แล้วก็มาถึง ถุงมือเรื่องสั้น คู่ที่ 3 ครับ คู่นี้ คนแต่งก่อน จัดเต็ม และจัดหนัก! เล่นเอาคนแต่งต่อเกือบท้อเลยทีเดียว แต่แล้วก็ฮึดสู้ แต่งต่อจนจบจนได้
เรื่องเริ่มต้นเป็นบันทึกเหมือนไดอารี่จดหมายของชายคนหนึ่งซึ่งเขียนถึงภรรยาสุดที่รักว่า เขาแล่นเรือออกไปหาปลากลางทะเลกับบรรดาลูกเรือ แล้วโชคร้ายเจอพายุ เรืออัปปาง ตัวเองเกือบจมน้ำตาย แต่เขายังไม่ถึงฆาต เกาะเศษไม้ไปติดเกาะแห่งหนึ่งซึ่งดันเป็นเกาะลึกลับไม่มีอยู่ในแผนที่ อุตส่าห์รอดตาย แต่พอจะขึ้นฝั่งกลับมีเด็กหญิงคนหนึ่งมาห้ามไม่ให้ขึ้นโดยให้เหตุผลว่าต้องได้รับอนุญาตจาก "ผู้นำของเกาะ" เสียก่อนเท่านั้น ครั้นผู้นำของเกาะหรือ "เจ้าเกาะ" มาถึงชายหาดพร้อมกับคนอื่นๆบนเกาะแล้ว เขาก็เอ่ยปากขอขึ้นฝั่งและขออยู่ด้วย แต่ชาวเกาะหลายคนเรียกร้องให้โยนเขาลงทะเลไปเสียโดยบอกว่าเขาอาจสร้างความเสียหาย...
เรื่องราวจะเป็นไปอย่างไร ติดตามอ่านกันอย่างอดทนและใจเย็นหน่อยนะครับ เพราะเรื่องนี้ ยาวมาก! อาจจะเป็นเรื่องสั้นที่ยาวที่สุดในเกม THE GLOVES FINAL 2018 นี้ครับผม
จบแล้ว มอบเกรดให้แก่ผู้เริ่มแต่งคนขยัน และผู้แต่งต่อซึ่งอึดอดทนจนเรื่องจบ
จากนั้น ค่อยเฟ้นหากัน ว่าทั้งสองคน คือใคร กับใคร....


ถึง ...แอนที่รัก
หากคุณได้รับจดหมายฉบับนี้ แสดงว่าผมได้จากโลกนี้ไปแล้ว หรือยังหาทางกลับบ้านไม่ได้ ผมเสียใจที่ต้องแจ้งข่าวร้ายกับคุณ เสียใจที่ไม่อาจทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับคุณ ผมรักคุณที่รัก รักมากเหลือเกิน
ผมคิดว่าการออกหาปลาครั้งนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น เหมือนทุกครั้ง เหมือนทุกครั้งที่ได้กลับบ้านมาอย่างปลอดภัย พร้อมปลาจำนวนมากใต้ท้องเรือ
ใช่..มันควรจะเป็นแบบนั้นใช่ไหม ผมควรได้เห็นคุณยืนส่งยิ้มหวาน ชูมือโบกผ้าเช็ดหน้าสีขาวอยู่บนชายหาด แล้ววิ่งเข้ามาโอบกอดผม ความเหนื่อยล้าจากการออกหาปลานานเป็นแรมเดือน คงมลายสิ้นเพราะอ้อมกอดจากคุณ..
ทว่าครั้งนี้แตกต่าง เรือของเราล่องสู่มหาสมุทรไกลออกไปมากขึ้นกว่าทุกครั้ง เพราะจำนวนปลาที่จับได้มันน้อยเหลือเกิน
อาเฉิน กัปตันเรือได้ปรึกษากับทุกคนว่า เราจำเป็นต้องออกเรือไปไกลกว่านี้
ลูกเรือทุกคนเห็นด้วย แต่ผมไม่..ผมเตือนอาเฉินว่า น้ำมันอาจไม่พอที่จะพาเรากลับเข้าฝั่ง ก็อย่างที่คุณรู้ อาเฉินเป็นพวกหัวรั้น หยิ่งทะนง ยอมฟังใครที่ไหนกันล่ะ หนำซ้ำได้ปลามาน้อยนิด อาเฉินคงไม่ยอมกลับเข้าฝั่งง่ายๆแน่
เรือล่องออกมาไกล ไกลยิ่งขึ้น ในคืนท้องฟ้ามืดมิด ดวงดาวเลือนหายไปกับก้อนเมฆดำทะมึน ลมกรรโชกแรงขึ้นจนน่ากลัว เม็ดฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมา ฟ้าคำรามลั่น คลื่นทะเลคลุ้มคลั่งราวอสูรกายร้ายรอเวลาตะครุบเหยื่อ
“กัปตันครับ เสากระโดงเรือกำลังจะหัก ใบเรือก็กำลังจะขาดแล้วครับ ลมแรงเกินไปเราต้านไม่อยู่แน่” ยอด ตะโกนฝ่าสายฝนบอกอาเฉิน
“ดึงใบเรือลง” อาเฉินตะโกนตอบกลับมา ในขณะที่มือง่วนอยู่กับคันบังคับทิศทางเรือ
