เรื่อง...ผีๆสางๆ (ต่อ)

กระทู้นี้เป็นเรื่องต่อจากกระทู้ที่แล้ว(https://pantip.com/topic/38053162) อย่างไรก็ขอเกริ่นซ้ำไว้อีกสักครั้งก่อนแทนคำเตือน เรื่องทั้งหมดที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล บางอย่างก็ยากที่จะเชื่อหรือนำมาแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ขอให้เพียงอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ผมไม่ได้มีเจตนาจะมอมเมาหรือหลอกลวงใดๆทั้งสิ้น เพียงแค่ ‘อยากเล่า’ เท่านั้น
...............................................................................

           รถค่อยๆเคลื่อนตัวออกสู่ถนนใหญ่ ระหว่างทางนั้นเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดทำให้ผมจำเป็นต้อง ‘อธิบาย’ ถึงตัวผมให้พ่อของมีนฟังอีกครั้ง อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็เพียงพอเพื่อให้เข้าใจตัวผมขึ้นมาได้บ้าง แน่นอนว่าพ่อค่อนข้างแปลกใจแต่ไม่ถึงกับปฏิเสธ คงเป็นโชคดีที่เรารู้จักกันมานานพอสมควร
          ลุงหวังยังนิ่งเงียบอยู่ที่เบาะข้างหน้าข้างคนขับ พวกเราปล่อยให้มันเงียบอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งเพราะไม่รู้จะต้องพูดอะไรกันในเวลาอย่างนี้
          สักพักพ่อเลี้ยวเข้าไปจอดที่ปั๊มน้ำมันเพื่อแวะกินข้าวกัน บนโต๊ะอาหารลุงหวังเริ่มพูดบ้างแล้วแต่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนบ้านเดียวกับพ่อเท่านั้น เหมือนคนที่จากบ้านมาคุยกัน
          ขาออกจากปั๊มลุงหวังเริ่มหันมาคุยกับผมบ้าง มันเป็นเรื่องทั่วๆไปแต่ก็พอจะรู้ได้ว่าเขาไม่ใช่คนคุยเก่ง แต่อาจจะอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยังเกรงใจกันอยู่บ้างเพราะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
           ลุงหวังล้วงมือเข้าไปในยามของตัวเองเหมือนคลำหาอะไรอยู่พักใหญ่ แต่จริงๆแล้วอาจไม่ใช่การควานหาแต่เป็นการหยิบจับอะไรบางอย่างเอาไว้ในมือไม่ยอมปล่อย
          ผมเอนหลังกลับมาพิงเบาะด้านหลังเพราะไม่รู้จะเริ่มประโยคการสนทนาอย่างไรต่อไปดี
          ลุงหวังเรียกชื่อผมก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้ผมโดยไม่ได้หันกลับมามอง ผมโน้มตัวเอื้อมมือไปรับอะไรก็ตามที่ลุงหวังกำไว้แน่น
          ผมแบมือรองไว้ต่ำกว่ามือของลุงหวัง ของบางอย่างตกลงใส่มือของผม น้ำหนักไม่มากนักแต่กลับทำให้รู้สึกวูบไหวไปชั่วขณะ
          ห่อผ้าเก่าๆห่อหนึ่งวางอยู่บนมือผมตอนนี้ มันถูกพันทบไปมาหลายชั้นจากเศษผ้าเก่าๆหลายสี ถ้าจะบอกว่าเป็นห่อผ้าก็อาจจะไม่เห็นภาพซะทีเดียว ให้นึกภาพตามว่ามันเป็นของที่ถูกมัดพันด้วยเชือกหลายๆชั้นคล้ายมัมมี่
          ขนาดของมันน่าจะประมาณเกือบคืบหนึ่งเห็นจะได้ ผมพลิกและกลิ้งมันไปมาบนมือด้วยความสงสัยพร้อมกับความรู้สึกมึนงงๆที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
