ประสบการณ์การเดินทางไป Annapurna Base Camp ครั้งแรก เป็นความประทับใจที่เกินคำจะอธิบาย เป็นทริปที่สอนให้ได้เรียนรู้ถึงความสุขของการเดินเขา หากใครสนใจรายละเอียดการเดินทางแนวลึก ผมขอแนะนำกระทู้ "ใครๆ ก็เดินขึ้นไป ABC" https://pantip.com/topic/35220782 รายละเอียดเยอะดีครับ^^
กระทู้นี้เป็นการตั้งกระทู้แรกของผม ผิดพลาดยังไงขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยครับ
กระทู้นี้ไม่มีสปอนเซอร์ อุปกรณ์ที่ผมใช้ผมซื้อเองใช้เอง ทุกคำแนะนำเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ
ข้อมูลทริป
วันเดินทาง 22.09.2018 - 02.10.2018
จำนวนวันของทริป 11 วัน
จำนวนวันที่เดินเขา 8 วัน
ผู้ร่วมเดินทาง 10 คน ไกด์ 2 คน ลูกหาบ 5 คน
จุดมุ่งหมาย Annapurna Base Camp ประเทศเนปาล
ติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่:
Facebook: https://facebook.com/CooksJournal
(Update: เปลี่ยนชื่อช่องจากเดิม Know Where Land เป็น "Cook's Journal โดยนายครัว" นะครับ)
#KnowWhereLand
ขอบคุณครับ =)
DAY 0
แอร์โฮสเตสสาวในยูนิฟอร์มสีแดงของสายการบินท้องถิ่น ก้มหัวขยับมาตามทางเดินแคบๆ เพื่อบริการผู้โดยสาร 20 ชีวิตที่นั่งอยู่เต็มความจุของเครื่องบิน เธอยื่นถาดที่มีลูกอมกับสำลีกำนึง คนข้างหน้าผมฉีกสำลีเอาไปอุดหู ผมหยิบลูกอมมาแล้วหันสายตากลับออกไปนอกหน้าต่าง สายตาผมจดจ้องกับเหตุผลที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่ มันเป็นครั้งแรก ที่ผมเดินทางตามเสียงเรียกของเทือกเขาหิมาลัย ขณะนั้นเครื่องบินเริ่มลดระดับลงจอด ที่สนามบินเมืองโพคารา ประเทศเนปาล จุดเริ่มต้นของเรา ส่วนจุดมุ่งหมายคือ Annapurna Base Camp
“ใครๆ ก็เดินขึ้นไป ABC” คือชื่อกระทู้ที่ผมหาข้อมูลมา 2 เดือนก่อนที่เท้าจะมาเหยียบแผ่นดินเนปาล ผมเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น และฟิตร่างกายเพื่อให้พร้อมกับการเดินเป็นเวลานาน 8 วัน สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทริปนี้ แต่ก็ไม่กังวล เพราะผู้ร่วมทีมของผมเป็นหมอหลายคน วันแรกที่เจอไกด์ ก็บอกไปว่าไม่ต้องห่วง ทริปนี้หมอเยอะ ไกด์หนุ่มหันมาตอบว่า “ผมพาไปหลายทริปละ หมอนี่แหละป่วยก่อนคนอื่น” พร้อมรอยยิ้มมุมปาก “แต่คุณอยู่กับผม ไม่ต้องเป็นห่วง!” สรุปควรจะห่วงไหมเนี่ย ตามนั้นละกัน