“กัปตัน! กราบเรืบด้านซ้ายแตกเป็นรูใหญ่แล้วครับ น้ำกำลังทะลักเข้าใต้ท้องเรือ” ผมร้องบอกกัปตัน
และในจังหวะเดียวกันนั้น คลื่นพายุเกรี้ยวกราดซัดโครมปะทะชนเรือส่งร่างผมลื่นไถลไปตามพื้น ศีรษะกระแทกเข้ากับกล่องไม้ โชคดีที่ผมพันผ้าไว้ที่ศีรษะ แรงกระแทกจึงไม่ทำให้บาดเจ็บ แค่มึนหัวนิดๆ
ผมรีบลุกขึ้นเพื่อไปดู
แม็ก ท่าทางเขาจะเจ็บหนักน่าดู เพราะโดนเสากระโดงเรือหักลงมาทับขา ผมกับยอดช่วยกันยกเสาไม้ออกจากตัวแม็ก จึงได้รู้ว่าขาของเขาหักเสียแล้ว แม็กร้องโอดโอยแข่งกับเสียงฟ้าร้อง ฝนลมแรงและคลื่นยักษ์
ขณะเดียวกันนั้น..กัปตันก็ร้องตะโกนสั่งงานแข่งกับเสียงร้องของแม็ก
“ใครก็ได้ รีบไปหาอะไรอุดรูรั่วจะได้ไหม ยืนมองเพื่อนเจ็บไม่ได้ช่วยให้เรือรอดพ้นจากการจมน้ำหรอกนะ ให้ตายเถอะ เรื่องแค่นี้ยังจะให้ฉันบอกพวกแกอีกหรือ”
ผมขันอาสาไปทำงานนี้เอง ปล่อยให้ยอดปฐมพยาบาลแม็กไปก่อน
ผมตัวเปียกโชกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ พื้นลื่น เรือโคลงเคลงไปมา ผมกึ่งวิ่ง กึ่งคลาน กึ่งไถลตัวเพื่อจะรีบไปให้ถึงจุดที่เกิดรอยรั่ว น้ำทะเลทะลักเข้ามาใต้ท้องเรือจนถึงหัวเข่า ผมควานหาสิ่งของทุกอย่างที่พอจะหาได้ในบริเวณนั้น เพื่อนำมาอุดรูรั่ว
แต่ผมรู้ดีว่ายังไงก็คงต้านไม่อยู่แน่ จึงวิ่งกลับขึ้นมาด้านบน แล้วตะโกนบอกทุกคนให้สละเรือซะ
แต่ช้าไป คลื่นใหญ่ยักษ์ซัดโครม ดูดกลืนเรือทั้งลำดำดิ่งสู่ก้นมหาสมุทร
มวลน้ำเย็นเฉียบไหลทะลักเข้าปากผม รู้สึกถึงลมหายใจขาดห้วง ผมจึงพยายามว่ายน้ำตะเกียดตะกายถีบตัวเองให้โผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำให้ได้ และเหมือนมัจจุราชยังไม่ต้องการตัวผม ขอนไม้ขนาดใหญ่ลอยผ่านมา ผมรีบยื่นมือไปคว้าไว้ พาร่างกายที่อ่อนแรงปีนขึ้นไปนอนบนขอนไม้ และกอดมันไว้แน่น
พายุฝนกระหน่ำรุนแรง คลื่นทะเลบ้าคลั่งสุดแสนน่ากลัว ผมพยายามมองหาทุกคนที่เหลือ ตะโกนเรียกชื่อพวกเขาแข่งกับเสียงฟ้าร้อง แต่ไร้ซึ่งวี่แววคนอื่นๆ สุดท้ายจึงทำได้เพียงภาวนาขอให้ทุกคนปลอดภัย ก่อนที่ผมจะหมดสติไป
ผมตื่นมาอีกครั้งบนผืนทรายสีขาว มันคล้ายเป็นเนินเล็กๆที่โผล่ขึ้นมา มีน้ำทะเลตื้นเขินล้อมรอบเนินเล็กๆแห่งนี้
และไม่เพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่อยู่บนเนินทราย ยังมีสิ่งของมากมายกองเกลื่อนกลาด ไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็น โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้หนังสือ กระเป๋าเดินสีชมพูใบใหญ่ หมวกแก๊ป ปืน ตะกร้าหวาย กล่องไม้ เครื่องพิมพ์ดีด หนังสือกองใหญ่
ผมคิดว่าสิ่งของเหล่านี้คงมาจากเรือที่แตกกลางมหาสมุทร ทุกอย่างล้วนถูกคลื่นซัดมารวมกันอยู่ที่เนินทรายแห่งนี้ รวมถึงตัวผมด้วย
สายตาผมเหลือบไปมองเห็นทองคำแท่งที่กองอยู่ใต้น้ำทะเลตื้นๆ ผมว่ามันมีมากพอที่จะทำให้เราสบายไปทั้งชาติโดยไม่ต้องทำงาน
