***สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิปที่เคารพรักทุกท่าน***
เชื่อว่าเพื่อนๆหลายๆท่านที่ได้เริ่มมาติดตามน้องๆ "BNK48" ได้ซักระยะคงมีโอกาสประสบพบเจอคำถามนี้กับตัวกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ผมเองก็เป็นคนนึงที่เจอคำพูดแบบนี้ประจำพอมีคนรู้ว่าเริ่มมาติดตามวงอาทิ
- "วงอะไรฟระเอาเด็กผู้หญิงมานุ่งสั้นๆแล้วเต้นโชว์ขาอ่อนบนเวทีไม่เห็นจะมีสาระอะไรเลย"
- "

นี่ทำงานมาจนแก่อายุก็30+แล้วยังเที่ยวมาตามวงไอดอลสาวๆแบบนี้อีกโรคจิตรึเปล่า"
- "ที่ทำแบบนี้นี่คิดว่าน้องเขาจะมาสนใจอะไรกับคนอย่าง

หรือ ไม่มีทางหรอกเลิกฝันกลางวันได้แล้ว"
ด้วยเหตุนี้เองผมเองจึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์อะไรกับเพื่อนๆซักเล็กน้อยครับ และนี่คงเป็นกระทู้เดียวที่จะมาพูดอะไรทำนองนี้ และเมื่อเล่าจบแล้วผมเองก็อยากจะขอลองฟังประสบการณ์ของเพื่อนๆเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกันดูบ้างถ้าใครสะดวกนะครับ
คือขอเล่าก่อนว่าผมเองทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนเดินดินกินข้าวแกงสุแสนจะธรรมดาคนนึง อายุอานามก็ประมาณ30+แก่หงำจนไม่มีใครมาเรียกว่าน้องอีกแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าด้วยวัยนี้ผมเองก็มีกิจวัตรเหมือนเพื่อนๆทุกคนคือตื่นมาทำงานอาทิตย์ละ6วัน+เรียนด้วยก็เป็น7วัน(ทั้งอาทิตย์แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย) ทุกวันที่ผ่านมาก็พบเจอแต่เรื่องเดิมๆที่แสนน่าเบื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นวัฏจักร ชีวิตนี้ยุ่งอยู่กับการเรียน ทำงาน ออกกำลังกาย เก็บออมเงิน ลงทุน หุ้น ฯลฯ เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า ซึ่งที่ผ่านมาสื่อบันเทิงโดยเฉพาะวงการเพลงสมัยใหม่กับผมนั้นเรียกได้ว่าแทบจะแยกจากกันมานานเกือบ10ปีแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะคงจำกันได้ว่าเมื่อเกือบ10ปีที่แล้ววงการบันเทิงในบ้านเราเต็มไปด้วยกระแสการประกวดพวก รายการค้นจักรวาลคว้ากาแล็คซี่ บ้านสถาบันนักร้อง ฯลฯ ซึ่งบอกตรงๆผมเอียนรายการพวกนี้มาก+กับแนวทางการทำเพลงของศิลปินในยุคนั้นไม่ถูกจริตผมที่ชอบเพลงยุค80 จึงทำให้ผมตัดขาดการรับรู้จากวงการเพลงยุคใหม่ไปโดยปริยาย
จากนั้น10ปีที่ผ่านมาผมก็คงเหมือนหลายๆท่านคือใช้ชีวิตวนลูปไปกับวงจรอันซ้ำซากในแต่ละวัน ชีวิตมีขึ้นมีลงเจอทั้งอุปสรรค เรื่องร้าย เรื่องดี เรื่องสุขสม เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา โหดร้าย น่ารัก มีอยู่คู่กันไปจนแทบจะอยากครวญเพลง "ห้องสีขาว" ของ "พี่แจ้" ออกมา ณ ตอนนี้เลย ช่วงนั้นบอกตามตรงเหมือนกับชีวิตตัวเองมันแห้งแล้งเหี่ยวเฉาลงไปเรื่อยๆ แม้จะพยายามออกไปทำกิจกรรมใหม่ๆหลายอย่างเพื่อหาแรงบันดาลใจและไอเดีย แต่สิ่งที่ได้กลับมามันเหมือนปรากฏขึ้นเพียงชั่วแว่บเดียวแล้วก็จางหายไป กระทั่งเมื่อไม่ถึง2เดือนมานี้ผมได้มีโอกาสก้าวเข้าไปสัมผัสกับโลกใบใหม่ที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อนนั่นคือโลกของน้องๆวง "BNK48"
น้องๆวงBNK48ผู้นำโลกใบใหม่มาสู่ชีวิตผม
โดยสาเหตุของการที่ได้มารู้จักน้องๆนั้นเพราะบังเอิญผมได้มีโอกาสไปรับชมภาพยนตร์ไทยเรื่อง "App War" (แอปชนแอป) แล้วไปสะดุดตากับน้องคนนึงที่รับบทเป็นนักศึกษาฝึกหัด ซึ่งตอนแรกที่ผมทำนั้นเพียงแค่จะกลับมาค้นรูปเธอเพื่อดูประวัติซักเล็กน้อยแล้วก็ปล่อยจางไป แต่ทว่า...
