จัดพิธีแต่งานเพื่ออะไร ?

คิดอย่างไรกับเรื่องแต่งงานกันบ้าง
คำถามในที่นี้คือ "เพื่ออะไร" ?

คิดอย่างไรกันบ้าง!!

1.เพื่อป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้ ว่ามีสามี-ภรรยาแล้ว

2.เพื่อเอาใจพ่อแม่,ญาติ เป็นหน้าเป็นตาแก่ท่าน

3.เพื่อให้รู้สึกดี จะได้มีเพื่อนฝูงมาร่วมงาน มีสักขีพยานมาร่วมมากมาย

4.พ่อแม่ฝ่ายหญิงอยากได้สินสอนแพงๆ โชว์ชาวบ้าน

5.เพื่อยึดมั่น ถือหลักประเพณี

แต่งงานเพื่อเอาใจพ่อแม่ -->> กลายเป็น
พ่อแม่เอาใจชาวบ้าน อยากให้คนมาร่วมงานเยอะๆ
?..............?

บางคน ถึงกับต้องไปยืมเงินสด มาเป็นสินสอดโชว์ แต่งเสร็จก็เอาคืนเขาไป!!!

เหตุผลมีมากมาย นอกเหนือจากนี้อาจจะมี

สำหรับผม มาลองคิดดูแล้ว
ว่าเพื่ออะไร ?

จากเหตุผลข้างบน ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย
หากจะแต่งงาน

ก็ต้องมาทบทวน ว่าถ้าแต่งไปแล้ว
ได้มากกว่าเสีย หรือ เสียมากกว่าได้

พ่อแม่ฝ่ายหญิงบางคน อ้างว่าต้องส่งลูกเรียนจนจบนู้น  จบนี่  บอกอีก ว่า...เลี้ยงดูมาอย่างดี
จะสื่อให้เห็นว่า ค่าใช้จ่ายแพง กว่าลูกฉันจะได้ถึงขนาดนี้

สำหรับผม: เรื่องสินสอดอันนั้นไม่ซีเรียส ตัดออกไป
เพราะหากอยากได้เงิน เขียนเช็คให้ก็ได้ ทำไมต้องจัดงานแต่ง อยู่กันไป ญาติ,คนในหมู่บ้าน คนที่รู้จักเราเดี๋ยวเขาก็รู้เอง ทำไมต้องอยากให้คนอื่นรู้ !!??

เพราะจัดงานแต่ง ไม่ใช่ใช้เงินแค่ 500-600 บาท มันใช้เงินเยอะมาก เอาเงินที่จะจัดงานแต่งไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม เช่น เอาไปลงทุนธุรกิจ,ซื้ออะไรสักอย่างเพื่อครอบครัว

เช่น..บางคน แต่งงานเสร็จ อยากได้รถแต่ไม่มีเงินไปดาวน์รถ แทนที่จะเอาเงินที่ไปจัดงานแต่งนั้นมาเป็นเงินซื้อรถ กลับต้องมาเก็บเงินใหม่!!!

สรุปแล้ว...
พิธีแต่งงาน ทำไปเพื่อตัวเราเอง หรือผู้อื่น
ถามใจตัวเองดู!!

สำหรับผม:
มันคือเพื่อผู้อื่น.. คือเราเสียเงินจัดงาน เพื่อให้คนมาร่วมงาน กินฟรี ทุกอย่างฟรีหมด
(ไม่ใช่คนขี้เหนียว แต่ที่สนิทจริงๆคือถึงไหนถึงกัน) แต่ที่จะมาร่วมงาน คือมาทั้งสนิทและคนไม่รู้จัก!!

#ไม่แต่งงานก็อยู่กันได้ บางคนอยู่กันจนตายจากกัน

#แต่งงาน แล้วอยู่กันไม่ได้ ก็มีถมเถไป

#แต่งงาน ไม่ใช่เครื่องการันตีว่า ชีวิตคู่จะอยู่กันได้นานแค่ไหน แต่มันเหมือนการจ้างคนให้มาร่วมงาน มาเล่น,มาเทียว กินฟรี,อยู่ฟรี

แล้วคุณล่ะ ถ้าคิดจะแต่ง แต่งไปเพื่ออะไร !!??? คิดเห็นอย่างไร ???
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
สำหรับผม ถ้าจัดงานแต่ง ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติต่อเจ้าสาว และเชิญบุคคลที่นับถือ สนิทสนม มาเป็นสักขีพยาน ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความพอดี ไม่เบียดเบียนตนเอง
ความคิดเห็นที่ 17
เรากำลังจะจัดงานแต่งงานปีหน้าค่ะ จองโรงแรมอะไรต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่งานแต่งของเราเป็นงานเล็กๆ แขกประมาณ 150 คน ช่วยกันเก็บเงินกับแฟนค่ะ เหตุผลหลักๆ ของการจัดงานแต่งงานคือเราอยากจัดค่ะ อยากใส่ชุดเจ้าสาวสวยๆ เดินในงานเคียงข้างแฟนเราในชุดเจ้าบ่าวโดยมีครอบครัวและเพื่อนๆ มาร่วมแสดงความยินดี เราชอบช่วงเวลานั้นค่ะ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่อยากจะสัมผัสสักครั้งในชีวิต (ขนาดเราไปงานแต่งงานเพื่อน เรายังรู้สึกมีความสุขเลยค่ะ) และการจัดงานแต่งงานไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะคะ เรากับแฟนทะเลาะกันหลายครั้งเพราะความเห็นที่แตกต่างกันแต่สุดท้ายก็เข้าใจกัน เราได้เห็นตัวตนของกันและกันและได้พูดคุย วางแผนการใช้ชีวิตร่วมกันมากขึ้น เราเองเป็นคนใช้เงินเก่งมาก ไม่เคยเก็บเงินได้เลย เราเริ่มเก็บเงินจริงจังครั้งแรกในชีวิตก็เพราะอยากจัดงานแต่งงานเนี่ยแหละค่ะ