‘แกะดูสิ’
          ลุงหวังพูดจากเบาะหน้าโดยไม่หันมาเช่นเคย ผมพยายามมองหาปลายผ้าที่เป็นชิ้นนอกสุดซึ่งมันถูกกลัดอยู่กับผ้าอีกเส้น ผมออกแรงดึงไม่มากนักมันก็หลุดติดมือผมออกมา
          ผมสาวผ้านั้นไว้ในมือ ผ้าชั้นนอกสุดถูกดึงออกจนหมดก็เผยให้เห็นเศษผ้าที่เก่ากว่าจนดูสกปรกห่อของข้างในไว้อีกชั้น พอผ้าชั้นนอกสุดถูกปลดออกมันก็ส่งกลิ่นฉุนคลุ้งไปทั่วรถ
          เราต้องรถกระจกรถลงหน่อยเพิ่มความแรงของเครื่องปรับอากาศเพื่อไล่กลิ่น
          ลุงหวังบอกให้แกะต่อเพื่อดูของข้างใน เศษผ้าชั้นต่อมานั้นเก่าจนกลัวว่าถ้าออกแรงมากไปมันจะขาดติดมือ ผมค่อยๆคลี่ผ้าออกจึงได้เห็นว่าที่ด้านหลังของมันมีตัวหนังสือเป็นอักขระเขียนอยู่ซึ่งเป็นภาษาที่ผมไม่เคยเห็น
          ทุกครั้งที่ผ้าถูกแกะออกความพะอืดพะอมก็เข้ามากระทบหน้าจนเกือบจะอ้วกไปหลายที
          ในทีสุดผมก็ได้เห็นของที่ถูกห่ออยู่ข้างใน ผมแทบจะมืออ่อนปล่อยมันลงกับพื้นรถ เพราะมันเป็นเศษกระดูกเก่าๆชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามันคือกระดูกอะไร แต่สภาพมันไม่น่ามองสักเท่าไหร่เลยจริงๆ
          กระดูกชิ้นนั้นดูแข็งและไม่มีร่องรอยของกาผุพังตามกาลเวลาเหมือของใหม่ นอกจากรอยแตกหักที่น่าจะเกิดจากสาเหตุอื่น ที่รอบๆกระดูกนั้นมียางไม้เหนียวๆสีน้ำตาลคล้ำจนเกือบดำขีดเขียนตัวหนังสือเอาไว้เหมือนกับบนเศษผ้า
          ลุงหวังถามผมว่ารู้ไหมมันคืออะไร ผมไม่รู้ว่ามันมาจากสิ่งมีชีวิตชนิดใด รู้เพียงทำให้ผมปวดหัวไปหมดในเวลานี้ ลุงหวังบอกให้ผมเอื้อมมือไปสัมผัสมันโดยตรงลองดูอีกครั้งว่ามันคืออะไร
           ผมช่างใจครู่หนึ่งแต่ก็ทำตามคำแนะนำนั้น ผมใช้มือเปล่าๆวางเบาๆลงบนตัวหนังสือที่เขียนจากยางไม้เหนียวข้นที่แข็งแล้ว จากนั้นค่อยๆไล่นิ้วลงไปตามความยาวของกระดูกชิ้นนั้น
         ไม่มีภาพหรืออะไรปรากฏขึ้นในความคิด ไม่มีเสียงของใครดังเข้ามาเหมือนในครั้งก่อนๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ชัดเจนและมันก็มากพอที่จะทำให้ผมต้องบอกให้พ่อของมีนจอดรถข้างทางโดยกะทันหัน
         กลิ่นสาบสัตว์คละคลุ้งอยู่ในจมูกและลมหายใจของผม กลิ่นของมันฉุนและเหม็นมาก หากใครเคยสัมผัสสัตว์ป่าน่าจะพอจินตนาการถึงกลิ่นนี้ออก แต่มันไม่ใช่แค่นั้นมันผสมปนเปไปด้วยกลิ่นเน่าที่ผมคุ้นเคย กลิ่นศพ กลิ่นเลือด และสุดท้ายกลิ่นที่ทำให้ผมทรมานที่สุดคือกลิ่นควันไฟ ที่ร้อนแสบลึกลงไปในโพรงจมูกและลำคอ
         ผมกระโดดลงจากรถทันทีที่เปิดประตูได้ อาหารที่เพิ่งกินเข้าไปไม่ทันได้ย่อยให้กลายเป็นสารอาหารตอนนี้มันออกมากองอยู่บนพื้นหญ้าข้างทางเป็นที่เรียบร้อย
         ผมตะกายกลับขึ้นมาบนรถด้วยสภาพที่ย่ำแย่เพราะความปวดหัวและคลื่นไส้ ตัวผมเองมีปัญหาเรื่องโพรงจมูกอยู่บ้างแล้วตั้งแต่ยังเด็ก คือ ผมแพ้สารระเหยทุกชนิด แม้แต่น้ำหอมของผู้หญิง เวลาได้กลิ่นอะไรแรงๆจะเกิดอาการปวดหัวเป็นประจำ พอมาเจออย่างนี้เข้ามันไม่เหมือนกับความนึกคิดที่ผุดขึ้นมา แต่เหมือนเราได้สัมผัสสูดดมกลิ่นนั้นเข้าไปจริงๆ