"น้องอร" แมวน้ำจอมแก่น "ประตู" บานแรกที่ทำให้ผมได้ก้าวเข้ามาสู่โลกของน้องๆ BNK48
ซึ่งหลายๆท่านคิดว่าเรื่องมันก็คงจบลงที่ผมกลายเป็นแฟนคลับ "น้องอร" ไปโดยปริยาย แต่ทว่าเมื่อเริ่มค้นข้อมูลของน้องเขามากขึ้นก็ลามไปถึงเรื่องราวของวงและผลงานต่างๆทั้งการแสดงและงานเพลง จุดนั้นนั่นเองทำให้ผมพบกับน้องเมมเบอร์อีกคนนึงที่ได้ก้าวเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือนั่นคือ "น้องเจน" นั่นเองครับ
"น้องเจน" สลอธน้อยแสนน่ารักประจำวง BNK48 ผู้เปลี่ยนชีวิตของผมและใครอีกหลายๆคน
เพราะเมื่อผมได้ก้าวเข้ามาสู่โลกของน้องเจนและเพื่อนๆก็พลันทำให้ชีวิตที่แสนจำใจซ้ำซากไร้สีสันของผมกลับมาสดใสขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนกับตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปเป็น "วัยรุ่น" อีกครั้งหนึ่ง มันเหมือน "แบตเตอรี่" เก่าๆที่ได้รับการชาร์ตประจุพลังไฟจนเต็มเปี่ยมอีกครั้ง เรียกว่าตั้งแต่ติดตามวงBNK48มาชีวิตผมมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากพลังไฟในใจที่ลุกโชนชึ้นมา การมาติดตามน้องๆทำให้ในที่สุดผมก็กล้าที่จะลุกขึ้นมาทำสิ่งใหม่ๆที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งหลายเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้ไปทำหรือสัมผัสเลย (ที่ฮาสุดคือการตัดสินใจไปเรียนภาษาญี่ปุ่นซึ่งเป็นความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กนี่แหละ ^_^) และจุดนี้เองทำให้ผมได้รู้ซึ้งถึงคำกล่าวติดตลกที่ว่า "IDOL IS A HEALER" ซึ่งแต่ก่อนผมเคยหัวเราะเยาะกับคำพูดนี้นะแต่ตอนนี้พอได้มาเจอกับตัวเองแล้วจึงรู้คำตอบของมันเสียที!
และ ณ จุดนี้เองหลังได้รับรู้เรื่องราวของวงอย่างจริงจังมากขึ้นไปอีกจึงทำให้รู้สึกทึ่งและเปลี่ยนความคิดที่ตนเองเคยมีต่อระบบ48Gไปแทบทั้งหมด เพราะก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยได้ยินชื่อวงพี่ "AKB48" ของฝั่งญี่ปุ่นมาบ้างและค่อนข้างไม่ชอบเอามากๆด้วย ที่ไม่ชอบเพราะผมเกลียดการที่ผู้ใหญ่มาหากินกับเด็กสาวด้วยการให้นุ่งสั้น เต้นโชว์ขาอ่อนบนเวที และให้เด็กๆเหล่านั้นไปถ่ายแบบชุดว่ายน้ำลงเอ็มวีบ้าง ลงนิตยสารบ้าง แต่เมื่อผมลองเปิดใจและรับข้อมูลมากขึ้นจึงทำให้รู้ว่าวงไอดอล "48G" นั้นไม่ได้เน้นขายเรื่องอย่างว่าเลย
แต่สิ่งที่เขาขายคือความพยายาม ความตั้งใจ ความฝันของเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่ต้องการก้าวไปข้างหน้าในวงการบันเทิง ซึ่งทุกคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกนั้นไม่มีใครเพียบพร้อมแต่แรกส่วนมากสกิลทางด้านนี้แทบจะเป็น0 ผิดกับนักร้องศิลปินอื่นๆที่การเดบิวต์ออกมาได้นั่นหมายถึงสกิลความสามารถในทุกๆด้านของคุณต้องเต็ม100พร้อมที่จะปล่อยของแล้ว แต่ระบบ48Gคือการแข่งขัน การกระตุ้น ให้น้องๆที่เริ่มจาก0พยายามพัฒนาศักยภาพตนเอง และดึงเอาความสามารถของตัวเองมาโชว์ให้ผู้คนได้รับชม ซึ่งการจะมาถึง ณ จุดที่แสงไฟสาดส่องพวกเธอแต่ละคนบนเวทีได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