ผมปรารถนาในทองคำแท่งเหล่านั้น ถ้าสามารถนำกลับบ้านไปได้ คุณจะไม่ต้องลำบากไปทำงานล้างจานที่ร้านเหล้าเส็งเคร็งนั่นอีก ผมอยากให้คุณมีชีวิตที่สุขสบาย..แอนที่รักของผม
ผมคลานอย่างไร้เรี่ยวแรงเพื่อไปให้ถึงทองคำเหล่านั้น มือคว้าเอากระป๋าเดินทางสีชมพูใบใหญ่ติดมือไปด้วยเพื่อจะนำมาใส่ทอง
ทว่าเสียงเด็กน้อยคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ผมหยุดการกระทำดังกล่าว
“คุณจะทำอะไรน่ะ”
ผมหันไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียง เห็นเด็กผู้หญิงผมหยิกสีทองปะบ่า ใส่เสื้อแขนยาวสีขาว กระโปรงสีเดียวกับเสื้อยาวจนถึงตาตุ่ม ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ดวงตากลมโตสวย แต่แววตาเธอดุเอาเรื่องน่าดู
“จะขึ้นจากน้ำ” ผมตอบเธอ
“ถ้าคุณจะขึ้นจากน้ำ คุณต้องคลานมาทางหนูสิ คุณกำลังจะไปเอาทองมากกว่า”
“ทองคำพวกนั่น ไม่ใช่ของใคร ฉันจะไปเอาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” ผมต่อคำกับเด็กหญิง จนลืมไปเลยว่ายังไม่ถามเลยที่นี่ที่ไหน ผมเห็นทองคำสำคัญกว่าชีวิตตัวเอง แอนคุณคงไม่ต่อว่าผมนะ
“ใครว่าไม่ใช่ของใคร สิ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง บนเกาะแห่งนี้เป็นของมาจา หากคุณต้องการอะไรบนเกาะแห่งนี้ คุณต้องไปขอมาจาเสียก่อน และถ้ามาจาไม่อนุญาตคุณก็ไม่มีสิทธิ์เอาของสิ่งนั้นไป”
เด็กหญิงตอบผมมายาวเหยียด
“ที่นี่ ที่ไหน” ผมถามเธอด้วยใบหน้างุนงง ใช่... ผมพอจะนึกหน้าตัวเองออกว่ามีความมึนงงมากแค่ไหนกับคำบอกเล่าของเด็กหญิงตรงหน้า
“ที่ๆคุณนั่งอยู่คือสันดอนค่ะ”
“ฉันรู้แล้วน่า ว่าที่ตรงนี้คือสันดอน ฉันต้องการรู้ว่า ที่นี่ .. ที่ที่เธออยู่..เกาะแห่งนี่น่ะมันคือที่ไหนกัน” ผมเริ่มหัวเสีย คุณคงคิดว่าผมไม่น่ารักแน่ๆที่มาอารมณ์ร้ายใส่เด็กหญิงใบหน้าจิ้มลิ้ม
“ที่นี่คือ เกาะพิศวง ค่ะ เป็นเกาะที่ไม่มีในแผนที่ เราทุกคนที่มาอยู่บนเกาะแห่งนี้ต่างประสบเหตุเรือแตก ทุกคนมารวมตัวกันแล้วตั้งหมู่บ้านบนเกาะแห่งนี้ขึ้นมาค่ะ”
“แสดงว่ายังมีคนอื่นๆอยู่ที่นี่”
“มีค่ะ”
ผมเริ่มมองเห็นความหวังที่จะหาทางกลับบ้าน ต้องมีใครสักคนช่วยได้แน่ๆ หรืออาจมีเรือบนเกาะแห่งนี้
ผมลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินไปหาเธอ
“หยุดอยู่ตรงนั่นก่อนค่ะ” เด็กหญิงยกมือห้ามผมไว้
“ฉันต้องขึ้นจากน้ำ ฉันอยู่ในน้ำนานเกินไปแล้ว”
“คุณยังออกมาจากสันดอนไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ ฉันก็เป็นคนเรือแตก และต้องการความช่วยเหลือ”
“
คุณต้องได้รับอนุญาตจากมาจาก่อนค่ะ ถ้ามาจาอนุญาตให้คุณอยู่บนเกาะนี้ได้ คุณถึงจะขึ้นมาได้ แต่ถ้ามาจาไม่อนุญาต คุณก็ต้องอยู่บนสันดอนนี้ต่อไป และถ้าหากคุณพยายามขึ้นมาบนเกาะ คุณจะถูกลงโทษด้วยการจับโยนลงทะเล”
เด็กหญิงพูดมายาวเยียดอีกครั้ง และครั้งนี้ยิ่งทำให้ผมสับสนมึนงงกับสิ่งที่เธอบอกมา ถ้ามีคนอยู่บนเกาะ ผมก็สมควรได้รับความช่วยเหลือมิใช่หรือ
มันบ้ามากถ้าต้องโยนคนเรือแตกกลับลงไปทะเลอีกครั้ง
