ส.อ.ท.เกาะติดสงครามการค้าจีนและสหรัฐฯ ใกล้ชิด ประเมินไทยหนีผลกระทบไม่พ้นแน่ คาดปีหน้าส่งออกส่อลดเหลือโต 4–5% รวมทั้งสินค้าจีนอาจทะลักเข้าไทย เตือนเอสเอ็มอีปรับตัวรับมือ ขณะที่แบงก์ไทยพาณิชย์–กรุงไทย ประสานเสียงเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 4.5% แต่ปีหน้าชะลอตัวจากพิษสงครามการค้า–ดอกเบี้ยขาขึ้น
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกไทย 3 เดือนสุดท้ายปีนี้ คาดว่าจะโตได้ตามที่รัฐบาลวางเป้าไว้ที่ 9-10% แต่สิ่งที่ ส.อ.ท.กังวลและต้องติดตามใกล้ชิด คือมาตรการตอบโต้การค้าของสหรัฐฯระลอก 2 ที่มีมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ครอบคลุมสินค้าเกือบทุกชนิดที่จีนส่งไปขายสหรัฐฯ หากยืดเยื้อและไม่สามารถเจรจาได้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยปี 62 อย่างชัดเจน คาดว่าปี 62 ส่งออกอาจขยายตัวได้เพียง 4-5%
“ยอดส่งออกล่าสุดเฉลี่ยเดือนละ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ตลอดปีนี้ส่งออกไทยโต 9-10% แต่ด้วยสงครามการค้าที่เกิดขึ้นและเศรษฐกิจโลกปีหน้าที่หลายฝ่ายมองว่าจะชะลอตัว ทำให้การส่งออกไทยจะมีปัญหาชัดเจนขึ้น เพราะการส่งออกมีสัดส่วน 70% ของอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)”
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ขณะนี้จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยไทยเป็นห่วงโซ่การผลิตสำคัญที่ส่งออกวัตถุดิบ สินค้ากึ่งวัตถุดิบให้กับจีน เพื่อผลิตสินค้าสำเร็จรูปจำนวนมาก เมื่อจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯได้ลดลง ไทยก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย เพราะมูลค่าการส่งออกไทยไปตลาดจีนและสหรัฐฯ รวมกันคิดเป็น 1 ใน 4 ของการส่งออกรวม นอกจากนี้ สินค้าจีนอาจไหลทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียนแทน เพราะไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ ก็จะทำให้สินค้าหลายรายการของไทยประสบปัญหาการแข่งขัน
จึงต้องติดตามใกล้ชิดเพื่อรับมือเรื่องนี้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ต้องปรับตัวรวดเร็วให้ทันกับเหตุการณ์
“มีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม รวมถึงราคาน้ำมันโลกที่เริ่มสูงขึ้น การอ่อนตัวของเงินหยวนที่เริ่มกระทบต่อการท่องเที่ยวของคนจีนที่จะออกมาต่างประเทศ ดังนั้นการประชุมทูตพาณิชย์ทั่วโลกวันที่ 18 ต.ค.นี้ เชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์ต้องหามาตรการเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ทดแทนตลาดส่งออกปัจจุบันให้มากขึ้น”
ด้านนายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 4.5% ได้แรงส่งทั้งการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยว ส่งผลดีต่อรายได้และการจ้างงานชัดเจนขึ้น ขณะที่ปีหน้าประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 4.0% ชะลอลงจากปี 61 แต่เป็นอัตราที่สูงสำหรับเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีก่อนหน้า ที่โตเฉลี่ยต่ำกว่า 3% ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงจากสงครามการค้าและภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น ขณะที่การท่องเที่ยวไทยจะเผชิญกับข้อจำกัดความสามารถในการรองรับของสนามบินสำคัญของไทย และนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ทำให้คาดว่าปีหน้าการท่องเที่ยวโต 6% จากปีนี้คาดขยายตัว 8%
สำหรับรายได้ภาคครัวเรือนไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องใช้เวลาอีกระยะก่อนที่การใช้จ่ายจะกระจายตัวและเร่งขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยไทยกำลังเข้าสู่ช่วงขาขึ้น คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กบง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ช่วงปลายปี 61 หรือต้นปี 62 เพื่อรักษาเสถียรภาพการเงิน
นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มองเศรษฐกิจไทยดีขึ้น พร้อมเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้โต 4.6% จากเดิม 3.9% ใกล้เคียงกับ Krungthai Macro Research ที่คาดปีนี้โต 4.5% แต่ไอเอ็มเอฟประเมินปีหน้าไทยโต 3.9% ขณะที่ Krungthai Macro Research มองปีหน้าโต 4.3%
“ไอเอ็มเอฟกังวลประเทศเกิดใหม่ กับผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีนที่ยืดเยื้อ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และการปรับพอร์ตสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุน แต่เศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานดีกว่ากลุ่มประเทศเกิดใหม่ จึงมองผลลบต่อไทยไม่รุนแรงเท่าไอเอ็มเอฟ”.
