นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง

กระทู้สนทนา
วันนี้วันพระ จะขอนำเรื่องราวๆดีเกี่ยวกับพระนิพพานมาฝากเพื่อเป็นธรรมทาน (พิจารณากันตามอัธยาศัยครับ )



       ท่านสาธุชนทั้งหลาย   สำหรับวันนี้อาตมา  ขอนำบรรดาท่านพุทธบริษัทไปเที่ยวพระนิพพานกันใหม่  คำว่าพระนิพพานมีสภาพดับ #นิพพานะ    เขาแปลว่า  #ดับ.

       ที่นี่เรื่องของนิพพานนี่มีเรื่องที่น่าสงสัย  ตามที่อาตมาเองก็เคยสงสัยและเข้าใจมาก่อน  ว่าพระนิพพานเป็นสภาพสูญ.

       โดยยึดพระบาลีว่า...

        " นิพพานัง  ปรมัง  สุญญัง. "

        ความจริงคำนี้เป็นภาษาบาลี  แปลเป็นใจความว่า...

        " #นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง. "

       ทีนี้คำว่าว่างอย่างยิ่ง  ในที่นี้ท่านหมายความว่า...

        " ว่างจากกิเลส ว่างจากทุกข์  ขึ้นชื่อว่าความทุกข์ใดๆ   แม้แต่นิดหนึ่งไม่มีในพระนิพพาน. "

       นี่จึงชื่อว่าพระนิพพานเป็นสภาวะว่าง  และก็ว่างจากกิจธุระใดๆ ทั้งหมด  ที่จะทำตนให้มีความสุขยิ่งไปกว่านั้นไม่มีอีกแล้ว.  

       กิจของบุคคลเราที่มีอยู่  ก็อาศัยความสุขเป็นปัจจัย การทำทุกอย่าง เราทำเพื่อความสุข  ไม่ใช่ทำเพื่อความทุกข์.

       แต่ที่ยอมทุกข์ก็เพื่อหวังความสุข  เป็นเครื่องตอบสนอง       แต่ว่าโลกียสุขมีความสุขที่ไม่แน่นอน.

       กล่าวคือ หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้  เมื่อได้มาแล้วก็เป็นปัจจัยของความทุกข์สืบไป.   

       สำหรับพระนิพพาน  ไม่ใช่อย่างนั้น...   

       " พระนิพพานถึงขั้นบรมสุข    กล่าวคือ เป็นสุขอย่างยิ่ง   สุขอย่างยอด  ไม่มีสุขอื่นยิ่งไปกว่า. "

       เรามาดูมุมของพระนิพพาน  อีกอันหนึ่ง...

       " นิพพานัง  ปรมังสุขัง " นี่ถ้าเราเข้าใจกันว่า  พระนิพพานมีสภาพสูญแล้วนี่   อะไรมันจะเป็นสุข.

       หมายความว่า...ไม่มีภพ  ไม่มีแดน   เป็นที่เกิด  มีอะไรเป็นสุข  ถ้าจะกล่าวว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่า ...

       " คนเข้าถึงพระนิพพานแล้วไม่เกิด  นั่นก็หมายความว่า  ไม่เกิดมาเป็นทาสของกิเลสและตัณหา. "  ไม่เกิดในแดนยุ่งนี่ต่างหาก.

       เอาล่ะ เรามาว่ากันถึงพระนิพพานกันต่อไป  อาตมาก็บอกแล้วว่า  สมัยที่เรียนมาก็ดี  เป็นนักเทศน์ก็ดี  ก็เรียนผิด  เป็นนักเทศน์ผิดตลอดมา.  

       คำว่า #ผิด ในที่นี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าสอนผิด  หรือว่าพระอรหันต์ท่านเขียนไว้ผิด.

       แต่ว่าเป็นความเข้าใจผิดของอาตมาเอง  อาตมาไม่โทษครูบาอาจารย์  ไม่โทษใครคนใดคนหนึ่งว่าท่านสอนผิด.

       ความจริงท่านสอนตามตำรา  แต่ว่าอาตมาตีความหมายของตำราไม่ออก  จะไปโทษใครว่าผิดไม่ได้  โทษตัวเองว่าผิดนั่นแหละดี.

       ตามพระบาลี  ที่พระพุทธเจ้า  ยกให้เป็นเครื่องเตือนใจว่า...

       " อัตตนา  โจทยัตตานัง "  จงกล่าวโทษโจทย์ตัวเองเสมอ ๆ นั่นแหละ  จะเข้าถึงความดี.

       เมื่อเราผิดเสียแล้ว  จะไปโทษชาวบ้านเขาก็ไม่ถูก  อีกข้อหนึ่งท่านกล่าวว่า...