“มาจาเป็นใคร” ผมจำต้องถาม คุณเองก็คงอยากรู้เหมือนกันใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร
“
มาจาเป็นผู้นำที่นี่ค่ะ เราทุกคนเชื่อฟังเขา เขาเป็นผู้นำที่ดี และ เอ่อ..มีเมตตา”
“แล้วฉันจะพบมาจาได้ยังไง”
“เดี๋ยวหนูไปตามมาจามาเองค่ะ คุณต้องรออยู่ตรงนั้นนะ ห้ามขึ้นมาบนเกาะเด็ดขาด หนูไม่อยากให้คุณถูกโยนลงทะเล”
ให้ตายเถอะ คุณต้องไม่เชื่อผมแน่ ว่าผมทำตามที่เด็กน้อยสั่ง ผมยืนนิ่งจนขาชาบนสันดอน โดยไม่กล้าเดินขึ้นมาบนเกาะ อย่างมากผมก็แค่เดินไปลากเก้าอี้ไม้ที่วางตะแคงอยู่ข้างๆตู้หนังสือ จับมันตั้งให้เข้าที่แล้วนั่งรอมาจา
ถ้าคุณมาเห็นผมในสภาพนี้ รับประกันได้เลยว่าคุณต้องหัวเราะผมสามวันสามคืนแน่ๆ
ผมอยู่ห่างจากพื้นทรายแห้งๆแค่ไม่กี่ก้าว แต่จำต้องเลือกทำตามกฎของคนบนเกาะ ผมยังไม่อยากถูกโยนลงทะเล และยังหวังว่าจะต้องหาทางกลับไปหาคุณให้ได้
ผมนั่งรออย่างสงบนิ่ง นึกถึง อาเฉิน แม็ก และยอด ไม่รู้สามคนนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จะรอดชีวิตมาอย่างผมหรือเปล่า หวังเหลือเกินขอให้พวกเขารอดจากพายุร้าย
การรอคอยสิ้นสุด เมื่อเด็กหญิงเดินตรงมาทางผมพร้อมคนจำนวนหนึ่ง เป็นผู้ชายห้าคน ผู้หญิงอีกสามคน ทุกคนล้วนใส่เสื้อผ้าอาภรณ์แบบเดียวกับเด็กผู้หญิงที่ผมเจอคนแรก
“นี่ค่ะมาจา” เด็กหญิงแนะนำให้ผมรู้จักผู้นำของเกาะ
เธอผายมือไปที่ผู้ชายรูปร่างเตี้ย ไม่ใช่สิ..ผมว่าเขาเป็นคนแคระมากกว่า ไว้หนวดเครายาวจนเกือบถึงหน้าอก ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวรังนก
เขาพยายามฉีกปากออกเผยให้เห็นฟันดำ หรือที่ทุกคนบนเกาะคิดว่าเขากำลังยิ้มกระมัง ผมจึงพยายามฉีกปากออกเผยให้ฟันเช่นกัน หรือว่าผมต้องเอ่ยทักทายเขาก่อนดี ในใจผมกำลังคิดคำนวณ แต่ก็คงช้าไป มาจาเอ่ยทักทายผมมาก่อน
“สวัสดีคนเรือแตก คุณชื่ออะไร”
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้และตอบรับคำทักทาย
“สวัสดีมาจาผู้นำเกาะ ผมชื่อเรย์ และผมต้องการต้องขึ้นไปบนเกาะที่คุณปกครองอยู่ คุณจะให้ผมอยู่ด้วยได้หรือไม่” ผมพูดเข้าประเด็นทันที เพราะไม่อยากยืนอยู่บนสันดอนนานกว่านี้แล้ว
มาจาเดินมาข้างหน้าสองก้าว และผู้ที่ติดตาม เดินมาประกบมาจาไม่ห่าง
“การได้ช่วยเหลือคนเรือแตกถือเป็นเรื่องดีสำหรับเรา” มาจาเอ่ย
“แต่นานหลายปีแล้วนะที่เราไม่เคยเจอ หรือรับคนเรือแตกเข้ามาอยู่บนเกาะของเรา คุณควรคิดให้ดีนะมาจา”
ผู้ชายรูปสูงใหญ่กว่ามาจาหลายเท่าพูดขึ้น หน้าใบแสดงถึงความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย ที่เจอคนเรือแตกอย่างผม ผมมารู้ภายหลังว่านายคนนี้ชื่อ
ไซม่อน
“เขาอาจเข้ามาสร้างความเสียหายให้เกาะเราก็ได้ เราควรโยนเขาลงทะเลไปซะ” ชายสูงวัยที่ยืนอยู่หลังมาจาพูดขึ้นบ้าง ผมมารู้ภายหลังว่าคนนี้ชื่อ
วิล
และคนอื่นๆอีกหลายคนก็พลอยเห็นดีเห็นงามกับความคิดวิล ทุกคนต่างตะโกนว่า
"โยนลงทะเล โยนลงทะเล...."