           เวลาผ่านไปสักพักผมค่อยๆดีขึ้นจึงกลับมาคุยกับลุงหวังที่กำลังบรรจงพันผ้านั้นกลับเข้าที่เดิมอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ดูขัดกันคงจะเป็นสีหน้าในเวลานั้น แม้มือจะบรรจงและประณีตเท่าไหร่สายตาคู่นั้นกลับแข็งกร้าวไร้แววของความเมตตาจนคนมองอดขนลุกไม่ได้
         ลุงหวังไม่ยอมบอกถึงที่มาของมันได้แต่พูดว่า ‘ไม่นานก็จะได้รู้ เพราะนี่คือสาเหตุที่ต้องให้เธอมาด้วย’
         ด้วยความเพลียผมปล่อยให้ตัวเองหลับไปทั้งอย่างนั้น รอจนกว่าเพื่อนหรือใครก็ตามจะปลุกผมขึ้นมาเมื่อถึงที่หมาย
         ในช่วงบ่ายแก่ๆเราก็มาถึงสถานที่ดังกล่าว ที่นั่นเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ จริงๆแล้วก็คงเรียกว่าเป็นชุมชนมากกว่าเพราะมีขนาดใหญ่ มีร้านสะดวกซื้อมีอนามัย มีเสาไฟฟ้า เรียกได้ว่าไม่กันดาร แต่บ้านหลายๆหลังยังคงเป็นแบบเก่าอยู่คล้ายกับบ้านแม่ของมีน
         แม้จะเป็นชุมชนกึ่งเมืองแต่เลยเข้าไปอีกหน่อยจะเห็นตีนเขาอยู่ไม่ไกลนัก ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันชื่อว่าอะไรแต่เหมือนมันจะเป็นชื่อที่คนแถวนั้นใช้เรียกกันมากกว่า เพราะผมลองเสิร์ชหาใน google ดูก็ไม่พบชื่ออย่างที่ว่า หรือบางทีมันอาจไม่ได้เป็นที่ท่องเที่ยว เลยไม่มีในข้อมูลทั่วๆไปก็เป็นได้
          เราจอดรถที่ตลาดเพื่อซื้อหากับข้าวเข้าบ้าน ลุงหวังขอแยกตัวที่นี่เลย พวกเราไม่ได้ถามอะไรต่อมากนัก จริงๆแล้วพวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามาทำอะไรที่นี่ แต่เมื่อได้ลุงหวังช่วยเอาไว้กับเรื่องก่อนหน้านี้ก็เป็นการยากที่จะปฏิเสธคำขอนี้เช่นกัน
         พวกเราเข้ามาที่บ้านพ่อของมีนซึ่งห่างออกไปจากตลาดพอสมควรเพราะเป็นบ้านสวน เท่าที่สังเกตดูน่าจะเป็นสวนที่ทำตามแบบฉบับของคนโบราณอย่างแท้จริง คือแบ่งไว้เป็นสัดส่วน มีหลายๆอย่างผสมรวมๆกัน แต่ก็เป็นระเบียบสะอาดตา ทางเข้าบ้านยังเป็นดินทั้งหมด
‘คนที่บ้านเขาชอบน่ะ ไม่ยอมให้ราดยางราดปูน บอกว่ามันร้อน’
         พ่อพูดพร้อมกับรอยยิ้มขณะเลี้ยวรถเข้าบ้าน ก็จริงอย่างที่ว่าถนนคอนกรีตหรือจะสู้ถนนดิน ยิ่งอยู่นอกเมืองอย่างนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ถนนดินแบบนี้ต้องคอยพรมน้ำเอาไว้บางๆเพื่อไม่ให้ฝุ่นมันฟุ้งแต่ก็เยอะเกินไม่ได้เพราะจะกลายเป็นโคลนแทน อากาศช่วงนี้ค่อนข้างสบายทำให้ที่นี่น่าอยู่เป็นพิเศษ
         บ้านสวนแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงบ้านที่ผมโตมาในช่วงวัยเด็กอาจไม่ใช่บ้านสวนแบบนี้แต่ก็เป็นบ้านนอกที่มีแต่ต้นไม้และกลิ่นดิน ซึ่งตอนนี้ไม่เหลือแล้วแม้ว่าจะขับรถกลับไปเยี่ยมชมแถวนั้นก็เหลือแต่เพียงตึกปูนเต็มไปหมด แม้แต่บ้านหลังที่ผมโตมาก็ไม่เหลือแล้วเช่นกัน