คืนแรกที่เมืองโพคารา ไกด์เรียกประชุมเพื่ออธิบายเส้นทาง และตอบคำถามต่างๆที่เราสงสัย สิ่งนึงที่ไกด์บอกคือไม่จำเป็นต้องกินยา Diamox นอกจากว่าจะมีอาการ AMS (Acute Mountain Sickness) ซึ่งเราก็งงๆ นึกว่าต้องกินต่อเนื่องก่อนขึ้นที่สูง เค้าอธิบายว่ายาจะทำให้เราต้องดื่มน้ำมากขึ้น และจะทำให้ปวดฉี่บ่อยระหว่างที่ต้องเดินทางไกล เราเลยหยุดกินตามที่เค้าแนะนำ หลังเสร็จประชุม เราตัดสินใจไปกินมื้อเย็นที่ร้านอาหารเกาหลีกัน โดยมีตรรกะที่ว่า เราต้องกินอาหารพื้นเมืองอีกหลายวัน เลยขอซึมซับรสอาหารที่คุ้นเคยอย่างอาหารเกาหลีไปก่อน เมนูที่เราสั่งมีตั้งแต่มาม่าเกาหลี หมูผัดกิมจิ จนถึงข้าวยำ พวกเรากินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ใครจะรู้ว่าหลายอย่างที่เราคิดในวันนี้ จะไม่ได้เป็นอย่างที่คาด
ห้องรับกระเป๋าในสนามบินเมืองโพคารา
วิวจากโรงแรมในโพคารา
DAY 1

เส้นทางเดิน
ร้านอาหารและที่พักระหว่างทาง
การเดินในวันแรกหนักหน่วงมาก ตามที่ไกด์บอก ผมแหงนหน้ามองขั้นบันไดที่ทอดตัวสูงขึ้นไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด เส้นทางสูงชัน บวกกับแดดที่แรง ทำให้พลังหมดไปอย่างรวดเร็ว ตลอดเส้นทางมีร้านอาหารที่สามารถแวะพักเหนื่อย ทานอาหาร และซื้อน้ำเติมได้ ใครเบื่อกินน้ำเปล่า ขอเพียงคุณมีเงิน ไม่ว่าโค้ก แฟนต้า น้ำผลไม้ ชา กาแฟ อยากดื่มอะไรก็จัดไป พยายามแลกแบงค์ย่อยหน่อยจะดี ถ้ากำใบละพันรูปีไป คนขายอาจจะมีแอบด่าในใจ ก่อนจะยิ้มตอบกลับมาว่าไม่มีทอน หลังจากหยุดพักกินข้าวกลางวัน เราก็ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดหินต่อไปท่ามกลางหุบเขาที่เขียวขจี เราถึงที่พักที่ Ghorepani ในเวลาที่ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว เรากินข้าวเย็นกันแบบหิวโหย และแยกย้ายไปพักผ่อน Wifi ก็มีให้ซื้อใช้ ถ้าใครจะเข้าโซเชียล แต่อย่าคาดหวังกับความเร็ว
สิ่งที่เราเรียนรู้ในการเดินวันแรกคือ
1. การดูดน้ำจากสายยางต่อกับถุงน้ำในเป้โดยไม่ต้องหยุดเดินเพื่อถอดเป้หยิบขวดน้ำ คือลาภอันประเสริฐ
2. เป้ที่ดีจะทำให้ชีวิตการเดินราบรื่น เราใช้ Gregory Zulu 40 ลิตร สบายหลังมากและมีที่เก็บสายดูดน้ำ ชีวิตเปลี่ยน บอกเลย
3. ถ้าคุณเลือกห้องได้ก่อน ให้เลือกห้องที่อยู่ชั้นต่ำที่สุด ผมนอนชั้น 3 สองวันติด หอบปลายบันไดทุกครั้ง
4. ต่อให้คุณระวังแค่ไหนก็หนีไม่พ้นทาก ผมเองโดนคนแรก ในวันแรก เห็นเลือดที่ซึมออกมาผ่านเสื้อตรงเอว ทำอะไรไม่ได้นอกจากเอากระดาษหนาๆกดไว้ เพราะเลือดจะยังไหลไปสักพัก แล้วจะค่อยๆหยุดไปเอง
DAY 2