และที่ผมยินดีอย่างที่สุดคือการเข้ามาของน้องๆ "BNK48" นั้นทำให้ความหมายของ "ไอดอล" ในเมืองไทยเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกที่ควรเสียที เพราะในสมัยผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่นั้น "ไอดอล" ในยุคผมคือน้องๆนักเรียนวัยใสน่ารักที่มาถ่ายแบบตามนิตยสารต่างๆจนมีการขนามนามพวกเธอว่า "เน็ตไอดอล" คือนางแบบอายุน้อยที่มีผลงานในวงการโดยขายภาพลักษณ์ความน่ารักสดใส(ยุคผมคือ "น้องบอลลูน" ที่เริ่มจุดกระแสนี้ก่อนคนอื่น) แต่ทว่าหลายปีหลังมานี้ผมเองก็ไม่ทราบว่ามันเกิดอาเภทเหตุอุบาทว์อะไรกันขึ้นในบ้านเรา เมื่อคำว่า "เน็ตไอดอล" ในยุคหลังๆกลายเป็นคำที่เอาไว้ใช้เรียกขานพริตตี้ตกอับหรือหญิงสาวที่ไปศัลยกรรมร่างกายจนแลดูคล้ายมนุษย์ต่างดาวในคราบชาวโลก แล้วชอบมาถ่ายแบบ เต้นยั่วยวนแบบไม่อายฟ้าดิน หรือบางรายถึงขั้นโชว์ของสงวนที่ไม่ควรเปิดเผยในโลกไซเบอร์ พร้อมหลอกขายครีมกวน อาหารเสริมปัญญาอ่อนให้กับผู้คนในสังคม และผู้คนกับสื่อก็ยังไปขนานนามกลุ่มคนเหล่านี้ว่า "เน็ตไอดอล" เสียอีก?
แต่ทว่าการปรากฏตัวของน้องๆ "BNK48" ทำให้คำว่า "ไอดอล" กลับมาในทางที่ถูกครรลองคลองธรรมอีกครั้ง เพราะโดยเนื้อแท้คนที่ควรได้รับคำๆนี้ไปใช้มันควรจะเป็นต้นแบบและตัวอย่างของความพยายามในเรื่องดีๆที่ช่วยจรรโลงโลกและสังคม เหมือนที่น้องๆ "BNK48" ได้แสดงให้พวกเราเห็นแล้วว่าการจะมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ น้องๆแทบทุกคนต้องเรียนไปด้วย ซ้อมไปด้วย ทำงานในนามของวงไปด้วย เรียกว่าพวกเธออาจจะทำงานหนักและมีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าผู้ใหญ่หลายๆคนเสียอีก นี่สิครับจึงเหมาะสมกับคำว่า "ไอดอล" ที่แท้จริง เพราะน้องๆคือต้นแบบของความพยายาม เมื่ออยากได้สิ่งไหนก็ต้องอาศัยแรงกายแรงใจและหยาดเหงื่อแลกมาจึงจะสำเร็จ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏให้เราได้เห็นจากการกระทำของพวกเธอและบทเพลงต่างๆที่ปล่อยออกมาให้รับชมกันไปแล้ว
สำหรับเรื่องคำถามอายุ30แล้วทำไมมาตามน้องๆเหมือนพวกโรคจิตเฒ่าหัวงู คืออยากจะบอกยังงี้นะครับผมเองติดตามน้องๆด้วยความรู้สึกเหมือนพี่ชายเอ็นดูน้องสาว เพราะอย่างน้องเจนสลอธนี่ก็อายุเท่ากับน้องสาวผมเป๊ะเลย แล้วก็เป็นนักศึกษาเฟรชชี่ปี1เหมือนกันอีกด้วย การที่ผมติดตามให้กำลังใจน้องเจนมันไม่ใช่ความรู้สึกแบบผู้ชายรักใคร่ชอบพอหญิงสาวหรือเพศตรงข้าม แต่มันก็เหมือนพี่ชายคนนึงที่คอยเอาใจช่วยสนับสนุนอยากเห็นน้องสาวตัวเองเติบโตไปในเส้นทางที่ใฝ่ฝันก็เท่านั้นเอง ซึ่งผมคิดว่าเพื่อนๆหลายคนก็คงรู้สึกเหมือนกันในจุดนี้ครับ