JJNY : กดส่งออกไทยปี 62 โตลดลง ส.อ.ท.เกาะติดสงครามการค้าพ่นพิษ!
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกไทย 3 เดือนสุดท้ายปีนี้ คาดว่าจะโตได้ตามที่รัฐบาลวางเป้าไว้ที่ 9-10% แต่สิ่งที่ ส.อ.ท.กังวลและต้องติดตามใกล้ชิด คือมาตรการตอบโต้การค้าของสหรัฐฯระลอก 2 ที่มีมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ครอบคลุมสินค้าเกือบทุกชนิดที่จีนส่งไปขายสหรัฐฯ หากยืดเยื้อและไม่สามารถเจรจาได้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยปี 62 อย่างชัดเจน คาดว่าปี 62 ส่งออกอาจขยายตัวได้เพียง 4-5%
“ยอดส่งออกล่าสุดเฉลี่ยเดือนละ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ตลอดปีนี้ส่งออกไทยโต 9-10% แต่ด้วยสงครามการค้าที่เกิดขึ้นและเศรษฐกิจโลกปีหน้าที่หลายฝ่ายมองว่าจะชะลอตัว ทำให้การส่งออกไทยจะมีปัญหาชัดเจนขึ้น เพราะการส่งออกมีสัดส่วน 70% ของอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)”
นายเกรียงไกรกล่าวว่า ขณะนี้จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยไทยเป็นห่วงโซ่การผลิตสำคัญที่ส่งออกวัตถุดิบ สินค้ากึ่งวัตถุดิบให้กับจีน เพื่อผลิตสินค้าสำเร็จรูปจำนวนมาก เมื่อจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯได้ลดลง ไทยก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย เพราะมูลค่าการส่งออกไทยไปตลาดจีนและสหรัฐฯ รวมกันคิดเป็น 1 ใน 4 ของการส่งออกรวม นอกจากนี้ สินค้าจีนอาจไหลทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียนแทน เพราะไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ ก็จะทำให้สินค้าหลายรายการของไทยประสบปัญหาการแข่งขัน
จึงต้องติดตามใกล้ชิดเพื่อรับมือเรื่องนี้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ต้องปรับตัวรวดเร็วให้ทันกับเหตุการณ์
“มีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม รวมถึงราคาน้ำมันโลกที่เริ่มสูงขึ้น การอ่อนตัวของเงินหยวนที่เริ่มกระทบต่อการท่องเที่ยวของคนจีนที่จะออกมาต่างประเทศ ดังนั้นการประชุมทูตพาณิชย์ทั่วโลกวันที่ 18 ต.ค.นี้ เชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์ต้องหามาตรการเพิ่มการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ทดแทนตลาดส่งออกปัจจุบันให้มากขึ้น”
ด้านนายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 4.5% ได้แรงส่งทั้งการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยว ส่งผลดีต่อรายได้และการจ้างงานชัดเจนขึ้น ขณะที่ปีหน้าประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 4.0% ชะลอลงจากปี 61 แต่เป็นอัตราที่สูงสำหรับเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีก่อนหน้า ที่โตเฉลี่ยต่ำกว่า 3% ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงจากสงครามการค้าและภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น ขณะที่การท่องเที่ยวไทยจะเผชิญกับข้อจำกัดความสามารถในการรองรับของสนามบินสำคัญของไทย และนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ทำให้คาดว่าปีหน้าการท่องเที่ยวโต 6% จากปีนี้คาดขยายตัว 8%
สำหรับรายได้ภาคครัวเรือนไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องใช้เวลาอีกระยะก่อนที่การใช้จ่ายจะกระจายตัวและเร่งขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยไทยกำลังเข้าสู่ช่วงขาขึ้น คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กบง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ช่วงปลายปี 61 หรือต้นปี 62 เพื่อรักษาเสถียรภาพการเงิน
นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มองเศรษฐกิจไทยดีขึ้น พร้อมเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้โต 4.6% จากเดิม 3.9% ใกล้เคียงกับ Krungthai Macro Research ที่คาดปีนี้โต 4.5% แต่ไอเอ็มเอฟประเมินปีหน้าไทยโต 3.9% ขณะที่ Krungthai Macro Research มองปีหน้าโต 4.3%
“ไอเอ็มเอฟกังวลประเทศเกิดใหม่ กับผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีนที่ยืดเยื้อ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และการปรับพอร์ตสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุน แต่เศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานดีกว่ากลุ่มประเทศเกิดใหม่ จึงมองผลลบต่อไทยไม่รุนแรงเท่าไอเอ็มเอฟ”.