เช้าตรู่วันที่สอง เราเดินขึ้นเขาไปประมาณชั่วโมงครึ่ง เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Poon Hill ซึ่งเป็นจุดชมวิวยอดนิยม ที่สามารถมองเห็นยอดเขาหลายยอด คนค่อนข้างเยอะ บางคนพาลูกตัวน้อยมาชมวิว บางคนเอากีต้าร์มาเล่นเพลง สร้างบรรยากาศให้กับวิวสวยๆ ไกด์หนุ่มของเราชี้แล้วไล่ชื่อแต่ละยอดเขา ซึ่งด้วยภาษาที่ไม่คุ้นเคย ทำให้จำยากนิดนึง ที่จะจำได้ก็มี Machapuchare (มัจฉาปุชเร) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายหางปลา จำง่ายกว่าอันอื่นหน่อย ทุกคนดูมีความสุขกับการถ่ายรูปราวกับได้พิชิตยอดเขา แต่เดี๋ยวก่อน นี่มันยังไม่ถึงครึ่งทริป เส้นทางเรายังอีกไกล

นักท่องเที่ยวเก็บภาพภูเขาจากหอชมวิว
คนที่สร้างเสียงเพลงให้เรา
หลังจากชมวิวเราก็เดินกลับมาเก็บของ พร้อมออกเดินต่อ เส้นทางยังคงชันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ก็เริ่มมีร่มไม้มาช่วยบังแดด กับลมพัดเบาๆ ยอดเขาสีขาวตัดกับแนวเขาสีเขียวอยู่รอบตัวเรา เราเดินผ่านป่า แม่น้ำ น้ำตก ไก่ ม้า ลา ควาย และขี้ของพวกมันตลอดทาง นี่สินะ เส้นทางของหิมาลัย เราเดินตามพลังกายและพลังใจของแต่ละคน ระหว่างทาง ไกด์หนุ่มของเราก็พยายามให้ความรู้ท้องถิ่นต่างๆกับเรา แล้วทุกวันเวลากินข้าวเย็นเสร็จ ก็จะมีการทดสอบความรู้ประจำวัน แต่เราเดินเหนื่อยจนไม่รู้จะเอาพลังตรงไหนไปจำใส่สมองละ ทุกคนเลยต้องหาคำตอบจากการแอบดูโน้ตที่แอบจดไว้ในโทรศัพท์เป็นระยะๆ การเดินที่เหน็ดเหนื่อยในวันนี้พาเรามาจนถึงที่พักที่ Chuile ก่อนที่ฝนจะตกลงมาพอดี
สิ่งที่เราเรียนรู้ในวันนี้
1. อย่ามัวแต่เดินชมวิว เพราะคุณจะเหยียบขี้สัตว์ลื่นระหว่างทาง
2. เดินตามความเร็วที่คุณสะดวก อยากพักก็พัก แล้วก็คอยให้ทางคนอื่นด้วย เป็นมารยาทนักเดินเขา
3. หาวิธีสวมกล้องให้ไม่เป็นอุปสรรคในการเดิน ให้มันหยิบใช้ง่าย อันนี้สำคัญมากเลย สำหรับคนที่จะถ่ายรูปตลอดทาง เพราะถ้าต้องหยุดเพื่อหยิบกล้องในเป้ บอกเลย คุณจะไม่หยิบ และถ้าฝนมา ก็ต้องเก็บให้เร็วเช่นกัน
4. เก็บรองเท้าในห้องที่เรานอน บางคนวางไว้นอกห้องทั้งคืน อยู่ในป่าเขาใครจะรู้ว่าตัวอะไรจะเข้าไปอาศัย
ลาขนเสบียงของชาวบ้าน
ลูกหาบวิ่งลงเนินหญ้าแซงทุกคน
DAY 3

แสงเช้าสาดส่องมาที่ห้องพักของเรา
