สรูปเรื่องวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558

บทสรุปสุดท้าย " ผมเลือกที่จะบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้กับคนที่ผมชอบไป "

แต่จังหวะนั่นเค้าได้หายไปเป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ
ทุกๆวันผมมักจะบอกความรู้สึกตัวเองผ่านแชท " facebook "
ตลอดหนึ่งปีเต็มผมหวังได้แต่ว่าเค้ากลับมาเห็นข้อความนี้แล้วคงจะประทับใจในตัวผม
ทุกๆวันผมได้แต่รอเค้ากลับมาตอบแชทที่ออฟไลน์มาเป็นเวลาหลาย ๆ เดือน
นับจาก 1 เดือนไป2เดือนไปจน 1 ปีเต็มผมก็ได้แค่นั่งเฝ้ารอความหวังโดยไม่รุ้ว่าเค้าจะมาเมื่อไหร่
ผมบอกอย่างเวลาที่ผมเครียด น้อยใจ เค้าใจหรือกังวลใจ เรื่องเรียนยากบ้างง่ายบ้าง
ผ่านแชทที่ไม่มีแม้แต่คนที่จะตอบ...

ระยะผ่านไปในช่วงปวส.ปี1เทอม2

ผมก็ยังคงควักโทรศัพท์ขึ้นมาดูอยู่เสมอว่าเค้าจะออนมั้ย
ทุกๆวันผมมักจะเดินไปในที่เดิมๆที่เคยไปด้วยกันกับเขา
ฝึกงานด้วยกันกินเล่นเทียวเดียวกันในสมัยที่ยังเคยเป้นเพื่อนกัน ( ตอนปวช )

ตอนนั่นเราสองคนไม่ได้เรียนต่อด้วยกัน ผมเรียนต่อปวส

ผมก็มักจะคิดถึงเรื่องราวเดิมๆของเค้าเสมอไม่ว่ามันจะนานเท่าไหร่
มันจะเป็นความสุขของผมในตอนนั่นคือสิ่งที่ได้นึกแล้วคิดถึงตลอดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเต็มสองแก้ม
มันเป็นความรู้สึกดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกันมันทรมารมาก

ใครจะไปคิดว่าคนคนนึ่งจะรักคนคนนี้ได้มากขนาดนี้ได้มากกว่าเกินกว่าใจของตัวเอง
ทุกๆวันยังเฝ้ารอคอยอย่างไรจุดหมาย

และก็ยังบอกกับตัวเองเสมอว่าทำแบบนี้ถูกแล้วใช่ไหม

จนกระทังวันนี้ผมไปปริ้นงานแถวหน้าวิทลัยตอนปวส
มีเสียงแชทเด้งเข้ามาทั้งๆที่มันเคยเงียบเป็นเวลานานมากตั่งแต่เล่นเฟสบุ๊ค

มันเป็นเสียงแชทที่ผมอยากให้ตอบมาเป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ
มันเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความดีใจและมีคำพูดมากมายอยากจะคุยด้วย
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีแล้วดูเหมือนเค้าก็จะคิดเหมือนกับเรา
เราก็เริ่มรู้สึกมีความหวังอีกครั้ง

เพราะมักจะคิดเสมอว่าคนคนนี้คือคนเราที่เราจะดูแลในอนาคตและจะเป็นคนสุดท้ายตลอดไป
อยากจะดูแลทุกอย่างไม่ให้เค้าเหนื่อยหรือจะไม่ทำให้เขาเสียใจ
การที่เค้ากลับมาครั้งนี้ผมมักจำย้ำตัวเองเสมอว่าจะไม่ปล่อยโอกาส
ทุกความรู้สึกล้วนแล้วเตรียมพร้อมที่จะดูแลและจะอยู่กับเขาไปจนวันสุดท้าย

พอเขาเริ่มกลับมาออนอีกครั้งนึ่งเราก็เริ่มคุยกันทุกอย่างเหมือนปกติ
ความรู้สึกผมมันดีใจมากระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
แต่วันนี้มันกลับกายเป็นวันที่มีความสุขที่สุดเท่าที่เคยรอมาเลยแหละ...

ทุกประโยคในการสนทนาเราชัดเจนมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ชอบบอกชอบรุ้สึกดีก็บอกรู้สึกดีเพราะผมคิดแล้วว่าเค้าก็คงจะชอบผมแน่ๆ
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี

ก่อนวันที่จะนัดรวมตัวกัน *

คนที่ผมชอบมากที่สุดเค้าไปบอกเพื่อนอีกคนนึ่งที่เค้าสนิทด้วย
ว่าผมนั่นชอบเค้าและแคปทุกอย่างที่ผมบอกเค้าในระยะเวลา 1 ปีเต็มให้เพื่อนเขาดู