และในระหว่างที่พวกชาวเกาะพิศวงกำลังปรึกษาหารือกัน ผมเมื่อยขาเหลือเกินแอนที่รัก ผมเลยหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อีกครั้ง รอพวกเขาตกลงกันให้เสร็จ
“แต่การกระทำอะไรโดยไร้เมตตา ไม่ใช่วิถีของชาวเราบนเกาะพิศวง การโยนคนเรือแตกกลับลงทะเลอีกครั้งถือเป็นเรื่องอันโหดร้ายขัดต่อวิถีของเรา”
ชายที่ยืนถัดจากวิลพูดขึ้น ผมใจชื่นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยยังมีคนใจดีมีเมตตาหลุดมาคนหนึ่ง ชายคนนี้ชื่อ
อานนท์
(มีต่อครับ)
🌴🦅🌴THE GLOVES FINAL 2018 #3 ถุงมือเรื่องสั้น คู่ที่ 3 ถม."Robinson Crusoe"+ ถม."Cast Away" ตอน "ปล่อย"🌴🦅🌴
แล้วก็มาถึง ถุงมือเรื่องสั้น คู่ที่ 3 ครับ คู่นี้ คนแต่งก่อน จัดเต็ม และจัดหนัก! เล่นเอาคนแต่งต่อเกือบท้อเลยทีเดียว แต่แล้วก็ฮึดสู้ แต่งต่อจนจบจนได้
เรื่องเริ่มต้นเป็นบันทึกเหมือนไดอารี่จดหมายของชายคนหนึ่งซึ่งเขียนถึงภรรยาสุดที่รักว่า เขาแล่นเรือออกไปหาปลากลางทะเลกับบรรดาลูกเรือ แล้วโชคร้ายเจอพายุ เรืออัปปาง ตัวเองเกือบจมน้ำตาย แต่เขายังไม่ถึงฆาต เกาะเศษไม้ไปติดเกาะแห่งหนึ่งซึ่งดันเป็นเกาะลึกลับไม่มีอยู่ในแผนที่ อุตส่าห์รอดตาย แต่พอจะขึ้นฝั่งกลับมีเด็กหญิงคนหนึ่งมาห้ามไม่ให้ขึ้นโดยให้เหตุผลว่าต้องได้รับอนุญาตจาก "ผู้นำของเกาะ" เสียก่อนเท่านั้น ครั้นผู้นำของเกาะหรือ "เจ้าเกาะ" มาถึงชายหาดพร้อมกับคนอื่นๆบนเกาะแล้ว เขาก็เอ่ยปากขอขึ้นฝั่งและขออยู่ด้วย แต่ชาวเกาะหลายคนเรียกร้องให้โยนเขาลงทะเลไปเสียโดยบอกว่าเขาอาจสร้างความเสียหาย...
เรื่องราวจะเป็นไปอย่างไร ติดตามอ่านกันอย่างอดทนและใจเย็นหน่อยนะครับ เพราะเรื่องนี้ ยาวมาก! อาจจะเป็นเรื่องสั้นที่ยาวที่สุดในเกม THE GLOVES FINAL 2018 นี้ครับผม
จบแล้ว มอบเกรดให้แก่ผู้เริ่มแต่งคนขยัน และผู้แต่งต่อซึ่งอึดอดทนจนเรื่องจบ
จากนั้น ค่อยเฟ้นหากัน ว่าทั้งสองคน คือใคร กับใคร....
ถึง ...แอนที่รัก
หากคุณได้รับจดหมายฉบับนี้ แสดงว่าผมได้จากโลกนี้ไปแล้ว หรือยังหาทางกลับบ้านไม่ได้ ผมเสียใจที่ต้องแจ้งข่าวร้ายกับคุณ เสียใจที่ไม่อาจทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับคุณ ผมรักคุณที่รัก รักมากเหลือเกิน
ผมคิดว่าการออกหาปลาครั้งนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น เหมือนทุกครั้ง เหมือนทุกครั้งที่ได้กลับบ้านมาอย่างปลอดภัย พร้อมปลาจำนวนมากใต้ท้องเรือ
ใช่..มันควรจะเป็นแบบนั้นใช่ไหม ผมควรได้เห็นคุณยืนส่งยิ้มหวาน ชูมือโบกผ้าเช็ดหน้าสีขาวอยู่บนชายหาด แล้ววิ่งเข้ามาโอบกอดผม ความเหนื่อยล้าจากการออกหาปลานานเป็นแรมเดือน คงมลายสิ้นเพราะอ้อมกอดจากคุณ..
ทว่าครั้งนี้แตกต่าง เรือของเราล่องสู่มหาสมุทรไกลออกไปมากขึ้นกว่าทุกครั้ง เพราะจำนวนปลาที่จับได้มันน้อยเหลือเกิน อาเฉิน กัปตันเรือได้ปรึกษากับทุกคนว่า เราจำเป็นต้องออกเรือไปไกลกว่านี้
ลูกเรือทุกคนเห็นด้วย แต่ผมไม่..ผมเตือนอาเฉินว่า น้ำมันอาจไม่พอที่จะพาเรากลับเข้าฝั่ง ก็อย่างที่คุณรู้ อาเฉินเป็นพวกหัวรั้น หยิ่งทะนง ยอมฟังใครที่ไหนกันล่ะ หนำซ้ำได้ปลามาน้อยนิด อาเฉินคงไม่ยอมกลับเข้าฝั่งง่ายๆแน่