อีกประการหนึ่งที่อยากบอกก่อนจากกันคือยังมีคนจำนวนมากคิดผิดไปไกลว่าการติดตามน้องๆวง "BNK48" นั้นต้องเป็นพวกมีเงินถุงเงินถังพร้อมจะเปย์ (จริงๆส่วนตัวผมไม่ชอบคำนี้นะ!) หรือต้องมาเสียเงินเสียเวลาในการซื้อสินค้าที่ระลึกและคอยตามน้องๆในงานต่างๆจนเสียทั้งเงินทองและเวลาอันมีค่าไป คือผมเองมักจะบอกคนที่รู้จักกันและชอบ"BNK48"เสมอว่า เราอาจจะติดตามผลงานน้องๆได้ ปลื้มน้องๆได้ เป็นกำลังใจให้น้องๆได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้คุณต้องทำมันโดยไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและคนรอบข้าง ถ้าคุณจ่ายเงินเพื่อการณ์นี้มากจนตัวเองหมุนเงินไม่ทันหรือพ่อแม่ต้องลำบากผมว่าคุณก็ไม่ต่างกับ "ไอ้โง่" ตัวนึงที่เป็นได้แค่ "เครื่องผลิตเงิน" ของใครบางคน
แต่ถ้าคุณรู้จักการติดตามวงอย่างมีสติ มีความยับยั้งชั่งใจ รู้จักการทำบัญชีราบรับรายจ่าย หักเงินส่วนหนึ่งมาออมและลงทุนเพื่อเป้าหมายในอนาคต อีกส่วนเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แล้วเอาเงินส่วนที่เหลือมาใช้สันทนาการ ตรงนี้ผมถือว่าคุณคือแฟนคลับที่ฉลาดและเฉียบคมคนหนึ่ง ส่วนตัวผมเองยอมรับว่าไม่ใช่แฟนคลับกระเป๋าหนักเพราะตัวเองไม่ค่อยจะมีเวลาว่างรวมถึงมีภาระและอนาคตที่วาดฝันไว้ จึงทำได้เพียงติดตามน้องๆทางหน้าจอและคอยสนับสนุนในส่วนที่ตนเองจะทำได้ และอาศัยพลังบวกที่ได้จาก "น้องเจน" กับเพื่อนๆมาใช้เป็นแรงขับดันในการก้าวเดินต่อไปข้างหน้าซึ่งนั่นก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว
ป.ล. สุดท้ายผมอยากจะขอแสดงความขอบคุณไปยัง "น้องอร" และ "น้องเจน" เชื่อว่าน้องคงไม่มีโอกาสได้มาอ่านข้อความนี้ แต่ถึงอย่างไรเสียก็อยากจะบอกความรู้สึกออกไปซักครั้ง คือ ณ จุดนี้พี่เจไดต้องขอขอบคุณน้องทั้งสองคนเป็นอย่างมากจริงๆ สำหรับใครหลายคนหรือแม้กระทั่งตัว "น้องเจน" และ "น้องอร" เองอาจคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ทุกวันนี้คือการประกอบอาชีพและทำตามความฝันของตัวเอง แต่พี่อยากให้รู้ว่า ณ ขณะที่เธอได้ก้าวเดินไปตามความฝันของตัวเองนั้น ความพยายามอย่างแรงกล้าของพวกเธอได้ช่วยเยียวยาจิตใจและช่วยเหลือผู้คนอีกมากมาย การเป็นไอดอลสำหรับหลายคนอาจดูเหมือนบทบาทชีวิตไม่มีความสำคัญ แต่สำหรับพี่เจไดและแฟนคลับBNK48จำนวนมากการมาของพวกเธอมันเหมือนแสงสว่างที่เข้ามาจุดตะเกียงที่ดำมืดให้สว่างสไวได้อีกครั้ง ขอบคุณนะครับ "น้องเจน" สลอธน้อยที่ทำให้ชีวิตพี่กลับมามีสีสันและพลังบวกอีกครั้งหนึ่ง ขอบคุณน้องๆวงBNK48ทุกๆคนเลยครับ
...และสำหรับเพื่อนๆท่านไหนที่กำลังมีปัญหาชีวิต หรือรู้สึกว่าชีวิตกำลังหมดไฟไม่มีแรงกายแรงใจจะทำสิ่งใหม่ๆอีกต่อไป ผมอยากขอให้ท่านลองเปิดใจเข้ามาสัมผัสโลกของน้องๆ "BNK48" ดูครับ ไม่แน่ว่าท่านอาจจะได้รับการเยียวยาเหมือกับผมและเพื่อนๆอีกจำนวนมากก็เป็นได้เพราะคำว่า "IDOL IS A HEALER" นั้นต้องมาสัมผัสด้วยตนเองถึงจะรู้ครับ...
