เวียงจันทน์-วังเวียง ไม่วังเวง

   สวัสดีครับชาว pantip ทุกท่าน ทริปนี้เกิดขึ้นจากผมและภรรยาต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศกันสักครั้ง โดยเริ่มจากประเทศใกล้ๆก่อน ประเทศลาวเป็นตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะที่สุดในการเริ่มต้น โดยที่เราไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก เนื่องจากลาวกับไทยมีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน วัฒนธรรม และอาหารการกิน
และ ขอขอบคุณเรื่องราวจากชาว Pantip ที่ใช้มาเป็นข้อมูลในการท่องเที่ยวครั้งนี้ครับ
   วันที่ 1
   การเดินทางเริ่มต้นจากโดยสารเครื่องบินจากท่าอากาศยานดอนเมือง ไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี จากนั้นใช้บริการรถตู้ของอุดรแก้วให้ไปส่งยังสถานีขนส่งอุดรธานีเพื่อโดยสารรถระหว่างประเทศสู่นครเวียงจันทน์ การซื้อตั๋วจะต้องใช้หนังสือเดินทางในการซื้อครับ

   เมื่อรถโดยสารถึงด่านพรมแดนหนองคาย เราจะต้องทำเรื่องเดินทางออกจากประเทศไทยโดยการสแกนหนังสือเดินทางและให้เจ้าหน้าที่ประทับตราด้วย(ห้ามลืมประทับตราเด็ดขาด) จากนั้นก็ออกไปขึ้นรถโดยสารคันเดิมเพื่อข้ามสะพานไปยังด่านพรมแดนนาแล้ง ของประเทศลาว โดยใช้หนังสือเดินทางนำไปซื้อบัตร One Way Ticket แล้วเขียนบัตรแจ้งเข้าเมืองยื่นให้เจ้าหน้าที่ลาวประทับตราแล้วเดินนำบัตรเข้าไปสอดเข้าเครื่อง(เหมือนรถไฟฟ้า BTS ) จากนั้นก็กลับมาขึ้นรถคันเดิม เพื่อเดินทางเข้าประเทศลาว
   ผมเปลี่ยนซิมมือถือเพื่อให้รับสัญญาณอินเตอร์เน็ตของลาวได้ เราใช้ซิมโรมมิ่งของ AIS Sim2fly แล้วมาแชร์สัญญาณอินเตอร์เน็ตกับภรรยา จากการทดสอบความเร็วอินเตอร์เน็ตที่นี่เร็วใช้ได้เลยทีเดียว
   รถโดยสารนำเราไปส่งยังสถานีขนส่งขัวดินใกล้ตลาดเซ้า ระหว่างที่เราลงรถจะมีคนมาชักชวนให้ใช้บริการการสกายแลปเป็นจำนวนมาก แต่เราได้ปฏิเสธไปเพราะว่าโรงแรมที่เราพักอยู่ไม่ไกลจากตลาดเซ้าเท่าไรนัก ใช้เวลาเดินเพียงไม่นานก็ถึงแล้ว เราแลกเงินบาทเป็นเงินกีบที่บูทธนาคารในห้างตลาดเซ้ามอล ตอนนี้ความฝันที่เราจะมีเงินล้านเป็นจริงแล้ว เพราะเราแลกเงินแล้วได้เงินมาถึง หนึ่งล้านสามแสนกีบ

   เราเข้าพักที่โรงแรมแฟมิลี่บูติคโฮเตล ใกล้ๆกับพระธาตุดำ หลังจากเช็คอินและเก็บสัมภาระอันหนักอึ้งที่โรงแรมเรียบร้อย เรารีบเดินเท้าจากโรงแรมไปยังประตูไซทันที ใช้เวลาเดินไม่นานนักก็ถึงแล้ว ที่ประตูไซมีลักษณะเหมือนประตูชัยที่ประเทศฝรั่งเศสด้านหน้าเป็นสวนสาธารณะให้ผู้คนมาพักผ่อนหย่อนใจกัน น่าเสียดายที่เรามาถึงเย็นแล้วจึงหมดเวลาที่เขาเปิดให้ขึ้นไปชมวิวเมืองเวียงจันทน์บนประตูไซ
   เรานั่งพักผ่อนและถ่ายภาพที่นี่นานพอสมควรจนท้องฟ้าเริ่มมืด จึงได้เวลาเดินทางเดินกลับ ระหว่างทางเดินกลับเราได้สำรวจสินค้าในร้านสะดวกซื้อของลาว สินค้าสวนใหญ่เป็นของนำเข้าจากไทย มีบางรายการที่ราคาสูงกว่าบ้านเรา ส่วนสินค้าที่เขาผลิตได้เองถูกกว่าบ้านเรา เราจึงเลือกสินค้าที่ราคาถูกกว่าบ้านเรามาจำนวนหนึ่ง แล้วเดินต่อไปเพื่อชมตลาดนัดกลางคืนบริเวณสวนสาธารณะริมแม่น้ำโขง
  หลังจากสักการะอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงค์แล้วก็ได้เวลาหาของกิน เราได้ร้านอาหารเป็นส้มตำไดโนเสาร์ และพิชช่าซามูไร ในส่วนร้านส้มตำนั้นเป็นส้มตำสไตล์ลาวในบรรยากาศข้างๆร้านมีหุ่นยนต์ไดโนเสาร์ขยับเขยื้อนและส่งเสียงได้ออกมาเป็นระยะ  
  กินพออิ่มแล้วก็เดินย่อยชมตลาดนัดกันซะหน่อย ตลาดนี้ส่วนมากจะขายเป็นเสื้อผ้าส่วนใหญ่ ขายของเหมือนๆกัน ของบางอย่างถูกกว่าไทยมาก ส่วนอาหารจะมีอยู่บ้างในบางช่วง เราได้ชิมมะพร้าวน้ำหอม  และปลาหมึกย่าง และผัดไทยใส่เลือด ชิมยังไงไม่รู้ ชิมจนพุงโตกันทีเดียว