       " นิสสัมมะ  กรณัง  เสยโย "   ใคร่ครวญเสียก่อน  แล้วจึงทำดีกว่า.

       นี่ตอนนั้นอาตมามันคนลวกๆ มันไม่ใคร่ครวญ  อ่านหนังสือ  ไม่ตีความหมายของหนังสือให้เข้าใจ  แล้วจะไปโทษใคร.

       นี่ความจริงไม่เคยพูดเรื่องภาษาบาลีนะ  วันนี้ยกภาษาบาลีมาพูด   ไม่ใช่อวดรู้ภาษาบาลี      แต่ในเมื่อเป็นพุทธภาษิต  ก็ยกมาเป็นบรรทัดฐาน.

       สำหรับวันนี้ต่อไป  ก็ขอพาบรรดาท่านพุทธบริษัท  เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า.

       ตรงนี้  ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทนึกว่า...

       " เวลานี้  ท่านนั่งอยู่ตรงหน้าของพระพุทธเจ้า   เวลานั้นหรือเวลานี้  พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่หอระฆัง   ที่มีความวิจิตรสวยงาม  แพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับ  อันเป็นแก้วมณีมีแสงสว่างโชติช่วงคล้ายๆ กับพระอาทิตย์.

       สมเด็จพระผู้มีพระภาคเองก็เหมือนกัน  กำลังเสด็จประทับอยู่ที่ตรงนั้น  เหมือนกับพระอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง.  

       ก็กลายเป็นพระอาทิตย์ ๒   ดวงซ้อนกัน  แสงสว่างพวยพุ่งจากองค์  ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า.

       สวยงามมาก  ยิ่งกว่าเยอะ     มีแสงสว่างกว่าหอระฆังหลังนั้น   แล้วก็มีความสวยสดงดงาม   จากรัศมีที่พวยพุ่งออกจากการ ๖ สี  มากกว่าสวยกว่า.

       และพระวรกายของพระองค์  ก็วิจิตรตระการตา  มีลักษณะสมบูรณ์ทุกอย่าง  ไม่มีอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  เป็นเครื่องน่าตำหนิ.

       มองดูแล้วชื่นอกชื่นใจ  อิ่มอกอิ่มใจ  บอกไม่ถูก  แหงนหน้าขึ้นไป  ยกมือขึ้นถวายนมัสการพระองค์.

       พระองค์ก็มีริมฝีปากแดงเรื่อๆ   ทรงแย้มพระโอษฐ์นิดๆ  ยิ้มหน่อยๆ   มองแล้วก็ชื่นใจ.

       ขอย้อนกล่าวอีกนิด  ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงมีพระพุทธะฎีกาตรัสถามว่า...

       "  สัมภเกษี  เธอคิดไหมว่า     ชาตินี้เธอจะมาพระนิพพานได้. "

       คำพูดตอนนี้แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท   ทำให้อาตมาผู้รับฟังสะดุ้ง  จะคิดได้อย่างไรว่า  คำว่าพระนิพพานที่เราเรียนกันมา   มันเป็นสภาพสูญ.

       แต่ว่าภาพที่ปรากฏน่ะ  มันไม่สูญ  มันเป็นภาพที่ปรากฏว่ามีตัวมีตน  มีพื้นฐาน   มีสถานที่อยู่.

       ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมครูตรัสถามอย่างนั้นก็สงสัย  จึงได้ถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า...

       " ภันเต  ภควา  ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า  สภาพของพระนิพพาน  ตามตำรับตำรา  ที่ข้าพระพุทธเจ้าเรียนมา    เขากล่าวกันว่าสูญ.

       ครูบาอาจารย์ท่านก็สอนอย่างนั้น   เว้นไว้แต่พระนักปฏิบัติไม่กี่องค์  ที่ข้าพระพุทธเจ้าพบ  แต่ว่าที่ไม่พบมีมาก  ก็อาจจะยืนยันเหมือนกัน.

       เช่น  หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคก็ดี  หลวงพ่อโหน่ง  วัดคลองมะดัน ก็ดี  หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จังหวัดสุพรรณบุรี  ก็ดี หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ก็ดี  หลวงพ่อจง  วัดหน้าต่าง  ก็ดี  พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า ก็ดี.

      ท่านทั้งหลายเหล่านี้  ต่างพากันยืนยันว่า  พระนิพพานมีสภาพไม่สูญ  เวลาถามอะไรท่านๆ นิ่งนึกประเดี๋ยวหนึ่ง  ท่านก็บอกว่า  พระตอบว่าอย่างนั้น    พระตอบว่าอย่างนี้.