..ขอบคุณครับ..
(May the Sloth be with you)
ขอสลอธน้อยจงสถิตย์อยู่กับท่าน

[
BNK48มันมีอะไรดี แค่วงที่เอาเด็กสาวนุ่งสั้นๆมาเต้นโชว์ ทำงานแล้วยังมาตามอะไรแบบนี้อยู่อีก มาครับ!คำตอบนี้ผมจะเล่าให้ฟัง
เชื่อว่าเพื่อนๆหลายๆท่านที่ได้เริ่มมาติดตามน้องๆ "BNK48" ได้ซักระยะคงมีโอกาสประสบพบเจอคำถามนี้กับตัวกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ผมเองก็เป็นคนนึงที่เจอคำพูดแบบนี้ประจำพอมีคนรู้ว่าเริ่มมาติดตามวงอาทิ
- "วงอะไรฟระเอาเด็กผู้หญิงมานุ่งสั้นๆแล้วเต้นโชว์ขาอ่อนบนเวทีไม่เห็นจะมีสาระอะไรเลย"
- "
- "ที่ทำแบบนี้นี่คิดว่าน้องเขาจะมาสนใจอะไรกับคนอย่าง
ด้วยเหตุนี้เองผมเองจึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์อะไรกับเพื่อนๆซักเล็กน้อยครับ และนี่คงเป็นกระทู้เดียวที่จะมาพูดอะไรทำนองนี้ และเมื่อเล่าจบแล้วผมเองก็อยากจะขอลองฟังประสบการณ์ของเพื่อนๆเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกันดูบ้างถ้าใครสะดวกนะครับ
คือขอเล่าก่อนว่าผมเองทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนเดินดินกินข้าวแกงสุแสนจะธรรมดาคนนึง อายุอานามก็ประมาณ30+แก่หงำจนไม่มีใครมาเรียกว่าน้องอีกแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าด้วยวัยนี้ผมเองก็มีกิจวัตรเหมือนเพื่อนๆทุกคนคือตื่นมาทำงานอาทิตย์ละ6วัน+เรียนด้วยก็เป็น7วัน(ทั้งอาทิตย์แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย) ทุกวันที่ผ่านมาก็พบเจอแต่เรื่องเดิมๆที่แสนน่าเบื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นวัฏจักร ชีวิตนี้ยุ่งอยู่กับการเรียน ทำงาน ออกกำลังกาย เก็บออมเงิน ลงทุน หุ้น ฯลฯ เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า ซึ่งที่ผ่านมาสื่อบันเทิงโดยเฉพาะวงการเพลงสมัยใหม่กับผมนั้นเรียกได้ว่าแทบจะแยกจากกันมานานเกือบ10ปีแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะคงจำกันได้ว่าเมื่อเกือบ10ปีที่แล้ววงการบันเทิงในบ้านเราเต็มไปด้วยกระแสการประกวดพวก รายการค้นจักรวาลคว้ากาแล็คซี่ บ้านสถาบันนักร้อง ฯลฯ ซึ่งบอกตรงๆผมเอียนรายการพวกนี้มาก+กับแนวทางการทำเพลงของศิลปินในยุคนั้นไม่ถูกจริตผมที่ชอบเพลงยุค80 จึงทำให้ผมตัดขาดการรับรู้จากวงการเพลงยุคใหม่ไปโดยปริยาย
จากนั้น10ปีที่ผ่านมาผมก็คงเหมือนหลายๆท่านคือใช้ชีวิตวนลูปไปกับวงจรอันซ้ำซากในแต่ละวัน ชีวิตมีขึ้นมีลงเจอทั้งอุปสรรค เรื่องร้าย เรื่องดี เรื่องสุขสม เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา โหดร้าย น่ารัก มีอยู่คู่กันไปจนแทบจะอยากครวญเพลง "ห้องสีขาว" ของ "พี่แจ้" ออกมา ณ ตอนนี้เลย ช่วงนั้นบอกตามตรงเหมือนกับชีวิตตัวเองมันแห้งแล้งเหี่ยวเฉาลงไปเรื่อยๆ แม้จะพยายามออกไปทำกิจกรรมใหม่ๆหลายอย่างเพื่อหาแรงบันดาลใจและไอเดีย แต่สิ่งที่ได้กลับมามันเหมือนปรากฏขึ้นเพียงชั่วแว่บเดียวแล้วก็จางหายไป กระทั่งเมื่อไม่ถึง2เดือนมานี้ผมได้มีโอกาสก้าวเข้าไปสัมผัสกับโลกใบใหม่ที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อนนั่นคือโลกของน้องๆวง "BNK48"
โดยสาเหตุของการที่ได้มารู้จักน้องๆนั้นเพราะบังเอิญผมได้มีโอกาสไปรับชมภาพยนตร์ไทยเรื่อง "App War" (แอปชนแอป) แล้วไปสะดุดตากับน้องคนนึงที่รับบทเป็นนักศึกษาฝึกหัด ซึ่งตอนแรกที่ผมทำนั้นเพียงแค่จะกลับมาค้นรูปเธอเพื่อดูประวัติซักเล็กน้อยแล้วก็ปล่อยจางไป แต่ทว่า...