วันที่สาม เราเปิดประตูห้องนอน มาพบกับลำแสงอาทิตย์ยามเช้าที่โผล่พ้นสันเขา อากาศเย็นสบาย อาหารเช้าที่เราสั่งกันไว้ตั้งแต่เมื่อวาน มาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารที่เราสิบคนนั่งล้อมรอบ หลังจากกินมาหลายมื้อ เราเริ่มเข้าใจเมนูอาหารมากขึ้น เพราะทุกร้านก็จะเมนูเดิม ทำรสชาติต่างกันแล้วแต่อารมณ์แม่ครัว สิ่งนึงที่เราคาดคิดผิดไปคือ ทุกร้านมีเมนูมาม่าเกาหลี! ยี่ห้อชิน อันเดียวกับที่เรากินที่บ้านเลย ไม่รู้เค้าได้สัมปทานทั้งหุบเขาหรือว่าอย่างไร แต่จะว่าไปแล้วก็เจอคนเกาหลีเยอะ ขนาดที่ว่าร้านอาหารบางร้านระหว่างทาง มีป้ายเป็นภาษาเกาหลี บอกว่าที่นี่มีอาหารเกาหลีขาย ซารังเฮโยมาก ข้างโต๊ะเราก็มีแก๊งลุงเกาหลี ที่มีหม้อต้มซุปกิมจิ กับอาหารเครื่องเคียงเกาหลีมากันพร้อม เราได้แต่อิจฉาตาร้อน แต่ทีมเราก็ไม่น้อยหน้า งัดน้ำพริกต่างๆ มาปรุงเพิ่มเติมให้รสอาหารถูกปาก
กินอิ่มแล้วเตรียมตัวออกเดิน
เด็กๆบนเขา
วันนี้กล้ามเนื้อขาของเราเริ่มถามเราว่า นี่ยังจะเดินอีกหรอ ถึงแม้ว่าเราทุกคนจะกินยาแก้ปวดและคลายกล้ามเนื้อทุกวันตั้งแต่เริ่ม แต่ความปวดขาก็รู้สึกได้ทันทีที่ขยับตัวตื่นนอน และแน่นอนว่าวันนี้เส้นทางยังคงเป็นการเดินขึ้นที่สูงตามแนวภูเขา เราหยุดพัก และถ่ายรูปวิวสวยๆ ที่มีให้ดูตลอดทาง แวะกินข้าวเติมพลัง แล้วก็เดินกันต่อ ชีวิตช่างเรียบง่าย ระหว่างทาง เราเดินผ่านโรงเรียนแห่งหนี่งสำหรับเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่บนภูเขา ขาพวกเค้าต้องแข็งแรงมากแน่ๆ ถ้าต้องเดินเขาไปเรียนทุกวันแบบนี้ เรายิ้มแล้วโบกมือทักทายเด็กๆ น้องๆ โบกมือกลับมา พร้อมรอยยิ้ม เราเดินจนถึงที่พักวันนี้ที่ Upper Sinuwa ซึ่งอยู่สูงถึง 2,340 เมตรจากระดับน้ำทะเล จากที่พักเราสามารถมองเห็นเส้นทางที่ลึกเข้าไปในหุบเขา ที่เราต้องเดินกันในวันต่อไป เราแยกย้ายเข้าห้องเล็กๆ ที่เรียงกันอยู่ชั้นสอง ขั้นบันไดขึ้นชั้นสองทำร้ายขาเราทุกฝีก้าว ที่นี่มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำที่ต้องแชร์กันใช้ อากาศบนนี้เย็นขึ้นกว่าสองคืนก่อนอย่างรู้สึกได้
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้
1. การที่ต้องมานั่งจัดทุกอย่างใส่กระเป๋าใหม่ทุกเช้าเป็นการกินเวลานอนอย่างมาก ผมจะจัดของก่อนนอน พอเช้ามาแค่เก็บชุดนอนกับแปรงสีฟัน และของที่ตากไว้
2. การตากของให้แห้งข้ามคืนเป็นอนัตตา เป็นการตากแค่ให้ลดความอับของเสื้อผ้าที่เราต้องใส่ซ้ำเท่านั้น
3. ต่อให้ผ้าเช็ดตัวเป็นแบบแห้งเร็ว แต่! ถ้าคุณใช้มันซะเปียก มันก็จะไม่แห้ง! เทคนิคหลังอาบน้ำคือ ให้ใช้มือกรีดรูดน้ำออกจากตัวและเส้นผม สะบัดมือสะบัดเท้าให้หยดน้ำออกไปให้มากที่สุด ก่อนใช้ผ้าเช็ด ให้นึกถึงเวลาหมาสะบัดขนเวลามันเปียก ประมาณนั้น
