เหล้าปัจจัยทำเกิดความรุนแรงทางเพศ 60% เป็นเด็กเยาวชน-ภัยจากคนใกล้ตัว

เหล้าปัจจัยทำเกิดความรุนแรงทางเพศ 60% เป็นเด็กเยาวชน-ภัยจากคนใกล้ตัว
18 ต.ค. 2561 12:55   

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเปิดสถิติข่าวความรุนแรงทางเพศ ปี 60 ความรุนแรงทางเพศยังพุ่ง เกินครึ่งเป็นข่าวข่มขืน เกิดจากคนใกล้ตัว-ครอบครัว ร้อยละ 60.6 เป็นเยาวชนอายุ 5-20 ปี เผยเหล้าเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงทางเพศ

วันนี้ (18 ต.ค.) ที่โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ สิรินยา (ซินดี้) บิชอพ ผู้ก่อตั้งแคมเปญ #donttellmehowtodress และ #tellmentorespect จัดเวทีเสวนา “ข่มขืน...ภัยใกล้ตัวของเด็กและเยาวชน” พร้อมเปิดข้อมูลสถิติข่าวความรุนแรงทางเพศปี 2560

โดย น.ส.จรีย์ ศรีสวัสดิ์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า จากการรวบรวมสถิติข่าวความรุนแรงทางเพศปี 2560 ของหนังสือพิมพ์ 13 ฉบับ พบข่าวความรุนแรงฯ ทั้งหมด 317 ข่าว มีผู้เสียชีวิต 20 ราย สำหรับปัจจัยกระตุ้น พบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงทางเพศมากที่สุดถึง ร้อยละ 31.1 คิดเป็น 1 ใน 3 โดยประมาณ รองลงมา การอ้างว่ามีอารมณ์ทางเพศ ร้อยละ 28 การใช้สารเสพติด ร้อยละ 16.3 และต้องการชิงทรัพย์ ร้อยละ 11.7

ส่วนอายุของผู้ถูกกระทำเกินครึ่ง ร้อยละ 60.6 ยังเป็นกลุ่มเด็กและเยาวชน อายุ 5-20 ปี รองลงมา ร้อยละ 30.9 อายุ 41-60 ปี สำหรับอาชีพของผู้ถูกกระทำ อันดับหนึ่ง เป็นนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 60.9 รองลงมาคือลูกจ้าง ร้อยละ 21.6 ค้าขาย ร้อยละ 5.2 และเป็นกลุ่มเด็กเล็ก ร้อยละ 4.2

ส่วนสถานที่เกิดเหตุ พบว่า เกิดในที่พักของผู้ถูกกระทำฯ รองลงเกิดในที่พักของผู้กระทำ และเกิดเหตุในที่เปลี่ยว/ถนนเปลี่ยว ส่วนพื้นที่เกิดเหตุอันดับหนึ่ง คือ กรุงเทพฯ ร้อยละ 17.4 รองลงมา จ.ชลบุรี ร้อยละ 7.6 จ.สมุทรปราการ ร้อยละ 6.8 จ.ปทุมธานี ร้อยละ 5.2 และ จ.เชียงใหม่ ร้อยละ 4.9

น.ส.จรีย์ กล่าวต่อไปว่า ที่น่าสลดคือ อายุของผู้ถูกกระทำน้อยที่สุด คือ เด็กหญิง 5 ขวบถูกข่มขืน และอายุมากสุด คือ อายุ 90 ปีถูกข่มขืน อายุของผู้กระทำที่น้อยที่สุดคือ 12 ปี ความสัมพันธ์ของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักคุ้นเคยและเป็นบุคคลในครอบครัวกว่า ร้อยละ 53 รองลงมา เป็นคนแปลกหน้า/ไม่รู้จักกัน ร้อยละ 38.2 และถูกกระทำจากคนที่รู้จักกันผ่านโซเชียล ร้อยละ 8.8 โดยกรณีความสัมพันธ์ที่เป็นคนใกล้ชิด/คนรู้จักคุ้นเคยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเภทข่าวข่มขืน และมีหลายกรณีข่าวที่ผู้กระทำฯ มักอาศัยความไว้ใจเชื่อใจ ล่อลวงกระทำการข่มขืน ส่งผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำ คือ หวาดผวา/ระแวง/กลัว ร้อยละ 26.1 ที่น่าห่วงคือ ถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์หลายครั้ง/ยาวนาน ร้อยละ 12.8 ถูกขู่ฆ่าหากขัดขืน/ข่มขู่ห้ามบอกใคร ร้อยละ 12.7 ถูกทำร้ายร่างกายสาหัส ร้อยละ 12

“หลายเคสที่เกิดขึ้น ถูกกระทำจากคนใกล้ตัวซี่งผู้ถูกกระทำไว้วางใจ อาทิ แฟนเก่า ญาติ เพื่อนร่วมงาน ปีที่ผ่านมูลนิธิฯมีเคสที่ถูกส่งต่อมาดูแลประมาณ 14 เคส ส่วนใหญ่อายุ 18-25 ปี และยังพบว่าในปีที่ผ่านมายังพบว่ามีกรณีกลุ่มชายวันทำงานถูกกระทำความรุนแรงางเพศมีเพิ่มขึ้น โดยมีเคสหนึ่งถูกกระทำความรุนแรงฯที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จึงเป็นข้อสังเกตว่าในหลายเหตุการณ์ก็เกิดในพื่นที่ที่ควรจะเป็นที่ปลอดภัย ทั้งโรงพยาบาล วัด กุฏิพระ เป็นต้น และยังพบด้วยผู้ถูกกระทำถูกกระทำซ้ำเป็นระยะเวลานาน ซี่งครอบครัวไม่สังเกตเห็น อีกทั้ง ความรุนแรงทางเพศไม่ได้ส่งผลเพียงร่างกาย ยังส่งผลต่อจิตใจและกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้ถูกกระทำและครอบครัว” น.ส.จรีย์ กล่าว