ซึ่งหลายๆท่านคิดว่าเรื่องมันก็คงจบลงที่ผมกลายเป็นแฟนคลับ "น้องอร" ไปโดยปริยาย แต่ทว่าเมื่อเริ่มค้นข้อมูลของน้องเขามากขึ้นก็ลามไปถึงเรื่องราวของวงและผลงานต่างๆทั้งการแสดงและงานเพลง จุดนั้นนั่นเองทำให้ผมพบกับน้องเมมเบอร์อีกคนนึงที่ได้ก้าวเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือนั่นคือ "น้องเจน" นั่นเองครับ
เพราะเมื่อผมได้ก้าวเข้ามาสู่โลกของน้องเจนและเพื่อนๆก็พลันทำให้ชีวิตที่แสนจำใจซ้ำซากไร้สีสันของผมกลับมาสดใสขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนกับตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปเป็น "วัยรุ่น" อีกครั้งหนึ่ง มันเหมือน "แบตเตอรี่" เก่าๆที่ได้รับการชาร์ตประจุพลังไฟจนเต็มเปี่ยมอีกครั้ง เรียกว่าตั้งแต่ติดตามวงBNK48มาชีวิตผมมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากพลังไฟในใจที่ลุกโชนชึ้นมา การมาติดตามน้องๆทำให้ในที่สุดผมก็กล้าที่จะลุกขึ้นมาทำสิ่งใหม่ๆที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งหลายเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้ไปทำหรือสัมผัสเลย (ที่ฮาสุดคือการตัดสินใจไปเรียนภาษาญี่ปุ่นซึ่งเป็นความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กนี่แหละ ^_^) และจุดนี้เองทำให้ผมได้รู้ซึ้งถึงคำกล่าวติดตลกที่ว่า "IDOL IS A HEALER" ซึ่งแต่ก่อนผมเคยหัวเราะเยาะกับคำพูดนี้นะแต่ตอนนี้พอได้มาเจอกับตัวเองแล้วจึงรู้คำตอบของมันเสียที!
และ ณ จุดนี้เองหลังได้รับรู้เรื่องราวของวงอย่างจริงจังมากขึ้นไปอีกจึงทำให้รู้สึกทึ่งและเปลี่ยนความคิดที่ตนเองเคยมีต่อระบบ48Gไปแทบทั้งหมด เพราะก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยได้ยินชื่อวงพี่ "AKB48" ของฝั่งญี่ปุ่นมาบ้างและค่อนข้างไม่ชอบเอามากๆด้วย ที่ไม่ชอบเพราะผมเกลียดการที่ผู้ใหญ่มาหากินกับเด็กสาวด้วยการให้นุ่งสั้น เต้นโชว์ขาอ่อนบนเวที และให้เด็กๆเหล่านั้นไปถ่ายแบบชุดว่ายน้ำลงเอ็มวีบ้าง ลงนิตยสารบ้าง แต่เมื่อผมลองเปิดใจและรับข้อมูลมากขึ้นจึงทำให้รู้ว่าวงไอดอล "48G" นั้นไม่ได้เน้นขายเรื่องอย่างว่าเลย
แต่สิ่งที่เขาขายคือความพยายาม ความตั้งใจ ความฝันของเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่ต้องการก้าวไปข้างหน้าในวงการบันเทิง ซึ่งทุกคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกนั้นไม่มีใครเพียบพร้อมแต่แรกส่วนมากสกิลทางด้านนี้แทบจะเป็น0 ผิดกับนักร้องศิลปินอื่นๆที่การเดบิวต์ออกมาได้นั่นหมายถึงสกิลความสามารถในทุกๆด้านของคุณต้องเต็ม100พร้อมที่จะปล่อยของแล้ว แต่ระบบ48Gคือการแข่งขัน การกระตุ้น ให้น้องๆที่เริ่มจาก0พยายามพัฒนาศักยภาพตนเอง และดึงเอาความสามารถของตัวเองมาโชว์ให้ผู้คนได้รับชม ซึ่งการจะมาถึง ณ จุดที่แสงไฟสาดส่องพวกเธอแต่ละคนบนเวทีได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
