บทความวันจันทร์ (15 ต.ค. 61) : ไม่อยากมีลูกเพราะอยากดูแลพ่อแม่

บทความวันจันทร์ (15 ตุลาคม 2561)
เรื่อง.....ไม่อยากมีลูกเพราะอยากดูแลพ่อแม่
โดย  วรา  วราภรณ์

    หลังจากที่ได้พูดคุยกับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่เคยร่วมงานกันเมื่อปี 2544-2545 ในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าก็ตกลงใจเขียนบทความนี้ทันที
ข้าพเจ้าขอเรียกเธอว่า “หนูอุ้ม” ตามความสัมพันธ์ของเรา หนูอุ้มคนนี้เรียนมาทางสายนิเทศศาสตร์ ผ่านงานด้านสื่อสารมวลชนและประชาสัมพันธ์มาก่อน เธอเป็นชาวอำเภอพระประแดง สมุทรปราการ มีน้องชายคนเดียวในครอบครัวที่มีคุณพ่อคุณแม่รับราชการทั้งคู่

         ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับเธอทางโทรศัพท์ก็คือ ปี 2556-2557 ทราบว่าเธอแต่งงานแล้ว แต่ยังไม่มีลูก แล้วก็เห็นกันบ้างทางโซเชียลมีเดีย และพักหลังๆ มานี้ ก็สังเกตว่าเธอมักมีภาพคุณพ่อคุณแม่ทั้งของตนเองและของสามีที่พาไปเที่ยวด้วยกันที่โน่นที่นี่อยู่เนืองๆ

         เมื่อได้พูดคุยกันเมื่อเร็วๆ นี้ จึงทราบว่าหนุอุ้มเธอลาออกจากงานประจำมาแล้วหนึ่งเดือนเต็ม หน่วยงานนั้นคือองค์กรสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ของประเทศไทยรายหนึ่ง พอถามว่าตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ เธอก็ตอบว่า “จัดทัวร์ผู้สูงอายุค่ะ”

        ข้าพเจ้ารับฟังอย่างถูกใจ เพราะโดยส่วนตัวคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีมากของคนสูงวัย แต่ยังไม่เคยทราบว่ามีคนทำเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ พอได้ทราบก็รู้สึกสนุกขึ้นมาทันที อยากจะคุยต่อเรื่องทัวร์ แต่ก็ยังสงสัยมากในอีกประเด็นหนึ่ง จึงถามต่อไปก่อนว่า

         “หนูมีลูกหรือยังคะ ?”  

         น้องตอบกลับมาว่า

          “หนูตั้งใจไม่มีลูกค่ะ เพราะว่าจะได้เอาเวลามาดูแลพ่อแม่แทน” แล้วเธอก็มาเพิ่มเติมอีกว่า “ดูแลพ่อแม่ตัวเองและพ่อแม่คนอื่นด้วยค่ะ 555”

          คำตอบนี้เป็นคำตอบที่ข้าพเจ้าจำได้ว่าไม่น่าจะเคยได้ยินจากใครมาก่อน เพราะโดยทั่วไป เกือบร้อยทั้งร้อยก็อยากมีผู้สืบสกุลด้วยกันทั้งนั้น แต่หนูอุ้มสวนทางอย่างแรง ตามความในใจของเธอที่เขียนส่งมาทางแอพพลิเคชั่นไลน์ให้ข้าพเจ้าคัดลอกมานำเสนอดังนี้

          “ในท่ามกลางหลายคู่แต่งงานที่อยากมีบุตร บางคนต้องใช้เงินหลักแสนหลักล้านเพื่อทำให้มีบุตรขึ้นมา แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วคิดว่า แทนที่เราจะสร้างมนุษย์ให้เกิดใหม่เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ เหตุใดเราจึงไม่ทำให้คนที่เกิดมาแล้วมีความสุขที่สุด...”

          ต่อมาเธอจึง “ปิ๊งไอเดีย” การทำทัวร์ผู้สูงวัย โดยได้มาจากข้อสังเกตที่ว่า ผู้สูงวัยหลายท่านซึ่งมีเวลาว่างมักรอคอยวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อให้ลูกหลานพาไปพักผ่อน ซึ่งเธอเห็นด้วยอย่างยิ่ง

          “เพราะการท่องเที่ยวทำให้ผู้สูงอายุได้ออกจากบ้าน ได้เปิดโลกทัศน์ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า และที่สำคัญคือ ทำให้ยืดเวลาติดบ้านติดเตียงออกไปได้ยาวนานที่สุด”

          และที่หนูอุ้มยกเหตุผลนี้มาเพราะเธอบอกว่า ผู้สูงวัยมีด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ชอบสังคม กลุ่มติดบ้าน และกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง โดยที่ตัวเธอก็เคยมีประสบการณ์ดูแลคุณย่า คุณยาย และคุณตามาก่อนแล้วนั่นเอง