         เรากินอาหารเย็นกันในบรรยากาศแบบบ้านๆอย่างที่ชอบ คือนั่งกับชานบ้านมีโต๊ะไม้เตี้ยๆวางบนแคร่ไม้อันใหญ่ล้อมวงกันหลายคนผมจำได้ไม่หมดเพราะญาติเยอะมาก วันนั้นมีแต่ความสนุกสนานและความอบอุ่นทำให้ลืมเรื่องราวที่เพิ่งเจอมาไปเสียสนิท
         แต่เรื่องแปลกเรื่องหนึ่งที่ผมเอะใจก่อนจะแยกตัวไปพักผ่อนคือ ผู้ใหญ่คนหนึ่งในวงข้าวเย็นพูดขึ้นมาว่า ‘อย่าออกไปไหนกลางดึกนะ แล้วอย่าไปเที่ยวเล่นแถวป่าด้านโน้นล่ะ’
         ผมมองตามมือที่ผายไปก็เห็นเป็นตีนเขาที่ผมเห็นตอนขับรถเข้ามาเมื่อตอนเย็น มันอาจจะเป็นความกังวลของผู้ใหญ่ตามปกติ ผมคิดอย่างนั้น
         ผมกับมีนแยกตัวออกมายังเรือนเล็กหลังเรือนใหญ่ด้านหน้า เมื่อสมัยเด็กๆบ้านนี้ถูกสร้างเพิ่มเพื่อมีนและครอบครัวเวลามาพักผ่อน เพราะตัวบ้านค่อนข้างเก่าและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยมากนักอาจไม่เหมาะใจกับคนเมืองสักเท่าไหร่
         เรือนไม้หลังนี้เรียกว่า ถูกใจผมเป็นอย่างมาก มันเป็นทรงโบราณที่ผสมผสานกับบ้านปัจจุบัน จริงๆแล้วอาจพบเห็นได้ทั่วๆไปตามร้านอาหารไทยหลายๆร้ายที่ตอนนี้เกลื่อนกลาดจนไม่เหลือความเป็นเอกลักษณ์อีก
           เรานั่งกินกันต่อคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง จนเลยเที่ยงคืนไปจึงหลับได้ อากาศในวันนั้นจำได้ว่าเย็นสบายไม่เหนอะหนะเหนียวตัวทำให้ความเหนื่อยล้าค่อยๆอันตรทานหายไปในที่สุด
           ไม่รู้ช่วงเวลาแต่ความทรงจำนั้นชัดเจน ผมได้ยินเสียงผิวน้ำกระเพื่อมเป็นระรอกคลายกับมีคนว่ายไปมาอย่างช้าๆ เป็นความจริงที่คลองเล็กๆของชุมชนนั้นทอดตัวยาวผ่านเรือนไม้หลังน้อยของมีน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะใกล้จนชิดเสียให้ได้ยินชัดเจนขนาดนี้
          เสียงจ๋อมแจ๋มของระรอกน้ำดังเข้าเมื่อมันกระทบเข้ากับชานไม้ของศาลาที่ยื่นต่ำลงไป เสียงน้ำกระทบไม้นั้นน่าฟัง หากเคยได้ยินก็คงจะไม่มีวันลืมและนึกออกในชั่วเสี้ยววินาทีที่ได้ยินมันอีกครั้ง
กึก...
          เสียงน้ำหนักหนึ่งกดลงกระทบกับแผ่นไม้ หรือบันได้ที่ท่านน้ำ ไม่แน่ใจ แต่เสียงนั้นไม่หนักมาก ผมหลับตาฟังอยู่บนเตียงอย่างสงบ
          ใจหนึ่งคิดว่าอาจเป็นใครสักคนที่มาเล่นน้ำหรืออาบน้ำในตอนเช้าตรู่เพราะตอนนั้นผมไม่ได้ดูนาฬิกาเห็นเพียงแสงจันทร์สลัวอยู่นอกหน้าต่าง
          ถัดจากเสียงน้ำหนักลงกระทบไม้ก็ตามมาด้วยเสียงคลื่นน้ำก้องอยู่ในอากาศ หากฟังแต่เสียงก็พอจะจินตนาการได้ว่าใครบางคนคงจะเอาเท้าแกว่งน้ำเล่นอย่างสบายใจ
          เสียงจักจั่นดีดปีกไพเราะผสมผสานกับเสียงลมพัดผ่านใบไม้ซึ่งเป็นเสน่ห์ของบ้านสวน แต่ที่เสนาะหูที่สุดคงจะเป็นเสียงนกที่ออกหากินยามค่ำคืน ความทรงจำในคืนนั้นช่างสดใสและสวยงาม แต่แล้วทุกอย่างก็พลันเงียบไปในเวลาเพียงอึดใจเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่