       นี่มีพระไม่กี่องค์เท่านั้น  ที่ข้าพระพุทธเจ้าพบ  นอกจากนั้นแม้จะเป็นพระผู้ทรงศักดิ์ใหญ่  ท่านก็กล่าวยืนยันว่า  พระนิพพานสูญ  พระพุทธเจ้าข้า.

       แต่ในเมื่อพระนิพพานมีสภาพสูญอย่างนี้  องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ก็ตรัสถามว่า  ข้าพระพุทธเจ้ามีหวังในพระนิพพานในชาตินี้  ข้าพระพุทธเจ้าสงสัย. "

       ท่านถามว่า..."สงสัยอะไร "

       ก็กราบทูลท่านว่า...

       " สงสัยว่า คำว่า  #พระนิพพาน  เมื่อมีสภาพสูญแล้ว  ทำไมองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว  จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า...

       เธอคิดไหมล่ะว่า  ชาตินี้เธอจะมาพระนิพพานได้   คำว่าถึงพระนิพพานไม่น่าจะใช้คำว่า   มา  พระพุทธเจ้าข้า  ควรจะใช้คำว่า...สลายตัวไป. "

       พระองค์ฟังแล้ว  ทรงแย้มพระโอษฐ์  พระองค์จึงมีพระพุทธะฎีกาตรัสถามไหม่ว่า...

        " สัมภเกษี  ที่ตรงนี้เขาเรียกว่าอะไร. "

       อาตมาฟังแล้ว  ก็มองไปในทุกในที่ทุกสถาน   มองสถานที่นั่ง  มองวิมาน ๓ หลัง  มองหอระฆัง   มองรั้ว  ก็มีสภาพคล้ายนึกว่าวัด.

       แต่คิดว่า  วัดนี้มันสวยงามมาก  มองภายนอกออกไป  ก็ปรากฏว่า   มีวิมานแจ่มใสสุกอร่ามสว่างไสวมากทั่วไป  เป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล  เป็นสถานที่สวยสดงดงามบอกไม่ถูก.

       แพรวพราวระยิบระยับ  ไปด้วยเครื่องประดับ  และก็มีแสงสว่างแพรวพราว  หมายความว่า  สว่างมากจนเป็นที่น่าตกใจ.

       เมื่อพิจารณาไปคิดว่า  นี่จะเป็นพรหมชั้นที่ ๑๖ เราผ่านมาแล้ว   สุดทางของเขตพรมแล้ว  อันนี้เป็นสถานที่อะไรนึกไม่ออก.

       นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท   ตอนนี้เป็นเครื่องวัดบารมีกันว่า   คนเรามีความเก่งเฉพาะสมถะภาวนา  จะได้ฌานอย่างไรก็ตามที.

       เรื่องจะรู้เรื่องของพระนิพพานนี่รู้ไม่ได้แน่ๆ  แม้ว่าจะเป็นคนที่ได้ฌานพิเศษก็ตาม  เมื่อรู้ไม่ได้  ปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้อะไรเลย  จะรู้ได้อย่างไร.

       ตอนนี้อาตมาขอพูดตรงๆ  เมื่ออายุ ๓๙ - ๔๐  มานี่  ระดับสมถภาวนาจบทุกประการ  คำว่าจบทุกประการนี่  หมายความว่า  ได้ขั้นตามลำดับของสมถะภาวนาไม่มีอะไรสงสัย.

       สมถภาวนาย่อมมีผลอยู่ ๒ ประการ  กล่าวคือ  #รูปฌาน และ #อรูปฌาน ทั้งสองประการนี้  ก็ศึกษามาแล้วเป็นอย่างดี.

       อันนี้พูดนี่ไม่กลัว  ว่าใครจะหาว่าเลยเถิดนะ  ที่ไม่กลัวก็เพราะอะไร  เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า  ในพระวินัยว่า  ถ้าไม่ได้พูดแล้วเป็นการ  #อวดอุตริมนุสสธรรม.  

       ก็นี่เป็นการศึกษาหลักสูตร  เขามีจะหาว่าอวดกันอย่างไร  ในเมื่อศึกษาๆ ตามหลักสูตร  เมื่อรู้ตามหลักสูตรก็ไม่ใช่อวด.

       ถ้าเป็นการอวด  พระทั้งประเทศไทย  หรือพระทั้งหมด  ก็เป็นการอวดหมด  เพราะทุกองค์ท่านรู้แล้ว  ท่านเทศน์สอนพุทธบริษัทบ้าง  อธิบายให้ชาวบ้านเขาฟังบ้าง.

       ทำไมไม่หาว่า  พระพวกนั้นอวดอุตริมนุสสธรรม  ในเมื่ออาตมาเอง  ก็ศึกษาอย่างท่าน  เรียนมาอย่างท่าน  จากท่านทั้งหลายเหล่านั้น.