เรือล่องออกมาไกล ไกลยิ่งขึ้น ในคืนท้องฟ้ามืดมิด ดวงดาวเลือนหายไปกับก้อนเมฆดำทะมึน ลมกรรโชกแรงขึ้นจนน่ากลัว เม็ดฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมา ฟ้าคำรามลั่น คลื่นทะเลคลุ้มคลั่งราวอสูรกายร้ายรอเวลาตะครุบเหยื่อ
“กัปตันครับ เสากระโดงเรือกำลังจะหัก ใบเรือก็กำลังจะขาดแล้วครับ ลมแรงเกินไปเราต้านไม่อยู่แน่” ยอด ตะโกนฝ่าสายฝนบอกอาเฉิน
“ดึงใบเรือลง” อาเฉินตะโกนตอบกลับมา ในขณะที่มือง่วนอยู่กับคันบังคับทิศทางเรือ
“กัปตัน! กราบเรืบด้านซ้ายแตกเป็นรูใหญ่แล้วครับ น้ำกำลังทะลักเข้าใต้ท้องเรือ” ผมร้องบอกกัปตัน
และในจังหวะเดียวกันนั้น คลื่นพายุเกรี้ยวกราดซัดโครมปะทะชนเรือส่งร่างผมลื่นไถลไปตามพื้น ศีรษะกระแทกเข้ากับกล่องไม้ โชคดีที่ผมพันผ้าไว้ที่ศีรษะ แรงกระแทกจึงไม่ทำให้บาดเจ็บ แค่มึนหัวนิดๆ
ผมรีบลุกขึ้นเพื่อไปดู แม็ก ท่าทางเขาจะเจ็บหนักน่าดู เพราะโดนเสากระโดงเรือหักลงมาทับขา ผมกับยอดช่วยกันยกเสาไม้ออกจากตัวแม็ก จึงได้รู้ว่าขาของเขาหักเสียแล้ว แม็กร้องโอดโอยแข่งกับเสียงฟ้าร้อง ฝนลมแรงและคลื่นยักษ์
ขณะเดียวกันนั้น..กัปตันก็ร้องตะโกนสั่งงานแข่งกับเสียงร้องของแม็ก
“ใครก็ได้ รีบไปหาอะไรอุดรูรั่วจะได้ไหม ยืนมองเพื่อนเจ็บไม่ได้ช่วยให้เรือรอดพ้นจากการจมน้ำหรอกนะ ให้ตายเถอะ เรื่องแค่นี้ยังจะให้ฉันบอกพวกแกอีกหรือ”
ผมขันอาสาไปทำงานนี้เอง ปล่อยให้ยอดปฐมพยาบาลแม็กไปก่อน
ผมตัวเปียกโชกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ พื้นลื่น เรือโคลงเคลงไปมา ผมกึ่งวิ่ง กึ่งคลาน กึ่งไถลตัวเพื่อจะรีบไปให้ถึงจุดที่เกิดรอยรั่ว น้ำทะเลทะลักเข้ามาใต้ท้องเรือจนถึงหัวเข่า ผมควานหาสิ่งของทุกอย่างที่พอจะหาได้ในบริเวณนั้น เพื่อนำมาอุดรูรั่ว
แต่ผมรู้ดีว่ายังไงก็คงต้านไม่อยู่แน่ จึงวิ่งกลับขึ้นมาด้านบน แล้วตะโกนบอกทุกคนให้สละเรือซะ แต่ช้าไป คลื่นใหญ่ยักษ์ซัดโครม ดูดกลืนเรือทั้งลำดำดิ่งสู่ก้นมหาสมุทร
มวลน้ำเย็นเฉียบไหลทะลักเข้าปากผม รู้สึกถึงลมหายใจขาดห้วง ผมจึงพยายามว่ายน้ำตะเกียดตะกายถีบตัวเองให้โผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำให้ได้ และเหมือนมัจจุราชยังไม่ต้องการตัวผม ขอนไม้ขนาดใหญ่ลอยผ่านมา ผมรีบยื่นมือไปคว้าไว้ พาร่างกายที่อ่อนแรงปีนขึ้นไปนอนบนขอนไม้ และกอดมันไว้แน่น
พายุฝนกระหน่ำรุนแรง คลื่นทะเลบ้าคลั่งสุดแสนน่ากลัว ผมพยายามมองหาทุกคนที่เหลือ ตะโกนเรียกชื่อพวกเขาแข่งกับเสียงฟ้าร้อง แต่ไร้ซึ่งวี่แววคนอื่นๆ สุดท้ายจึงทำได้เพียงภาวนาขอให้ทุกคนปลอดภัย ก่อนที่ผมจะหมดสติไป
ผมตื่นมาอีกครั้งบนผืนทรายสีขาว มันคล้ายเป็นเนินเล็กๆที่โผล่ขึ้นมา มีน้ำทะเลตื้นเขินล้อมรอบเนินเล็กๆแห่งนี้
และไม่เพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่อยู่บนเนินทราย ยังมีสิ่งของมากมายกองเกลื่อนกลาด ไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็น โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้หนังสือ กระเป๋าเดินสีชมพูใบใหญ่ หมวกแก๊ป ปืน ตะกร้าหวาย กล่องไม้ เครื่องพิมพ์ดีด หนังสือกองใหญ่
ผมคิดว่าสิ่งของเหล่านี้คงมาจากเรือที่แตกกลางมหาสมุทร ทุกอย่างล้วนถูกคลื่นซัดมารวมกันอยู่ที่เนินทรายแห่งนี้ รวมถึงตัวผมด้วย
สายตาผมเหลือบไปมองเห็นทองคำแท่งที่กองอยู่ใต้น้ำทะเลตื้นๆ ผมว่ามันมีมากพอที่จะทำให้เราสบายไปทั้งชาติโดยไม่ต้องทำงาน