ที่พักที่ Upper Sinuwa
เสียงเรียกจากหิมาลัย ฉบับ ABC (Annapurna Base Camp) 2018
กระทู้นี้เป็นการตั้งกระทู้แรกของผม ผิดพลาดยังไงขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยครับ
กระทู้นี้ไม่มีสปอนเซอร์ อุปกรณ์ที่ผมใช้ผมซื้อเองใช้เอง ทุกคำแนะนำเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ
ข้อมูลทริป
วันเดินทาง 22.09.2018 - 02.10.2018
จำนวนวันของทริป 11 วัน
จำนวนวันที่เดินเขา 8 วัน
ผู้ร่วมเดินทาง 10 คน ไกด์ 2 คน ลูกหาบ 5 คน
จุดมุ่งหมาย Annapurna Base Camp ประเทศเนปาล
ติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่:
Facebook: https://facebook.com/CooksJournal
(Update: เปลี่ยนชื่อช่องจากเดิม Know Where Land เป็น "Cook's Journal โดยนายครัว" นะครับ)
#KnowWhereLand
ขอบคุณครับ =)
“ใครๆ ก็เดินขึ้นไป ABC” คือชื่อกระทู้ที่ผมหาข้อมูลมา 2 เดือนก่อนที่เท้าจะมาเหยียบแผ่นดินเนปาล ผมเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น และฟิตร่างกายเพื่อให้พร้อมกับการเดินเป็นเวลานาน 8 วัน สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทริปนี้ แต่ก็ไม่กังวล เพราะผู้ร่วมทีมของผมเป็นหมอหลายคน วันแรกที่เจอไกด์ ก็บอกไปว่าไม่ต้องห่วง ทริปนี้หมอเยอะ ไกด์หนุ่มหันมาตอบว่า “ผมพาไปหลายทริปละ หมอนี่แหละป่วยก่อนคนอื่น” พร้อมรอยยิ้มมุมปาก “แต่คุณอยู่กับผม ไม่ต้องเป็นห่วง!” สรุปควรจะห่วงไหมเนี่ย ตามนั้นละกัน
คืนแรกที่เมืองโพคารา ไกด์เรียกประชุมเพื่ออธิบายเส้นทาง และตอบคำถามต่างๆที่เราสงสัย สิ่งนึงที่ไกด์บอกคือไม่จำเป็นต้องกินยา Diamox นอกจากว่าจะมีอาการ AMS (Acute Mountain Sickness) ซึ่งเราก็งงๆ นึกว่าต้องกินต่อเนื่องก่อนขึ้นที่สูง เค้าอธิบายว่ายาจะทำให้เราต้องดื่มน้ำมากขึ้น และจะทำให้ปวดฉี่บ่อยระหว่างที่ต้องเดินทางไกล เราเลยหยุดกินตามที่เค้าแนะนำ หลังเสร็จประชุม เราตัดสินใจไปกินมื้อเย็นที่ร้านอาหารเกาหลีกัน โดยมีตรรกะที่ว่า เราต้องกินอาหารพื้นเมืองอีกหลายวัน เลยขอซึมซับรสอาหารที่คุ้นเคยอย่างอาหารเกาหลีไปก่อน เมนูที่เราสั่งมีตั้งแต่มาม่าเกาหลี หมูผัดกิมจิ จนถึงข้าวยำ พวกเรากินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ใครจะรู้ว่าหลายอย่างที่เราคิดในวันนี้ จะไม่ได้เป็นอย่างที่คาด
สิ่งที่เราเรียนรู้ในการเดินวันแรกคือ
1. การดูดน้ำจากสายยางต่อกับถุงน้ำในเป้โดยไม่ต้องหยุดเดินเพื่อถอดเป้หยิบขวดน้ำ คือลาภอันประเสริฐ
