท้ายด้วย ประกันการเดินทาง

เอกสารไม่จำเป็นต้องเซ็นรับรองทุกหน้านะครับ ผมเองไม่ได้เซ็นรับรองใดๆ และสามารถใช้เอกสารราชการเป็นภาษาไทยได้นะครับ เช่น หนังสือรับรองบริษัท ไม่จำเป็นต้องจ้างแปล นะครับ  

หลังจากที่เราเตรียมเอกสารต่างๆ ครบถ้วนนะครับ ควรทำสำเนาไว้ 1 ชุด เพราะทางสถานทูตจะไม่มีการคืนเอกสารกลับมา ไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ตาม

วันนัดสัมภาษณ์เพื่อขอวีซ่า
ผมได้ทำการนัดในวันจันทร์ เวลา 10.30 เราไปถึงประมาณ 10 โมง ทันนะครับ เพราะเจ้าหน้าที่จะให้เข้าตามเวลาที่เรานัด
ด่านแรกที่เราต้องเจอ คือ รปภ เขาจะขอดูหน้าอีเมล์ที่เราทำการนัด พร้อมทั้งปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วฝากกระเป๋าไว้ด้านหน้า แล้วค่อยมารับคืนภายหลัง หลังจากหนังทำการสแกนตัว เพื่อความปลอดภัย และฝากโทรศัพท์

-บรรยากาศภายใน จะมีผู้คนมากมาย ที่มาทำการขอวีซ่าต่างๆนะครับ ถ้าหากใครลืมถ่ายเอกสาร สามารถถ่ายด้านในได้ หรือ ถ่ายรูป และการกรอกข้อมูล Videx จะมี จนท ดูแลอยู่ครับไม่ต้องกลัว
-ถึงเวลานัดเราต้องทำการต่อคิว จะมี จนท ด้านหน้าก่อนเข้าประตูทำการตรวจเอกสารและเวลานัด เราต้องโชว์ใบเชิญตัวจริงให้เขาดูก่อน และแจ้งนามสกุล และเลขที่ passport เราจะได้ใบเล็กๆมากเพื่อเซ็นและแปะหน้าเอกสารอีก 1  แผ่น
-เราต้องทำการกดบัตรคิว จะอยู่ตรงประตูทางเข้าเลยครับ เขาจะแยกประเภทวีซ่าที่ขอ ซึ่งท่องเที่ยวและเยี่ยมเยียนจะอยู่ช่องเดียวคือ ช่อง  6-10 หลังจากนั้นนั้นนั้งรอเรียกคิวครับ

การสัมภาษณ์
เมื่อถึงคิว เราจะเข้าพบ จนท เพื่อทำการตรวจเอกสารและสัมภาษณ์
-เราต้องทำการยื่นเอกสารทั้งหมดลงในช่องด้านหน้า จนท จะทำการตรวจสอบ ใบรับรองตัวจริง จนท จะส่งคืนให้นะครับ เพราะเราต้องนำไปโชว์ ที่ ตม ที่สนามบิน พร้อมทั้งใบประกันสุขภาพ *ควรเรียงเอกสารตามคำแนะนำ สำคัญมาก เพราะ จนท จะดุเราได้ หากเรียงไม่เรียบร้อย ทำให้เกินความล่าช้านะครับ

คำถาม
-  เดินทางกี่วัน ?
-  รู้จักกับผู้เชิญได้อย่างไร ?
-  เจอกันผ่านช่องทางไหน ?
-  ติดต่อกันอย่างไร ?
-  ตัวเราเองทำอาชีพอะไร ?
-  อธิบายบริษัททำเกี่ยวกับอะไร และตำแหน่งของเรา ?
-  ทำไมลางานได้มาก ?
-  รับเงินเดือนทุกวันที่เท่าไหร่ ?
-  ผู้เชิญชื่ออะไร ?
-  ติดต่อกันอาทิตย์และกี่ครั้ง ?
-  เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ?
คำถามไม่ตายตัวนะครับ จะขึ้นอยู่กับบทสนทนานั้นๆ จนท จะถามเพื่อเก็บเป็นข้อมูล ใช้ในการพิจารณาของเรา ดังนั้นตอบไปด้วยความมั่นใจและตามความเป็นจริงนะครับ ห้ามโกหก !!

แนะนำให้ตอบตามความเป็นจริงทั้งหมดนะครับ เพราะ จนท เขาจะสรุปข้อมูลทั้งหมดเพื่อส่งให้คนที่มีอำนาจในการพิจารณา เขาจะตรวจตามเอกสารที่เราแนบไปด้วย
หลังจากเสร็จตรงนี้ จนท จะให้ใบนัดรับเล่ม ใบเล็กๆ ให้มานำไปจ่ายเงินครับ ค่าบริการอยู่ที่ 2,300 บาท เตรียมเงินพอดีนะครับ เราจะได้รับใบเสร็จมา 2 ใบ ซึ่งเราเก็บไว้เอง 1 ใบ และนำมารับเล่ม  อีก 1 ใบ *ถ้าหากใครไม่สะดวกมารับเล่ม สามารถให้จัดส่งผ่านไปรษณีย์ ได้นะครับ

****เสร็จสิ้น ภารกิจแล้วนะครับ ผมไปรับเล่มมาแล้ว หลังจากขอเพียง 3 วันทำการ ก็ได้วีซ่ามาพอดี สถานทูตใจดีให้เพิ่มอีก 1 วัน ทั้งหมดเป็น 25 วัน ตรวจสอบความถูกต้องตอนรับเล่มด้วยนะครับ รายละเอียดจะแจ้งชัดเจน เขาอาจให้วันเดินทางได้มานาน เกินวันที่เราขอ แต่เราสามารถอยู่ภายใน Duration of Stay นะครับ เช่น สถานทูตอาจให้วันเดินทางที่ 1 มค 62 - 14 กพ 62 แต่สามารถอยู่ได้เพียง 14 วัน ดังนั้นเราสามารถเดินทางได้ในช่วงนั้น แต่อยู่ได้ไม่เกิน 14 วันครับ

อยากบอกคนที่จะไปยื่นว่าให้มีความมั่นใจนะครับ ถ้าเรามีการเตรียมเอกสารที่พร้อม และตอบคำถามตามความเป็นจริง โอกาสที่เราจะได้วีซ่ามาไม่ยากครับ ตัวผมเองเคยถูกปฎิเสธ วีซ่าเซงเก้นมาก่อน และไม่คยเดินทางในโซนอเมริกา หรือ อังกฤษมาก่อน ส่วนใหญ่จะเดินทางรอบๆอาเซียน แต่ถ้าหากวีซ่าไม่ผ่านก็สามารถยื่นอุทรณ์ได้ ถ้าหากเราเห็นว่าเอกสารที่เราเตรียมไปเพียงพอแล้วและไม่เห็นด้วยคำตัดสิน ซึ่งเราต้องเขียนเหตุผลเพิ่มเติม ว่าทำไมการเดินทางครั้งนี้จึงสำคัญต่อเรา สามารถยื่นได้ภายใน 1 เดือน หลังจากเรารับเล่มครับ

-ขอให้ทุกคนโชคดีนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่