และที่ผมยินดีอย่างที่สุดคือการเข้ามาของน้องๆ "BNK48" นั้นทำให้ความหมายของ "ไอดอล" ในเมืองไทยเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกที่ควรเสียที เพราะในสมัยผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่นั้น "ไอดอล" ในยุคผมคือน้องๆนักเรียนวัยใสน่ารักที่มาถ่ายแบบตามนิตยสารต่างๆจนมีการขนามนามพวกเธอว่า "เน็ตไอดอล" คือนางแบบอายุน้อยที่มีผลงานในวงการโดยขายภาพลักษณ์ความน่ารักสดใส(ยุคผมคือ "น้องบอลลูน" ที่เริ่มจุดกระแสนี้ก่อนคนอื่น) แต่ทว่าหลายปีหลังมานี้ผมเองก็ไม่ทราบว่ามันเกิดอาเภทเหตุอุบาทว์อะไรกันขึ้นในบ้านเรา เมื่อคำว่า "เน็ตไอดอล" ในยุคหลังๆกลายเป็นคำที่เอาไว้ใช้เรียกขานพริตตี้ตกอับหรือหญิงสาวที่ไปศัลยกรรมร่างกายจนแลดูคล้ายมนุษย์ต่างดาวในคราบชาวโลก แล้วชอบมาถ่ายแบบ เต้นยั่วยวนแบบไม่อายฟ้าดิน หรือบางรายถึงขั้นโชว์ของสงวนที่ไม่ควรเปิดเผยในโลกไซเบอร์ พร้อมหลอกขายครีมกวน อาหารเสริมปัญญาอ่อนให้กับผู้คนในสังคม และผู้คนกับสื่อก็ยังไปขนานนามกลุ่มคนเหล่านี้ว่า "เน็ตไอดอล" เสียอีก?
แต่ทว่าการปรากฏตัวของน้องๆ "BNK48" ทำให้คำว่า "ไอดอล" กลับมาในทางที่ถูกครรลองคลองธรรมอีกครั้ง เพราะโดยเนื้อแท้คนที่ควรได้รับคำๆนี้ไปใช้มันควรจะเป็นต้นแบบและตัวอย่างของความพยายามในเรื่องดีๆที่ช่วยจรรโลงโลกและสังคม เหมือนที่น้องๆ "BNK48" ได้แสดงให้พวกเราเห็นแล้วว่าการจะมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ น้องๆแทบทุกคนต้องเรียนไปด้วย ซ้อมไปด้วย ทำงานในนามของวงไปด้วย เรียกว่าพวกเธออาจจะทำงานหนักและมีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าผู้ใหญ่หลายๆคนเสียอีก นี่สิครับจึงเหมาะสมกับคำว่า "ไอดอล" ที่แท้จริง เพราะน้องๆคือต้นแบบของความพยายาม เมื่ออยากได้สิ่งไหนก็ต้องอาศัยแรงกายแรงใจและหยาดเหงื่อแลกมาจึงจะสำเร็จ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏให้เราได้เห็นจากการกระทำของพวกเธอและบทเพลงต่างๆที่ปล่อยออกมาให้รับชมกันไปแล้ว
สำหรับเรื่องคำถามอายุ30แล้วทำไมมาตามน้องๆเหมือนพวกโรคจิตเฒ่าหัวงู คืออยากจะบอกยังงี้นะครับผมเองติดตามน้องๆด้วยความรู้สึกเหมือนพี่ชายเอ็นดูน้องสาว เพราะอย่างน้องเจนสลอธนี่ก็อายุเท่ากับน้องสาวผมเป๊ะเลย แล้วก็เป็นนักศึกษาเฟรชชี่ปี1เหมือนกันอีกด้วย การที่ผมติดตามให้กำลังใจน้องเจนมันไม่ใช่ความรู้สึกแบบผู้ชายรักใคร่ชอบพอหญิงสาวหรือเพศตรงข้าม แต่มันก็เหมือนพี่ชายคนนึงที่คอยเอาใจช่วยสนับสนุนอยากเห็นน้องสาวตัวเองเติบโตไปในเส้นทางที่ใฝ่ฝันก็เท่านั้นเอง ซึ่งผมคิดว่าเพื่อนๆหลายคนก็คงรู้สึกเหมือนกันในจุดนี้ครับ