ผมปรารถนาในทองคำแท่งเหล่านั้น ถ้าสามารถนำกลับบ้านไปได้ คุณจะไม่ต้องลำบากไปทำงานล้างจานที่ร้านเหล้าเส็งเคร็งนั่นอีก ผมอยากให้คุณมีชีวิตที่สุขสบาย..แอนที่รักของผม
ผมคลานอย่างไร้เรี่ยวแรงเพื่อไปให้ถึงทองคำเหล่านั้น มือคว้าเอากระป๋าเดินทางสีชมพูใบใหญ่ติดมือไปด้วยเพื่อจะนำมาใส่ทอง
ทว่าเสียงเด็กน้อยคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ผมหยุดการกระทำดังกล่าว
“คุณจะทำอะไรน่ะ”
ผมหันไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียง เห็นเด็กผู้หญิงผมหยิกสีทองปะบ่า ใส่เสื้อแขนยาวสีขาว กระโปรงสีเดียวกับเสื้อยาวจนถึงตาตุ่ม ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ดวงตากลมโตสวย แต่แววตาเธอดุเอาเรื่องน่าดู
“จะขึ้นจากน้ำ” ผมตอบเธอ
“ถ้าคุณจะขึ้นจากน้ำ คุณต้องคลานมาทางหนูสิ คุณกำลังจะไปเอาทองมากกว่า”
“ทองคำพวกนั่น ไม่ใช่ของใคร ฉันจะไปเอาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” ผมต่อคำกับเด็กหญิง จนลืมไปเลยว่ายังไม่ถามเลยที่นี่ที่ไหน ผมเห็นทองคำสำคัญกว่าชีวิตตัวเอง แอนคุณคงไม่ต่อว่าผมนะ
“ใครว่าไม่ใช่ของใคร สิ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง บนเกาะแห่งนี้เป็นของมาจา หากคุณต้องการอะไรบนเกาะแห่งนี้ คุณต้องไปขอมาจาเสียก่อน และถ้ามาจาไม่อนุญาตคุณก็ไม่มีสิทธิ์เอาของสิ่งนั้นไป”
เด็กหญิงตอบผมมายาวเหยียด
“ที่นี่ ที่ไหน” ผมถามเธอด้วยใบหน้างุนงง ใช่... ผมพอจะนึกหน้าตัวเองออกว่ามีความมึนงงมากแค่ไหนกับคำบอกเล่าของเด็กหญิงตรงหน้า
“ที่ๆคุณนั่งอยู่คือสันดอนค่ะ”
“ฉันรู้แล้วน่า ว่าที่ตรงนี้คือสันดอน ฉันต้องการรู้ว่า ที่นี่ .. ที่ที่เธออยู่..เกาะแห่งนี่น่ะมันคือที่ไหนกัน” ผมเริ่มหัวเสีย คุณคงคิดว่าผมไม่น่ารักแน่ๆที่มาอารมณ์ร้ายใส่เด็กหญิงใบหน้าจิ้มลิ้ม
“ที่นี่คือ เกาะพิศวง ค่ะ เป็นเกาะที่ไม่มีในแผนที่ เราทุกคนที่มาอยู่บนเกาะแห่งนี้ต่างประสบเหตุเรือแตก ทุกคนมารวมตัวกันแล้วตั้งหมู่บ้านบนเกาะแห่งนี้ขึ้นมาค่ะ”
“แสดงว่ายังมีคนอื่นๆอยู่ที่นี่”
“มีค่ะ”
ผมเริ่มมองเห็นความหวังที่จะหาทางกลับบ้าน ต้องมีใครสักคนช่วยได้แน่ๆ หรืออาจมีเรือบนเกาะแห่งนี้
ผมลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินไปหาเธอ
“หยุดอยู่ตรงนั่นก่อนค่ะ” เด็กหญิงยกมือห้ามผมไว้
“ฉันต้องขึ้นจากน้ำ ฉันอยู่ในน้ำนานเกินไปแล้ว”
“คุณยังออกมาจากสันดอนไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ ฉันก็เป็นคนเรือแตก และต้องการความช่วยเหลือ”
“คุณต้องได้รับอนุญาตจากมาจาก่อนค่ะ ถ้ามาจาอนุญาตให้คุณอยู่บนเกาะนี้ได้ คุณถึงจะขึ้นมาได้ แต่ถ้ามาจาไม่อนุญาต คุณก็ต้องอยู่บนสันดอนนี้ต่อไป และถ้าหากคุณพยายามขึ้นมาบนเกาะ คุณจะถูกลงโทษด้วยการจับโยนลงทะเล”
เด็กหญิงพูดมายาวเยียดอีกครั้ง และครั้งนี้ยิ่งทำให้ผมสับสนมึนงงกับสิ่งที่เธอบอกมา ถ้ามีคนอยู่บนเกาะ ผมก็สมควรได้รับความช่วยเหลือมิใช่หรือ มันบ้ามากถ้าต้องโยนคนเรือแตกกลับลงไปทะเลอีกครั้ง
“มาจาเป็นใคร” ผมจำต้องถาม คุณเองก็คงอยากรู้เหมือนกันใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร
“มาจาเป็นผู้นำที่นี่ค่ะ เราทุกคนเชื่อฟังเขา เขาเป็นผู้นำที่ดี และ เอ่อ..มีเมตตา”