เค้าดูถูกความรู้สึกของผมมากๆ จนผมรุ้สึกว่ามังพังจนไม่เหลืออะไร

มาถึงวันนัดรวมกลุ่ม ใจผมไม่อยากจะไปเพราะกลัวเพื่อนรู้ว่ผมเองนั่น " เป็นเกย์ "
เพราะได้บอกชอบเพื่อนผู้ชายด้วยกันไปในแชทนั่นมันทำให้ผมไม่กล้าเลือกที่จะเข้าไปเจอกลุ่มเพื่อน
จนกระทั่งได้ตัดสินใจไปเจอกับกลุ่มเพื่อน
เพื่อนที่คนที่ผมชอบและสนิทด้วยนั่น เค้ากระซิบบอกกันแล้วมองมาที่ผม
ทุกอย่างล้วนแล้วมีนินทากันแบบผมต้องแกล้งโง่ทั้งๆที่ตัวเองรุ้อยู่แล้ว

วันนั่นเป็นวันที่รู้สึกหน้าชามาก ผมทำตัวทุกอย่างเหมือนปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ทุกคนในกลุ่มล้วนแล้วรู้กันหมดว่าผมรุ้สึกยังไงกับเพื่อนคนนี้

พอเราคุยกันเสร็จเราก็เดินไปห้างต่อ
สิ่งแรกที่ คนที่ผมชอบเดินมาแล้วถามผมว่า...
A : เป็นอะไรหรือเปล่า...ชวนคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ผม : กลับเงียบแล้วเดินห่างๆไป

วันนั่นความรู้สึกมันพังตั้งแต่รู้ว่าเค้าบอกก่อนเพื่อนของเขาวันนึ่งแล้ว
ความรู้สึกมันแย่มากๆ

พอเราเลยจุดนั่นมาเราก็เริ่มโตพอเข้าใจในสิ่งที่มันเกิดขึ้นทั้งหมด
โตขึ้นเวลามันจะสอนให้เราโตขึ้นตามระยะเวลากำหนด

ผมกลายเป็นคนที่ไม่อยากคุยกับเพศเดียวกันอีกเลย
ไม่กล้าที่จะเปิดใจคุยกับเขาเพราะคิดว่าถ้าเค้าทำดีกับเรา
เราจะเป็นฝ่ายชอบเขาแน่ๆ
มันการเป็รเกาะป้องกันตัวเองไปโดยที่ไม่รู้ตัว

พอนับวันก็ยิ่งเหมือสร้างกำแพงให้กับตัวเองทุกครั้งที่มีโอกาส
มันแย่มากกับความรู้สึกที่ตัวเองไปโดนอะไรมาแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือน
จะต้องปฏิเสธสิ่งรอบข้าง

กลัวมันจะซ้ำรอยมั้ย
หรือมันจะเป็นฝ่ายที่เราคิดไปเองว่ะ

นับจากวันนั่นผมก็ทำตัวเองให้ดีขึ้น
หน้าที่การงานก็ดีขึ้นตามลำดับ

ผมก็มักจะไปส่องเฟสเขาเรื่อยๆจนมาถึงปัจจุบันนี้
เวลาเขาเศร้าเราทำได้เต็มที่แค่นั่งดูโพสต์เขา
เวลาเขาสุขเราก็ยิ้มได้เวลาที่เขาโพสต์
สเตตัสทุกตัสผมได้ทุกวันทุกข้อความ
ทุกอย่างเป็นการดูแลแบบห่างๆจริงครับ

มันเป้นสิ่งที่ผมคิดว่า " ถ้าเขามีความสุขแล้ว "
ผมก็มีความสุขเช่นกันเมื่อเห็นเขามีความสุข

จนถึงปัจจุบันนี้ก็ได้เห็นเขาขึ้สถานะ " มีแฟนแล้ว "
ซึ่งอย่างที่ผมคาดการไว้ เค้าได้คบหากับผู้ชายอีกคนนึ่ง
ผมจึงได้เข้าใจว่าตัวผมเองนั้นไม่ได้คิดไปเอง

ทุกอย่างตอนนี้กลายเป็นเรื่องราวที่มักจะสอนและเป็นบทเรียนเราอยุ่เสมอ

สิ่งใดจะสุขได้เท่าใจเราสุข

แต่บางครั้งก็แอบคิดในหัวว่า
ถ้าคนนั่นดูแลเขาไม่ดีพอจะทำอย่างไร
เค้าจะทำร้ายคนที่ผมชอบหรือเปล่า
เค้าจะพูดไม่ดีกับคนที่ผมชอบหรือเปล่า
เค้าจะเข้าใจในตัวตนคนคนนี้มั้ย


ปล. ทุกอย่างล้วนแล้วมีเหตุผลของมัน
เวลาเป็นตัวแปลว่าเราควรจะต้องเดินอย่างไรต่อ
ปล.1 จงรักเท่าที่เรารุ้สึกไว้และอย่าทุ่มเทใจให้มาก

#ความทรงจำน้อยของผม ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่