           ดังนั้น ไม่ต้องรอให้จำนวนผู้สูงอายุของไทยที่คาดว่าจะต้องพุ่งขึ้นเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศในปี 2564 ซึ่งจะมีราวๆ 14 ล้านคน บริษัททัวร์เฉพาะกิจของหนูอุ้มที่อายุอานามยังไม่ถึงสี่สิบปีจึงถูกตั้งขึ้นมาเสียก่อนในตอนนี้ โดยมีสโลแกนที่แปลเป็นไทยว่า การเดินทางท่องเที่ยวอันรื่นรมย์สำหรับผู้สูงวัย

           เดือนกันยายนที่ผ่านมา คือเดือนที่สองที่หนูอุ้มบริหารงานทัวร์สำหรับผู้สูงวัย โดยจับมือกับองค์กรที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้สูงวัยกับเทคโนโลยีเพื่อให้เข้าถึงทุกความต้องการ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องพึ่งพาตนเองหรือลูกหลานอยู่ห่างไกล ด้วยกิจกรรมท่องเที่ยวสัมผัสสายลมเย็นของแม่น้ำเจ้าพระยาที่บางกะเจ้า พื้นที่สีเขียวทั้งหกตำบลในอำเภอพระประแดง สมุทรปราการ อันเป็นปอดที่น่าหวงแหนของคนเมืองหลวง

           หนึ่งในกิจกรรมที่โดดเด่นของงานนี้ก็คือ การเรียนรู้วิถีชาวสวน โดยเฉพาะการทำน้ำตาลมะพร้าวที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงรายเดียวในบางกะเจ้า แน่นอน เขาคือชายสูงวัย และเป็นผู้ที่ทำน้ำตาลมะพร้าวมาตั้งแต่หกขวบจวบถึงวันนี้อายุ 66 ปีแล้ว ในขณะที่ผืนดินซึ่งเขาได้อาศัยร่วมกับญาติกำลังจะถูกขายไป หนูอุ้มบอกว่าเธออยากมีส่วนช่วยเหลือคุณลุงท่านนั้นด้วยการพาคนไปชมฝีมือการผลิตน้ำตาลแบบภูมิปัญญาไทยของเขา

           ไม่ว่าทริพนี้จะประสบผลในระดับใด แต่ข้าพเจ้าก็ยังชื่นชมแนวความคิดที่อยู่เบื้องหลังการทำธุรกิจกับชีวิตคนเฉพาะกลุ่มของเพื่อนรุ่นน้องคนนี้อย่างทึ่งมาก และค่อนข้างเชื่อมั่นด้วยว่า ในอนาคตจะต้องมีแนวร่วมอื่นๆ ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมาอีก    

            ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่เราสองคนได้คุยกันในวันนั้นก็คือ เรื่องที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการดูแลสุขภาพกายเพื่อให้ผู้สูงอายุมีความสุขครบทุกมิติ นั่นคือ การอบรมพัฒนาจิตหรือการเจริญสติด้วยวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางของคุณแม่ ดร.สิริ  กรินชัย ซึ่งหนูอุ้มก็แสดงความสนใจมากและตั้งใจว่าจะพาครอบครัวของเธอไปร่วมกิจกรรมด้วยสักครั้งหนึ่ง เพราะคนใกล้ตัวบางคนมีความวิตกกังวลและความเครียดสูงทั้งที่แทบไม่พบสาเหตุ

            ข้าพเจ้ายินดีแทนผู้สูงวัยที่อยู่แวดล้อมเธอยิ่งนัก เพราะเธอมีทั้งความสนใจ ใส่ใจ และคอยคิดหาวิธีการที่จะทำให้บุคคลเหล่านั้นพบกับความสบายใจ ผ่อนคลาย และมีรอยยิ้ม โดยที่เธอเองนั้น เมื่อทำลงไปแล้วก็มีแต่ความปลาบปลื้ม เอิบอิ่มใจ เห็นได้จากพื้นที่ทางโลกโซเชียลของเธอที่ยืนยันด้วยภาพและถ้อยคำ  

           ว่าแล้วข้าพเจ้าก็ตั้งใจไว้ว่า สักวันหนึ่งจะต้องลองเข้าไปสัมผัสกิจกรรมอันน่ารื่นรมย์ของบริษัทหนูอุ้มเสียหน่อย เพราะถึงแม้ยังไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายโดยตรงของเธอ แต่ก็ขยับใกล้เข้าไปทุกที และเมื่อถึงเวลานั้นก็คงจะมีเรื่องราวกลับมาเขียนบอกเล่ากันได้หลายตอนทีเดียว

                                                          .........................................

(ส่วนหนึ่งของภาพบรรยากาศทริพบางกะเจ้า สำหรับวัยเก๋าที่รักการเดินทางท่องเที่ยว)





(ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ)
หมายเหตุ : ผู้เขียนต้องขออภัยที่หายไปติดต่อกัน 2 สัปดาห์เพราะติดกิจกรรมเจริญสติที่ต่างจังหวัดค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่