น.ส.จรีย์ กล่าวว่า ทั้งนี้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ครอบครัวควรให้กำลังใจ ไม่กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของผู้ถูกกระทำ และควรสร้างความคิดที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้ถูกกระทำแทนภาพเชิงลบ ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อลดความหวาดกลัว สิ้นหวัง แต่กล้าเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ควรมีหลักสูตรการเรียนรู้ทั้งในระดับโรงเรียนให้เคารพในเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง บุคคลในหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย ควรมีความรู้ ความเข้าใจในประเด็นปัญหาความรุนแรงทางเพศที่ละเอียดอ่อน ไม่กระทำซ้ำผู้ถูกกระทำหรือจัดการปัญหาด้วยการมองว่าเป็นปัญหาของผู้หญิง อีกทั้งในระบบการเยียวยาผู้ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศ ต้องดูแลแบบต่อเนื่อง เน้นการทำงานกับพลังภายในของผู้ถูกกระทำด้วย เพื่อทำให้เห็นคุณค่าภายใน เห็นศักยภาพความสามารถของตนเองเพราะการข่มขืนไม่ได้เพียงแต่ทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่ทำลายคุณค่าภายในอีกด้วย

ขณะที่ นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า การข่มขืนเป็นความรุนแรงทางเพศที่คุกคามความเป็นมนุษย์ผู้ถูกกระทำอย่างที่สุด แต่สังคมไทยกลับไม่จริงจังกับเรื่องการเรียกร้องความรับผิดชอบทางเพศในมิตินี้จากผู้ชาย และมีแนวโน้มที่จะปล่อยให้ผู้ชายลอยนวล ขณะเดียวกันกลับเข้มงวดกดดัน ตีเส้น ตีกรอบ และเรียกร้องการดูแลตัวเองจากผู้หญิง ซึ่งเป็นวิธีคิดที่หลงทางมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ที่ผ่านมาบ้านกาญฯ ได้ทำกระบวนการกลุ่ม มีกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม ที่เราเรียกว่า “วิชาชีวิต” เปลี่ยนระบบความคิดที่มีผลต่อพฤติกรรมเกี่ยวกับความรับผิดชอบทางเพศอย่างต่อเนื่อง สามารถจับต้องได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหลายมูลนิธิที่ทำงานลักษณะนี้ ที่ช่วยทำให้เกิดอำนาจต่อรองแก่ผู้ถูกกระทำ แต่จะแก้ทีละเคสคงไม่พอ ต้องทำงานคู่ขนานด้วยการสะสมองค์ความรู้ ทำให้อีกมุมของสถานการณ์โดยเฉพาะผู้กระทำบางกลุ่ม ที่มีการอนุโลมให้กับบางพฤติกรรมของเพศชายที่เป็นระเบิดเวลา จะต้องทำให้ความรับผิดชอบผิดชอบทางเพศเป็นสิ่งที่เขาต้องมี ดังนั้น ต้องเปลี่ยนวิธิคิดของเพศชาย วิธีคิดการเลี้ยงดูของครอบครัว รวมถึงสถาบันการศึกษายังไม่แตะเรื่องเหล่านี้มากนัก

รศ.อภิญญา เวชยชัย นายกสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ กล่าวว่า จากการเฝ้าระวังพบว่าเหตุการณ์ความรุนแรงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต สภาวะทางจิตใจ การรับรู้จะค่อยๆเปลี่ยนไป ส่งผลต่อการใช้ชีวิตในอนาคต หลายรายต้องสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง รู้สึกผิดโทษตัวเอง สิ่งที่ยังเป็นปัญหา คือ ผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะอาย ไม่กล้าเปิดเผย เก็บความทุกข์ไว้เพียงลำพัง ทำให้ผู้กระทำย่ามใจเกิดการกระทำซ้ำ ทั้งนี้ ต้องทำให้ผู้กระทำได้รับการลงโทษที่เด็ดขาด เกิดการเปลี่ยนรากฐานทัศนคติ หยุดการใช้อำนาจ และไม่มองผู้หญิงเป็นวัตถุสิ่งของ ส่วนผู้เสียหายต้องได้รับทางเลือกที่เหมาะสม มีระบบดูแลผู้ถูกกระทำที่ชัดเจน คือ ให้บริการที่เป็นมิตรในรายบุคคล ได้รับคำปรึกษาที่เหมาะสมเพื่อให้ลดความหวาดกลัว ฟื้นฟูอารมณ์จิตใจนำพลังที่สูญเสียไปกลับคืนมา มีทีมสหวิชาชีพ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา ที่เพียงพอ

https://mgronline.com/qol/detail/9610000104188
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่