2. เป้ที่ดีจะทำให้ชีวิตการเดินราบรื่น เราใช้ Gregory Zulu 40 ลิตร สบายหลังมากและมีที่เก็บสายดูดน้ำ ชีวิตเปลี่ยน บอกเลย
3. ถ้าคุณเลือกห้องได้ก่อน ให้เลือกห้องที่อยู่ชั้นต่ำที่สุด ผมนอนชั้น 3 สองวันติด หอบปลายบันไดทุกครั้ง
4. ต่อให้คุณระวังแค่ไหนก็หนีไม่พ้นทาก ผมเองโดนคนแรก ในวันแรก เห็นเลือดที่ซึมออกมาผ่านเสื้อตรงเอว ทำอะไรไม่ได้นอกจากเอากระดาษหนาๆกดไว้ เพราะเลือดจะยังไหลไปสักพัก แล้วจะค่อยๆหยุดไปเอง
เช้าตรู่วันที่สอง เราเดินขึ้นเขาไปประมาณชั่วโมงครึ่ง เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Poon Hill ซึ่งเป็นจุดชมวิวยอดนิยม ที่สามารถมองเห็นยอดเขาหลายยอด คนค่อนข้างเยอะ บางคนพาลูกตัวน้อยมาชมวิว บางคนเอากีต้าร์มาเล่นเพลง สร้างบรรยากาศให้กับวิวสวยๆ ไกด์หนุ่มของเราชี้แล้วไล่ชื่อแต่ละยอดเขา ซึ่งด้วยภาษาที่ไม่คุ้นเคย ทำให้จำยากนิดนึง ที่จะจำได้ก็มี Machapuchare (มัจฉาปุชเร) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายหางปลา จำง่ายกว่าอันอื่นหน่อย ทุกคนดูมีความสุขกับการถ่ายรูปราวกับได้พิชิตยอดเขา แต่เดี๋ยวก่อน นี่มันยังไม่ถึงครึ่งทริป เส้นทางเรายังอีกไกล
สิ่งที่เราเรียนรู้ในวันนี้
1. อย่ามัวแต่เดินชมวิว เพราะคุณจะเหยียบขี้สัตว์ลื่นระหว่างทาง
2. เดินตามความเร็วที่คุณสะดวก อยากพักก็พัก แล้วก็คอยให้ทางคนอื่นด้วย เป็นมารยาทนักเดินเขา
3. หาวิธีสวมกล้องให้ไม่เป็นอุปสรรคในการเดิน ให้มันหยิบใช้ง่าย อันนี้สำคัญมากเลย สำหรับคนที่จะถ่ายรูปตลอดทาง เพราะถ้าต้องหยุดเพื่อหยิบกล้องในเป้ บอกเลย คุณจะไม่หยิบ และถ้าฝนมา ก็ต้องเก็บให้เร็วเช่นกัน
4. เก็บรองเท้าในห้องที่เรานอน บางคนวางไว้นอกห้องทั้งคืน อยู่ในป่าเขาใครจะรู้ว่าตัวอะไรจะเข้าไปอาศัย
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้
1. การที่ต้องมานั่งจัดทุกอย่างใส่กระเป๋าใหม่ทุกเช้าเป็นการกินเวลานอนอย่างมาก ผมจะจัดของก่อนนอน พอเช้ามาแค่เก็บชุดนอนกับแปรงสีฟัน และของที่ตากไว้
2. การตากของให้แห้งข้ามคืนเป็นอนัตตา เป็นการตากแค่ให้ลดความอับของเสื้อผ้าที่เราต้องใส่ซ้ำเท่านั้น
3. ต่อให้ผ้าเช็ดตัวเป็นแบบแห้งเร็ว แต่! ถ้าคุณใช้มันซะเปียก มันก็จะไม่แห้ง! เทคนิคหลังอาบน้ำคือ ให้ใช้มือกรีดรูดน้ำออกจากตัวและเส้นผม สะบัดมือสะบัดเท้าให้หยดน้ำออกไปให้มากที่สุด ก่อนใช้ผ้าเช็ด ให้นึกถึงเวลาหมาสะบัดขนเวลามันเปียก ประมาณนั้น