อีกประการหนึ่งที่อยากบอกก่อนจากกันคือยังมีคนจำนวนมากคิดผิดไปไกลว่าการติดตามน้องๆวง "BNK48" นั้นต้องเป็นพวกมีเงินถุงเงินถังพร้อมจะเปย์ (จริงๆส่วนตัวผมไม่ชอบคำนี้นะ!) หรือต้องมาเสียเงินเสียเวลาในการซื้อสินค้าที่ระลึกและคอยตามน้องๆในงานต่างๆจนเสียทั้งเงินทองและเวลาอันมีค่าไป คือผมเองมักจะบอกคนที่รู้จักกันและชอบ"BNK48"เสมอว่า เราอาจจะติดตามผลงานน้องๆได้ ปลื้มน้องๆได้ เป็นกำลังใจให้น้องๆได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้คุณต้องทำมันโดยไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและคนรอบข้าง ถ้าคุณจ่ายเงินเพื่อการณ์นี้มากจนตัวเองหมุนเงินไม่ทันหรือพ่อแม่ต้องลำบากผมว่าคุณก็ไม่ต่างกับ "ไอ้โง่" ตัวนึงที่เป็นได้แค่ "เครื่องผลิตเงิน" ของใครบางคน
แต่ถ้าคุณรู้จักการติดตามวงอย่างมีสติ มีความยับยั้งชั่งใจ รู้จักการทำบัญชีราบรับรายจ่าย หักเงินส่วนหนึ่งมาออมและลงทุนเพื่อเป้าหมายในอนาคต อีกส่วนเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แล้วเอาเงินส่วนที่เหลือมาใช้สันทนาการ ตรงนี้ผมถือว่าคุณคือแฟนคลับที่ฉลาดและเฉียบคมคนหนึ่ง ส่วนตัวผมเองยอมรับว่าไม่ใช่แฟนคลับกระเป๋าหนักเพราะตัวเองไม่ค่อยจะมีเวลาว่างรวมถึงมีภาระและอนาคตที่วาดฝันไว้ จึงทำได้เพียงติดตามน้องๆทางหน้าจอและคอยสนับสนุนในส่วนที่ตนเองจะทำได้ และอาศัยพลังบวกที่ได้จาก "น้องเจน" กับเพื่อนๆมาใช้เป็นแรงขับดันในการก้าวเดินต่อไปข้างหน้าซึ่งนั่นก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว
ป.ล. สุดท้ายผมอยากจะขอแสดงความขอบคุณไปยัง "น้องอร" และ "น้องเจน" เชื่อว่าน้องคงไม่มีโอกาสได้มาอ่านข้อความนี้ แต่ถึงอย่างไรเสียก็อยากจะบอกความรู้สึกออกไปซักครั้ง คือ ณ จุดนี้พี่เจไดต้องขอขอบคุณน้องทั้งสองคนเป็นอย่างมากจริงๆ สำหรับใครหลายคนหรือแม้กระทั่งตัว "น้องเจน" และ "น้องอร" เองอาจคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ทุกวันนี้คือการประกอบอาชีพและทำตามความฝันของตัวเอง แต่พี่อยากให้รู้ว่า ณ ขณะที่เธอได้ก้าวเดินไปตามความฝันของตัวเองนั้น ความพยายามอย่างแรงกล้าของพวกเธอได้ช่วยเยียวยาจิตใจและช่วยเหลือผู้คนอีกมากมาย การเป็นไอดอลสำหรับหลายคนอาจดูเหมือนบทบาทชีวิตไม่มีความสำคัญ แต่สำหรับพี่เจไดและแฟนคลับBNK48จำนวนมากการมาของพวกเธอมันเหมือนแสงสว่างที่เข้ามาจุดตะเกียงที่ดำมืดให้สว่างสไวได้อีกครั้ง ขอบคุณนะครับ "น้องเจน" สลอธน้อยที่ทำให้ชีวิตพี่กลับมามีสีสันและพลังบวกอีกครั้งหนึ่ง ขอบคุณน้องๆวงBNK48ทุกๆคนเลยครับ
...และสำหรับเพื่อนๆท่านไหนที่กำลังมีปัญหาชีวิต หรือรู้สึกว่าชีวิตกำลังหมดไฟไม่มีแรงกายแรงใจจะทำสิ่งใหม่ๆอีกต่อไป ผมอยากขอให้ท่านลองเปิดใจเข้ามาสัมผัสโลกของน้องๆ "BNK48" ดูครับ ไม่แน่ว่าท่านอาจจะได้รับการเยียวยาเหมือกับผมและเพื่อนๆอีกจำนวนมากก็เป็นได้เพราะคำว่า "IDOL IS A HEALER" นั้นต้องมาสัมผัสด้วยตนเองถึงจะรู้ครับ...
..ขอบคุณครับ..
(May the Sloth be with you)
ขอสลอธน้อยจงสถิตย์อยู่กับท่าน