       แล้วก็มาพูดตรงนี้  จะหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรมอย่างไร  นี่ว่ากันตรงนี้นะ  เผื่อท่านทั้งหลายจะสงสัย.

       เมื่อเกิดความไม่เข้าใจแล้ว  ก็ไม่รู้ที่ตรงนี้เขาเรียกกันว่าอะไร   จึงกราบลงไปอีกวาระหนึ่ง   กราบทูลท่านว่า...

       " ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จัก   พระพุทธเจ้าข้า. "

       พระองค์ก็ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสย้อนถามว่า...

       " สัมพเกษี  พรหมชั้นที่ ๑๖ เธอรู้จักหรือเปล่า. "

       ก็กราบทูลท่านว่า...

       " พรหมชั้นที่ ๑๖ หรือว่าพรหมทุกชั้น  ข้าพระพุทธเจ้ารู้จักดีพระพุทธเจ้าข้า  เพราะอาศัยศึกษามาในสมถะภาวนา   สามารถจะท่องเที่ยว  ตั้งแต่สวรรค์ชั้นกามาพจรสวรรค์  ถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ ได้อย่างสบายใจ.  

       เรียกว่าเป็นไปตามปกติของจิต  แล้วข้าพระพุทธเจ้า  คิดว่าการตายคราวนี้  ข้าพระพุทธเจ้าจะมาพักอยู่ที่พรหมพระพุทธเจ้าข้า. "

       พระองค์ พระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ว่า...

       " สัมภเกษี  ในเมื่อพรหมชั้นที่ ๑๖ จัดว่าเป็นสวรรค์  ชั้นสูงสุด   ไม่มีที่ใดอีกแล้ว  ปรากฏแก่จักษุของเธอแล้ว  แล้วก็สถานที่นี้  ไม่ใช่พรหมชั้นที่ ๑๖ ใช่ไหม. "

       ก็กราบทูลพระองค์ว่า...

       " ไม่ใช่พระพุทธเจ้าข้า. "

        พระองค์จึงตรัสถามว่า...

         " ถ้าอย่างนั้นเขาเรียกกันว่าอะไร. "

       อันนี้มองไปแล้ว  จะอาศัยฌานหรือญาณเป็นเครื่องรู้  ก็ไม่ปรากฏแก่จิต  มันมืดไปหมด  ก็ยกมือขึ้นนมัสการ  กราบทูลองค์สมเด็จพระบรมมสุคตว่า...

       " ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จัก  พระพุทธเจ้าข้า. "

       เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว  พระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์  พระองค์จึงได้ตรัสว่า...

       " สัมพเกษี  สถานที่นี้เขาเรียกกันว่า  #พระนิพพาน. "

       พอบอกว่าพระนิพพานเท่านั้นแหละ  ตกใจ  ตกใจแล้วก็แปลกใจ  คิดว่าพระนิพพานมีสภาพสูญนี่.

       เอ๊ะ ทำไมเกิดมีตัวมีตนขึ้น  จึงกราบทูลย้อนถามท่านว่า...

       " ภันเต  ภควา  ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  ก็ตามภาษาบาลีก็ดี  ภาษาไทยที่เขาแปลไว้แล้วก็ดี  ตำราเรียนทั้งหลายก็ดี   คณาจารย์ต่างๆ ก็ตาม.

       ต่างพากันพร่ำสอนว่า  พระนิพพานมีสภาพสูญ  คนที่ถึงพระนิพพานแล้ว  มีสภาพเหมือนควันไฟ  ลอยไปในอากาศ  จะไปหาที่พักนั้นไม่มี.

       นี่ตามพระบาลี  หรือว่าคำสอนเป็นอย่างนี้  ก็ในเมื่อพระองค์ทรงยืนยันว่า  ตรงนี้ชื่อว่าเป็น  #พระนิพพาน  ปรากฏเป็นภพเป็นชาติ  มีร่างกายอันเป็นทิพย์ปรากฏ  มีวิมานอันเป็นทิพย์   ปรากฏมีสิ่งที่มีชีวิต.

       แต่ว่าเป็นทิพย์อันละเอียดปรากฏ  อย่างองค์สมเด็จพระบรมสุคต เป็นต้น  อันนี้ข้าพระพุทธเจ้าสงสัยว่า  การที่ข้าพเจ้าศึกษามา  กับสิ่งที่ปรากฏเวลานี้  ทำไมไม่เหมือนกัน  พระพุทธเจ้าข้า. " ...



จากหนังสือ : หมวดพระอริยเจ้า โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน พิมพ์เผยแพร่ครั้งที่ ๑  ธันวาคม ๒๕๓๘
หน้าที่  ๑๐๔ -๑๑๐.

(มีต่อ )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่