“แล้วฉันจะพบมาจาได้ยังไง”
“เดี๋ยวหนูไปตามมาจามาเองค่ะ คุณต้องรออยู่ตรงนั้นนะ ห้ามขึ้นมาบนเกาะเด็ดขาด หนูไม่อยากให้คุณถูกโยนลงทะเล”
ให้ตายเถอะ คุณต้องไม่เชื่อผมแน่ ว่าผมทำตามที่เด็กน้อยสั่ง ผมยืนนิ่งจนขาชาบนสันดอน โดยไม่กล้าเดินขึ้นมาบนเกาะ อย่างมากผมก็แค่เดินไปลากเก้าอี้ไม้ที่วางตะแคงอยู่ข้างๆตู้หนังสือ จับมันตั้งให้เข้าที่แล้วนั่งรอมาจา
ถ้าคุณมาเห็นผมในสภาพนี้ รับประกันได้เลยว่าคุณต้องหัวเราะผมสามวันสามคืนแน่ๆ
ผมอยู่ห่างจากพื้นทรายแห้งๆแค่ไม่กี่ก้าว แต่จำต้องเลือกทำตามกฎของคนบนเกาะ ผมยังไม่อยากถูกโยนลงทะเล และยังหวังว่าจะต้องหาทางกลับไปหาคุณให้ได้
ผมนั่งรออย่างสงบนิ่ง นึกถึง อาเฉิน แม็ก และยอด ไม่รู้สามคนนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จะรอดชีวิตมาอย่างผมหรือเปล่า หวังเหลือเกินขอให้พวกเขารอดจากพายุร้าย
การรอคอยสิ้นสุด เมื่อเด็กหญิงเดินตรงมาทางผมพร้อมคนจำนวนหนึ่ง เป็นผู้ชายห้าคน ผู้หญิงอีกสามคน ทุกคนล้วนใส่เสื้อผ้าอาภรณ์แบบเดียวกับเด็กผู้หญิงที่ผมเจอคนแรก
“นี่ค่ะมาจา” เด็กหญิงแนะนำให้ผมรู้จักผู้นำของเกาะ เธอผายมือไปที่ผู้ชายรูปร่างเตี้ย ไม่ใช่สิ..ผมว่าเขาเป็นคนแคระมากกว่า ไว้หนวดเครายาวจนเกือบถึงหน้าอก ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวรังนก
เขาพยายามฉีกปากออกเผยให้เห็นฟันดำ หรือที่ทุกคนบนเกาะคิดว่าเขากำลังยิ้มกระมัง ผมจึงพยายามฉีกปากออกเผยให้ฟันเช่นกัน หรือว่าผมต้องเอ่ยทักทายเขาก่อนดี ในใจผมกำลังคิดคำนวณ แต่ก็คงช้าไป มาจาเอ่ยทักทายผมมาก่อน
“สวัสดีคนเรือแตก คุณชื่ออะไร”
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้และตอบรับคำทักทาย
“สวัสดีมาจาผู้นำเกาะ ผมชื่อเรย์ และผมต้องการต้องขึ้นไปบนเกาะที่คุณปกครองอยู่ คุณจะให้ผมอยู่ด้วยได้หรือไม่” ผมพูดเข้าประเด็นทันที เพราะไม่อยากยืนอยู่บนสันดอนนานกว่านี้แล้ว
มาจาเดินมาข้างหน้าสองก้าว และผู้ที่ติดตาม เดินมาประกบมาจาไม่ห่าง
“การได้ช่วยเหลือคนเรือแตกถือเป็นเรื่องดีสำหรับเรา” มาจาเอ่ย
“แต่นานหลายปีแล้วนะที่เราไม่เคยเจอ หรือรับคนเรือแตกเข้ามาอยู่บนเกาะของเรา คุณควรคิดให้ดีนะมาจา”
ผู้ชายรูปสูงใหญ่กว่ามาจาหลายเท่าพูดขึ้น หน้าใบแสดงถึงความไม่พอใจอยู่ไม่น้อย ที่เจอคนเรือแตกอย่างผม ผมมารู้ภายหลังว่านายคนนี้ชื่อ ไซม่อน
“เขาอาจเข้ามาสร้างความเสียหายให้เกาะเราก็ได้ เราควรโยนเขาลงทะเลไปซะ” ชายสูงวัยที่ยืนอยู่หลังมาจาพูดขึ้นบ้าง ผมมารู้ภายหลังว่าคนนี้ชื่อ วิล
และคนอื่นๆอีกหลายคนก็พลอยเห็นดีเห็นงามกับความคิดวิล ทุกคนต่างตะโกนว่า
"โยนลงทะเล โยนลงทะเล...."
และในระหว่างที่พวกชาวเกาะพิศวงกำลังปรึกษาหารือกัน ผมเมื่อยขาเหลือเกินแอนที่รัก ผมเลยหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อีกครั้ง รอพวกเขาตกลงกันให้เสร็จ
“แต่การกระทำอะไรโดยไร้เมตตา ไม่ใช่วิถีของชาวเราบนเกาะพิศวง การโยนคนเรือแตกกลับลงทะเลอีกครั้งถือเป็นเรื่องอันโหดร้ายขัดต่อวิถีของเรา”
ชายที่ยืนถัดจากวิลพูดขึ้น ผมใจชื่นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยยังมีคนใจดีมีเมตตาหลุดมาคนหนึ่ง ชายคนนี้ชื่อ อานนท์
(มีต่อครับ)