วันที่ 2

อาหารเช้าที่โรงแรมนี้จัดแบบบุพเฟ่ต์ที่หลากหลาย สะใจกันเลยที่เดียว ที่พิเศษคือมีกาแฟสดด้วยครับ หลังจากทานกันอิ่มแล้วเรายังไม่เช็คเอาท์ แต่เราจะเดินทางไปเช่าจักรยานเพื่อปั่นชมเมืองเวียงจันทร์กัน เราเจอที่ให้เช่าจักรยานโดยบังเอิญเมื่อคืนบริเวณด้านหลังลานน้ำพุ เป็นจักรยานของที่พักชื่อว่า PVO Hostel เขาคิดเราเพียงคันละ 40 บาท แล้วสามารถปั่นเที่ยวได้ทั้งวัน

  ที่แรกที่เราจะไปคือพระธาตุหลวงการปั่นจักยานนั้นจะต้องปั่นเลนขวาและใช้ทักษะหลบหลีกพอสมควร อย่าเผลอปั่นเลนซ้ายล่ะ กว่าจะถึงพระธาตุหลวงก็เล่นเอาเราเหนื่อย
  ค่าเข้าชมพระธาตุหลวงต่างชาติเขาคิดคนละ 10,000 กีบ หรือประมาณ 40 บาท พระธาตุสีทองเหลืองอร่ามรูปร่างคล้ายดอกบัวนี้ ประกอบด้วยองค์ประธาตุใหญ่ตรงกลาง และพระธาตุเล็กรายรอบจำนวน 30 องค์ และประเทศลาวได้ใช้รูปพระธาตุหลวงเป็นตราแผ่นดินด้วย
  สถานที่ต่อไปคือวัดสีเมือง หลังจากไหว้พระและเสาหลักเมืองเสร็จ เราได้ให้พระคุณเจ้าผูกข้อมือให้เพื่อความเป็นสิริมงคล ระหว่างถ่ายรูปปั้นยักษ์ผมเผอิญเหลือบเห็นว่าในบริเวณข้างวัดจะมีอนุสาวรีย์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ตั้งอยู่ด้วย เราจึงไม่พลาดที่จะไปถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
  จุดหมายต่อไปคือวัดสีสะเกด เราได้เข้าทางข้างหลังวัดจึงหาที่ซื้อบัตรเข้าชมไม่เจอ แล้วคิดไปเองว่าเข้าเปิดให้เข้าชมฟรีแล้ว พอจะเดินเข้าไปภายในกำแพงพระอุโบสถเท่านั้นพนักงานก็ถามหาตั๋ว ผมจึงต้องรีบวิ่งไปซื้อตั๋วบริเวณทางเข้าด้านหน้าที่อยู่ตรงข้ามกับหอพระแก้ว วัดนี้ทำให้นึกถึงวัดพุทไธสวรรค์ในเรื่องบุบเพสันนิวาส เนื่องจากมีพระพุทธอยู่รอบๆ นอกจากมีพระพุทธรูปแล้วยังมีซุ้มพระองค์เล็กเรียงติดกับรอบๆ นับหมื่นองค์ ส่วนในพระอุโบสถจะมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่และเลือนลางผ่านกาลเวลามาช้านาน
  ไม่ไกลกันนักแค่ข้ามฝั่งมาคือหอพระแก้ว สถานที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกตก่อนอัญเชิญมายังสยามประเทศ ในหอพระแก้วนี้เขาห้ามถ่ายรูปด้านในครับ
  เรานำจักรยานไปคืนแล้วเราก็รีบไปที่โรงแรมเพื่อเช็คเอาท์เพราะใกล้จะหมดเวลาที่โรงแรมกำหนดไว้คือ 12:00 เมื่อเช็คเอาท์เสร็จเราก็เดินไปรอรถเมล์สาย 8 ที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงแรมลาวพลาซ่า ซึ่งอยู่ไม่ใกลจากโรงแรมที่เราพัก ใช้เวลารอไม่นานเท่าไรรถเมล์ก็มาถึง รถเมล์ที่นี่ไม่ต้องโบกรถเลย เขาจะจอดให้เราก่อนเมื่อถึงป้าย ผมมองด้านหน้ารถเขียนเป็นภาษาลาวว่า ສາຍເໜືອ เพื่อความแน่ใจจึงถามพนักงานขับรถว่าไปสายเหนือหรือไม่ เมื่อได้คำตอบว่าใช่ จึงรีบยกสัมภาระวิ่งขึ้นรถทันที
