วันนี้มีคนมาเล่าให้ผมฟังว่า มีลูกค้าธนาคารอยู่คนนึง เซ็นใบคำสั่งซื้อขายกองทุนทิ้งไว้ให้พนักงานแบงค์
แล้วให้พนักงานแบงค์ตัดสินใจซื้อขายกองทุนให้ จะด้วยความที่ไว้ใจกัน หรือเพราะเหตุใดผมก็ไม่ทราบได้
แต่สิ่งที่ลูกค้าอาจจะไม่ทราบก็คือ พนักงานแบงค์ได้เป้าจากการที่ลูกค้าซื้อกองทุนครับ
เป้าการขายกองทุนนี้ มักจะนำไปคำนวนเป็นผลการทำงานของพนักงานและนำไปคำนวนโบนัสประจำปี
หมายความว่า ลูกค้าซื้อกองทุนครั้งแรก ลูกค้าโดนค่าแรกเข้า หรือค่าธรรมเนียมการขาย (Entry Fee) พนักงานแบงค์ได้เป้า (เอาไปคิดโบนัสสิ้นปี)
เมื่อเวลาผ่านไปพนักงานแบงค์ตัดสินใจขายกอง โดยให้เหตุผลว่า switch ไปกองทุนอื่น ที่มีแนวโน้มดีกว่า
ลูกค้าโดนค่าออก Exit Fee หรือค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน
(ค่าธรรมเนียมตัวนี้ บางบลจ.หรือบางกองทุนอาจไม่เก็บครับ)
พนักงานนำเงินก้อนเดิมที่ขายกองทุนแรก ไปซื้อกองทุนที่สอง
ลูกค้าโดนค่าแรกเข้าของกองทุนที่ซื้อใหม่นี่ และพนักงานแบงค์ได้เป้าอีกจากวงเงินเดิม (เอาไปคิดโบนัสสิ้นปี)
KPI แบบนี้จะทำให้พนักงานแบงค์มีแรงจูงใจที่จะแนะนำให้ซื้อ/ขายกองทุนบ่อยเกินความจำเป็น
ผลดีต่อบริษัทจัดการกองทุน และธนาคาร(ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจัดการกองทุน) คือการได้รับค่า Entry Fee และค่า Exit Fee ทุกครั้งที่มีการซื้อ/ขายกองทุน ซึ่งถ้ามีการซื้อ/ขายบ่อยๆ ย่อมมากกว่า Management Fee ที่คิดรายปี
ในเคสตัวอย่างนี้ผมอดสงสัยไม่ได้ถึงความรับผิดชอบของพนักงานแบงค์ที่มีต่อลูกค้าตัวเอง และผมหวังว่าเคสแบบนี้จะเป็นเคสจำนวนน้อยมากๆที่มีอยู่ในแวดวงการลงทุน
และขอเถอะครับ หยุดให้พนักงานแบงค์ที่ท่านสนิทไว้ใจตัดสินใจในเรื่องการลงทุนแทนตัวท่านเองเถอะครับ
การให้พนักงานแบงค์ซื้อขายกองทุนแทนตัวเอง
แล้วให้พนักงานแบงค์ตัดสินใจซื้อขายกองทุนให้ จะด้วยความที่ไว้ใจกัน หรือเพราะเหตุใดผมก็ไม่ทราบได้
แต่สิ่งที่ลูกค้าอาจจะไม่ทราบก็คือ พนักงานแบงค์ได้เป้าจากการที่ลูกค้าซื้อกองทุนครับ
เป้าการขายกองทุนนี้ มักจะนำไปคำนวนเป็นผลการทำงานของพนักงานและนำไปคำนวนโบนัสประจำปี
หมายความว่า ลูกค้าซื้อกองทุนครั้งแรก ลูกค้าโดนค่าแรกเข้า หรือค่าธรรมเนียมการขาย (Entry Fee) พนักงานแบงค์ได้เป้า (เอาไปคิดโบนัสสิ้นปี)
เมื่อเวลาผ่านไปพนักงานแบงค์ตัดสินใจขายกอง โดยให้เหตุผลว่า switch ไปกองทุนอื่น ที่มีแนวโน้มดีกว่า
ลูกค้าโดนค่าออก Exit Fee หรือค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน
(ค่าธรรมเนียมตัวนี้ บางบลจ.หรือบางกองทุนอาจไม่เก็บครับ)
พนักงานนำเงินก้อนเดิมที่ขายกองทุนแรก ไปซื้อกองทุนที่สอง
ลูกค้าโดนค่าแรกเข้าของกองทุนที่ซื้อใหม่นี่ และพนักงานแบงค์ได้เป้าอีกจากวงเงินเดิม (เอาไปคิดโบนัสสิ้นปี)
KPI แบบนี้จะทำให้พนักงานแบงค์มีแรงจูงใจที่จะแนะนำให้ซื้อ/ขายกองทุนบ่อยเกินความจำเป็น
ผลดีต่อบริษัทจัดการกองทุน และธนาคาร(ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจัดการกองทุน) คือการได้รับค่า Entry Fee และค่า Exit Fee ทุกครั้งที่มีการซื้อ/ขายกองทุน ซึ่งถ้ามีการซื้อ/ขายบ่อยๆ ย่อมมากกว่า Management Fee ที่คิดรายปี
ในเคสตัวอย่างนี้ผมอดสงสัยไม่ได้ถึงความรับผิดชอบของพนักงานแบงค์ที่มีต่อลูกค้าตัวเอง และผมหวังว่าเคสแบบนี้จะเป็นเคสจำนวนน้อยมากๆที่มีอยู่ในแวดวงการลงทุน
และขอเถอะครับ หยุดให้พนักงานแบงค์ที่ท่านสนิทไว้ใจตัดสินใจในเรื่องการลงทุนแทนตัวท่านเองเถอะครับ