การมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ มันมีบางจุดที่เราน่าจะมาพิจารณาความเป็นไปในแต่ละวันอย่างลึกซึ้งกันบ้างนะครับ
อย่างเรื่องพื่นๆ เช่น การกิน การดื่ม การอาบน้ำ การเดินทาง หรือการสื่อสารระหว่างมนุษย์
เดิมทีเรื่องพวกนี้ผมเคยมีฐานคิดว่า มันเกิดมาเพราะวิวัฒนาการ วิทยาการของความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น การปรุงสุก การกรองน้ำ การผลิตสบู่ ไฟฟ้า สาธารณูปโภค การสร้างเครื่องจักรกล การสร้างฐานข้อมูลแบบดิจิตอล ตอนนี้น่าจะเป็นยุค 5จี 6จี อะไรแบบนั้น
แน่นอนว่าของพวกนี้โดยพื้นฐาน มันเป็นภูมิปัญญาของมนุษย์แต่เดิมในยุคก่อน เราไม่จำเป็นต้องรำลึกบุญคุณของมนุษย์คนแรกที่คิดเอาข้าวไปปลูกบนดินจนมันงอกต้นกล้าออกมา เราก็ยังกินข้าวอร่อย ถ้าเราคิดในแง่มนุษย์นิยม เราคือผลพวงของการทรงภูมิของสิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลกใบนี้ (ฟังดูอหังการ์มากๆ เลย)
แต่มีแวบนึงที่เราคิดว่า หรือจริงๆ แล้ว เราควรมีชีวิตด้วยความอ่อนน้อม ควรขอบคุณทุกสิ่งอย่างที่เราได้รับ สิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตไปทุกๆ วัน สิ่งที่ทำให้เราดำรงอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย แต่แน่นอนว่า เราคงไม่มานั่งคิดขอบคุณตอนเราแชทไลน์ ว่าช่างดีจังที่ชีวิตนี้มีคนดลบันดาลเครือข่ายทางสังคมบนเครื่องมือสะดวกพกพาแบบมือถือมาให้กันใช่ไหมล่ะครับ
พอคิดไปเรื่อยเปื่อย ก็ค้นพบว่า หรืออาจจะเป็นอำนาจของผู้ที่อยู่เหนือความเข้าใจเราไปอีก เป็นอำนาจที่ใกล้เคียงกับพระเจ้าในศาสนาคริสต์ คือมีพลังอำนาจที่ผู้สร้าง มีประสงค์บางอย่างที่เราได้เป็น อยู่ บนโลกใบนี้ ผมเคยดูสารคดีฝรั่งเรื่องหนึ่ง ที่ตั้งธงว่า โลกที่เป็นอยู่ในกาแลคซี่นี้อุบัติขึ้นอย่างซับซ้อนและปราณีตที่สุด ในระยะที่ห่างพอดีกับแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดฤดูกาล ความหลากหลายของมวลสิ่งมีชีวิต กระแสน้ำ ความร้อนที่พอเหมาะพอดี ที่หากมากหรือน้อยไปกว่านี้ โลกก็คงไม่ดำรงอยู่ให้เรามีชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้
แม้แต่ร่างกายเราก็ถูกกอปรขึ้นมาด้วยความสลับซับซ้อน ระบบหายใจ ระบบเลือด ในแบบที่มนุษย์ทั่วไปที่มีสติปัญญายังไม่อาจเข้าใจความซับซ้อนในระดับนั้นได้
มันจึงเป็นไปได้ที่บนโลกใบนี้ มันอาจจะมีพลังอำนาจบางอย่างที่เหนือตัวเราขึ้นไปอีกที ให้โอกาสเราได้ใช้ชีวิต เราไม่ได้เกิดมาอย่างลอยๆ แต่มีเป้าประสงค์บางอย่าง (ที่อาจยังไม่ถึงขั้นไปทางเข้าอยู่กับพระเจ้าก็ได้) แต่เบื้องต้น ถ้าหากเราคิดดูถึงความยิ่งใหญ่ที่รายล้อมตัวเรา เราน่าจะขอบคุณสิ่งที่เกิดรอบตัวเรา ณ เวลานี้บ้างน่ะครับ เหมือนผมเคยรู้สึกว่า ขอบคุณที่โลกนี้มีสบู่ให้อาบน้ำชำระล้างร่างกาย ทั้งที่บางทีเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเรากำลังขอบคุณใคร แต่การได้รู้ว่าตัวเองดำรงอยู่ได้ เพราะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเป็นปัจจัยให้เราดำรงอยู่ทุกวันนี้ได้ มันทำให้เราลดความอหังการ์ในตัวเองลง
เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เคยรู้สึกว่าเราดำรงอยู่ได้ เพราะอำนาจบางอย่างที่อยู่เหนือกว่าเรา ควบคุมความเป็นไปบ้างไหมครับ
อย่างเรื่องพื่นๆ เช่น การกิน การดื่ม การอาบน้ำ การเดินทาง หรือการสื่อสารระหว่างมนุษย์
เดิมทีเรื่องพวกนี้ผมเคยมีฐานคิดว่า มันเกิดมาเพราะวิวัฒนาการ วิทยาการของความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น การปรุงสุก การกรองน้ำ การผลิตสบู่ ไฟฟ้า สาธารณูปโภค การสร้างเครื่องจักรกล การสร้างฐานข้อมูลแบบดิจิตอล ตอนนี้น่าจะเป็นยุค 5จี 6จี อะไรแบบนั้น
แน่นอนว่าของพวกนี้โดยพื้นฐาน มันเป็นภูมิปัญญาของมนุษย์แต่เดิมในยุคก่อน เราไม่จำเป็นต้องรำลึกบุญคุณของมนุษย์คนแรกที่คิดเอาข้าวไปปลูกบนดินจนมันงอกต้นกล้าออกมา เราก็ยังกินข้าวอร่อย ถ้าเราคิดในแง่มนุษย์นิยม เราคือผลพวงของการทรงภูมิของสิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลกใบนี้ (ฟังดูอหังการ์มากๆ เลย)
แต่มีแวบนึงที่เราคิดว่า หรือจริงๆ แล้ว เราควรมีชีวิตด้วยความอ่อนน้อม ควรขอบคุณทุกสิ่งอย่างที่เราได้รับ สิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตไปทุกๆ วัน สิ่งที่ทำให้เราดำรงอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย แต่แน่นอนว่า เราคงไม่มานั่งคิดขอบคุณตอนเราแชทไลน์ ว่าช่างดีจังที่ชีวิตนี้มีคนดลบันดาลเครือข่ายทางสังคมบนเครื่องมือสะดวกพกพาแบบมือถือมาให้กันใช่ไหมล่ะครับ
พอคิดไปเรื่อยเปื่อย ก็ค้นพบว่า หรืออาจจะเป็นอำนาจของผู้ที่อยู่เหนือความเข้าใจเราไปอีก เป็นอำนาจที่ใกล้เคียงกับพระเจ้าในศาสนาคริสต์ คือมีพลังอำนาจที่ผู้สร้าง มีประสงค์บางอย่างที่เราได้เป็น อยู่ บนโลกใบนี้ ผมเคยดูสารคดีฝรั่งเรื่องหนึ่ง ที่ตั้งธงว่า โลกที่เป็นอยู่ในกาแลคซี่นี้อุบัติขึ้นอย่างซับซ้อนและปราณีตที่สุด ในระยะที่ห่างพอดีกับแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดฤดูกาล ความหลากหลายของมวลสิ่งมีชีวิต กระแสน้ำ ความร้อนที่พอเหมาะพอดี ที่หากมากหรือน้อยไปกว่านี้ โลกก็คงไม่ดำรงอยู่ให้เรามีชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้
แม้แต่ร่างกายเราก็ถูกกอปรขึ้นมาด้วยความสลับซับซ้อน ระบบหายใจ ระบบเลือด ในแบบที่มนุษย์ทั่วไปที่มีสติปัญญายังไม่อาจเข้าใจความซับซ้อนในระดับนั้นได้
มันจึงเป็นไปได้ที่บนโลกใบนี้ มันอาจจะมีพลังอำนาจบางอย่างที่เหนือตัวเราขึ้นไปอีกที ให้โอกาสเราได้ใช้ชีวิต เราไม่ได้เกิดมาอย่างลอยๆ แต่มีเป้าประสงค์บางอย่าง (ที่อาจยังไม่ถึงขั้นไปทางเข้าอยู่กับพระเจ้าก็ได้) แต่เบื้องต้น ถ้าหากเราคิดดูถึงความยิ่งใหญ่ที่รายล้อมตัวเรา เราน่าจะขอบคุณสิ่งที่เกิดรอบตัวเรา ณ เวลานี้บ้างน่ะครับ เหมือนผมเคยรู้สึกว่า ขอบคุณที่โลกนี้มีสบู่ให้อาบน้ำชำระล้างร่างกาย ทั้งที่บางทีเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเรากำลังขอบคุณใคร แต่การได้รู้ว่าตัวเองดำรงอยู่ได้ เพราะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเป็นปัจจัยให้เราดำรงอยู่ทุกวันนี้ได้ มันทำให้เราลดความอหังการ์ในตัวเองลง