  ใช้เวลาไม่นานรถเมล์สาย 8 ก็พาเรามายังขนส่งสายเหนือของลาว หรือ เรียกว่า คิวรดสายเหนือ เรารีบหารถตู้ไปวังเวียงทันที ไม่ทันจะก้าวเกินสามสี่ก้าวก็มีคนมาถามเราว่าไปวังเวียงมั้ยในราคา 50,000 กีบ หรือ 200 บาท ขอคิดสักพักจึงตอบตกลง ค่าโดยสารนี้คนลาวหรือต่างชาติเขาคิดอัตราเดียวกันครับ
  13:00 ได้เวลารถออกเดินทางจากสายเหนือไปยังวังเวียง รถออกจากสถานีขนส่งไม่นานนักก็ต้องเบรค หักหลบ ข้ามเลนเนื่องจากสภาพทางที่ชำรุด เป็นหลุมบ่อตลอดเส้นทางก็ว่าได้ ความคาดหวังว่าจะใช่เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงคงไม่ใช่แล้วสิ รถโดยสารนี้มีบริการส่งของตามเมืองต่างๆที่ผ่านด้วย ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตชาวลาวแบบใกล้ชิดอีกด้วย ในที่สุดเราก็มาถึงวังเวียงในเวลา 16.30 ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงครึ่ง
  เมืองวังเวียงที่ผ่านหน้าฝนมาหมาดๆยังเต็มไปด้วยแอ่งน้ำและบ่อโคลนบ้างในบางพื้นที่ เราสองคนแบกสัมภาระเดินไปยังที่พักอย่างอ่อนแรงเนื่องจากยังไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันกันเลย เราจึงซื้อน้ำดื่มในร้านสะดวงซื้อแก้กระหายกันก่อน
   เมื่อเราเช็คอินที่เวียงธาราเรียบร้อย ทางที่พักบอกเราว่ามีรถรับส่งระหว่างที่พักกับในตัวเมืองวังเวียงทุกชั่วโมง เราจึงขอขึ้นรถเพื่อไปรับประทานทานอาหารในตลาดวังเวียง ระหว่างที่รอรถมารับ เราก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปบนทางเดินไม้บนท้องนาข้าวที่มีภูเขาสูงเป็นพื้นหลัง ที่มีการจัดวางองค์ประกอบไว้อย่างสวยงาม สวยงามเสียจนลืมหิวไปเลย
  ผมตั้งใจจะไปรับประทานอาหารบนแพริมน้ำใกล้สะพานไม้บริเวณหน้า Banana Bungalows แต่ปรากฏว่าหาสะพานไม่เจอ จึงถามลุงที่ร้าน Phobane Cafe ว่าสะพานอยู่ตรงไหน ลุงบอกเราว่า ไม่มีสะพานแล้ว เราก็เลยขอนั่งทานอาหารที่ร้านของลุงซะเลยแล้วกัน ที่นั่งร้านนี้เราชอบที่ทำเหมือนนั่งชิงช้าแต่ไม่สามารถแกว่งได้ก็เท่านั้น นั่งชิลริมน้ำแถมได้ฟังเพลงจากฝั่งตรงข้ามอีกต่างหาก
  หลังจากอิ่มหมีพีมันกันแล้ว เราก็เดินย่อยอาหารบริเวณถนนคนเดินเสียหน่อย ระหว่างทางเดินเราได้พบกับปลาตัวเล็กเสียบไม้ย่าง และ ลิ้นหมูย่างสมุนไพร (3 ไม้ 20 จ่ายเงินบาท) เราเลยขอจัดมาคนละชุด
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่