เหตุผลในการจัดงานแต่งงานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่เหตุผลของเราคือความสุขค่ะ ถ้าคุณไม่อยากจัดงานแต่งงาน (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) นั่นก็เป็นสิทธิของคุณ คนอื่นที่เค้าอยากจัดงานแต่งงาน (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามอีกเช่นกัน) ก็เป็นสิทธิของคนๆ นั้นค่ะ มีคนมากมายที่ไม่ได้จัดงานแต่งงานเพราะอยากเอาหน้าอย่างที่คุณคิด หลายคนจัดงานแต่งงานเพราะอยากจัดและมีเงินที่จะ afford งานแต่งงานได้ เพราะงานแต่งงานเป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่งของคนที่อยากจะเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน คนเรามีความคิดที่แตกต่างกันได้ แต่อย่าเอาไม้บรรทัดของตัวเองไปวัดคนอื่นค่ะ

#แต่งงานก็อยู่ด้วยกันได้ หลายคู่ที่แต่งงานก็อยู่กันจนแก่เฒ่า
#ไม่แต่งงานแล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็มีเยอะแยะ
#ไม่แต่งงานก็ไม่ได้การันตีว่าจะอยู่ด้วยกันได้ตราบฟ้าดินสลาย จัดงานเพราะอยากมีความสุข อยากใส่ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว อยากฉลองกับครอบครัวและเพื่อนๆ ยินดีออกเงินจัดงานให้อยู่แล้วค่ะ
ความคิดเห็นที่ 3
เห็นด้วยคะ เราเองกำลังจะแต่งงาน ทางบ้านเราก็ฐานะกลางๆบ้านแฟนฐานะดี เราอยู่ก่อนแต่งกับแฟนมาเกือบๆ4ปีคบกันได้5ปี ทางบ้านทั้ง2ฝ่ายรับรู้ จริงๆเราก็มีความสุขดีกับการอยู่แบบนี้ แต่พอดีเราตั้งใจว่าอยากจะปล่อยมีลูกในปีหน้า เลยคิดว่าจะแต่งงาน สำหรับเราตั้งใจว่าจะไปจดทะเบียนสมรส แล้วพาครอบครัวของเรากับแฟนไปดินเนอร์หรูๆฉลองกัน แต่ปรากฏว่าบ้านแฟนอยากจะจัดงานอยากเชิญเพื่อนๆเราก็โอเคบอกจัดงานเล็กๆแค่กินเลี้ยง ก็ได้วันดีมาคือวันที่15ธันวาคม แต่ทีนี้ทางปู่กับย่าเราไม่ยอมบอกต้องยกขันหมากต้องโชว์สินสอด(ย่าเราหน้าเงินอยากได้หน้าได้ตา) เราก็โอเคยกก็ยกแต่ทีนี้ถ้ายกขันหมากก็ต้องเลื่อนงานออกไปเดือนเมษาปีหน้าเนื่องด้วยจากฤกษ์ และ ภารกิจต่างๆ เราเลยตัดสินใจว่าไม่เลื่อนและไม่ยกขันหมาก ก็เลยกลายเป็นว่าเราก็ไปทะเลาะกับปู่กับย่าทั้งๆที่พ่อแม่เราไม่มีใครมีปัญหาเลย เราเองค่อนข้างเป็นคนแรงๆเราก็บอกปู่กับย่ากับญาติไปว่านี่งานเราต้องการแบบนี้ใครไม่ชอบก็ไม่ต้องมาใครอยากแต่งอยากได้แบบไหนก็ไปแต่งกันเอาเอง ไม่ได้เอาตังไปเลี้ยงชาวบ้านแล้วงานเราก็ไม่ต้องบอกคนเอาแค่ญาติสนิทกับเพื้อนสนิทของเราแค่นั้น เค้าก็ไม่พอใจกันแต่เราก็ไม่สนใจ เราก็คิดนะว่างานแต่งเนี่ยมันงานมงคลจริงๆรึป่าวรึงานที่ทำให้คนทะเลาะกัน ญาติพี่น้องต้องการให้บ่าวสาวมีความสุขรึต้องการอวดฐานะในงานแต่งของคนอื่นกันแน่
ความคิดเห็นที่ 15
ถึงผมจะแพ้ถั่ว แต่ผมก็ไม่เคยบอกว่าถั่วมันไม่ดีครับ
ความคิดเห็นที่ 13
คิดแบบนี้จริงๆครับ
มันเป็นการประกาศสู่สาธารณะ บรรดาญาติ พี่น้อง เพื่อนบ้าน
และแฝงไปด้วยความอ่อนน้อมที่มีต่อผู้ใหญ่
มีการสู่ขอต่อผู้ใหญ่
ความเป็นมิตรต่อคนในครอบครัว
ในงานจะมีการพบปะ กันระหว่างญาติ และเพื่อนฝูง ช่วยให้ครอบครัวมีการสานสัมพันธ์กันมากกว่าการไม่รู้จักกันเลย
ซึ่งมันไม่ได้เกิดภายในวันงานวันเดียว แต่มันเกิดจากการเตรียมตัวที่ต้องใข้เวลา
มีการทบทวนวางแผนมาครับ
มันไม่ใช่เพียงแค่ค่านิยม แต่มันคือวัฒนธรรมที่มีอยู่
มันเป็นแค่เปลือกนอกหรือคุณมองมันที่เปลือกนอกกันแน่ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่