เด็กออทิสติกเติบโตมาในสังคม การมีชีวิตในสังคมถือว่าเป็นเรื่องที่ยากเลยละ ข้อจำกัดเหล่านี้กับการเป็นเจ้าของโครงการเพื่อสังคม สักโครงการหนึ่งจึงเป็นเรื่องแบบเพ้อฝันมาก แบบจะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะทำโครงการให้ผู้คนที่เป็นคนปกติ เป็นพ่อเป็นแม่มาร่วมงานได้ ผมได้คิด ได้นั่งฝัน ได้นึกว่า เด็กออทิสติกอย่างผมก็ สามารถที่จะทำโครงการดีๆ ขึ้นมาได้ จึงเริ่มวางแผนที่จะทำโครงการเพื่อพ่อแม่เด็กพิเศษ
โครงการนี้ ภายใต้ชื่อ กิจกรรมสานสัมพันธ์เพื่อคนพิเศษ
เป็นกิจกรรมที่มีแนวคิดว่า เราอยากให้ผู้ปกครองเด็กพิเศษที่อยู่ทั่วสารทิศ มาทำความรู้จักกัน มาพบปะกัน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ในครั้งที่ 1 ครั้งแรก สมัยที่เชาว์เป็นนักศึกษาปี 5 มีผู้ปกครอบมาร่วม 2 ครอบครัว ฟังดูแล้วเหมือนนัดเจอกันมากกว่า 555 แต่นั่นละครับ คือจุดเริ่มต้นของโครงการนี้ กิจกรรมครั้งที่ 1 จัดที่ กรุงเทพ เป็นกิจกรรมง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ทุกคนมีความสุข ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้เจอผู้คนใหม่ ๆมากมาย

แต่แนวคิดนี้กลับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ มีหลักการ มีจุดประสงค์ในการจัดที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นแนวคิดที่ดีเลยทีเดียว
การจัดงานก็เริ่มที่จะขยายผลกับกลุ่มพ่อแม่มากขึ้น และดีขึ้น ผมจะสรุปเป็นข้อๆนะ
-ทำให้พ่อแม่เด็กพิเศษได้รู้จักปัญหาหลายๆแบบกับเด็กพิเศษ
-พ่อแม่เค้ารู้สึกไม่โดดเดี่ยวกับการรับปัญหาพฤติกรรมเด็กพิเศษ
-ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ครู หมอ พ่อแม่ เด็ก ที่ทำให้เกิดการพัฒนา การดูแลเด็กพิเศษ
-เด็กพิเศษได้ทำกิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการ ที่หาที่ไหนไม่ได้
-ครูเองก็ได้เรียนรู้ วิถีชีวิตพ่อแม่เด็กพิเศษคนใหม่ๆ รับรู้ปัญหา ได้แก้ปัญหาหน้างานจริงๆ เช่นเดียวกับหมอ ที่ดูแลศึกษา รับประสบการณ์ใหม่มากกว่า ห้องเคสเด็ก
สิ่งสำคัญสำหรับการจัดงาน ผมจะเน้นเรื่องของ ธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพราะของเล่นที่ดีที่สุดของเด็ก คือธรรมชาติ เด็กๆได้อยู่กับธรรมชาติ ได้เรียนรู้กับธรรมชาติ การส่งเสริมพัฒนาการ ธรรมชาติสามารถช่วยได้ดีกว่า ห้องฝึกพัฒนาการตามโรงพยาบาลเสียอีก เด็กต้องเลอะ ต้องได้เรียนรู้ ต้องจินตนาการกับ พื้นทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ ผมคิดว่า สิ่งนี้ที่เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับการจัดงาน

กิจกรรม จากครั้งแรก และครั้งต่อไป ผมเลยมองว่า เราควรจัดทุกๆเดือน ตุลาคม ของทุกปี ยอมรับนะ เป็นงานที่ยากมากสำหรับเด็กออทิสติกอย่างผม แต่สิ่งที่ผมทำลงไป มันมีค่ากับพ่อแม่เด็กพิเศษเค้ามาก ผมจึงต้องพยายาม สิ่งที่สำคัญที่งานของผม แต่ต่างจากงานอย่างอื่นคือ ผู้คนที่ร่วมงาน โครงการของผม มันเป็นอะไรที่ประหลาดมาก
- ไม่มีทีมงาน ทุกคนที่ร่วมงานจะได้รับสถานะเท่าเทียมกันหมด คือ คุณเป็นผู้ร่วมงาน และเป็นวิทยากร ถามทุกคนเป็นวิทยากร ใช่เลย ทุกคนเป็นวิทยากรที่พร้อมที่จะเล่าประสบการณ์ของตนเองให้ผู้ร่วมงานท่านอื่นฟัง
-เป็นงานที่ไม่มีรถรับ-ส่ง ทุกคนมาจากทั่วสารทิศ อย่างครั้งที่ 2 จัดที่ สวนผึ้ง ราชบุรี มีคนมาจากสุโขทัย สุดยอดเลยใช่ไหมละ อยู่คนละที่ แต่มารวมตัวกันได้ ดีใช่ไหมละ
-เป็นงานที่ใช่งบรายจ่ายถูกที่สุด แต่ละคนใช้จ่ายไม่เกิน 500 บาท ต่อคน

ในกิจกรรม สานสัมพันธ์เพื่อคนพิเศษ ครั้งที่ 2 กิจกรรมได้เริ่มมีครอบครัว หลายครอบครัวเพิ่มมากขึ้น เป้าหมายเริ่มเห็นเป็นรูป เป็นร่างมากขึ้น มีหลายครอบครัวมาร่วมกิจกรรม ผมเองรู้สึก ดีใจที่สามารถทำโครงการได้สำเร็จ ยอมรับว่ามันยากที่จะให้สำเร็จได้ แต่ก็พยายามทำออกมาให้ดี ให้ได้ รอบนี้ เราไปกันหลายสถานที่ ได้เห็นภูเขา น้ำตกและความสุขของเด็กที่มีต่อกิจกรรมนี้ เค้าไม่โดดเดี่ยว เค้าไม่เหงา พ่อแม่ได้มีเพื่อนร่วมชะตากรรม มีหัวใจที่เข้มแข็งที่จะฝึกลูก และพัฒนาลูกไปพร้อมๆกับครอบครัวอื่นที่ดี ในกิจกรรมครั้งนี้ มีคนเข้าร่วม 20 กว่าชีวิต มากกว่าครั้งแรกมากเลยทีเดียว

แต่กิจกรรมของผมเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป มีล้มเหลว มีล่ม อย่างครั้งที่ 3 มันล่ม ผมเองก็รู้สึกเสียใจ รู้สึกแย่นะว่า ทำไมกิจกรรมถึงล่ม แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ด้วยความคิดอันแรงกล้า จึงจัดกิจกรรมครั้งที่ 4 ขึ้นมาอีกครั้ง ในเดือนตุลาคมปี 2559
ในกิจกรรมสานสัมพันธ์เพื่อคนพิเศษ ครั้งที่ 4 ผมได้จัดที่ จ นครราชสีมา หรือโคราช เป็นฟาร์ม กิจกรรมในครั้งที่มีคนร่วมงานเยอะพอๆกับครั้งที่ 2 เป็นอะไรที่รู้สึกดีนะ ที่สำคัญคือ การประชาสัมพันธ์ ในโครงการอื่นแค่มีป้ายก็เพียงพอ แต่ของผม มันไม่ใช่ การดูแลผู้ร่วมงาน สำหรับโครงการ ถือว่าเป็นสำคัญมาก เค้าต้องได้ข้อมูลทุกอย่างของงาน และความชัดเจนของงาน ที่จะทำให้ตัวสินใจได้ว่า ไปหรือไม่ เชาว์เองก็พยายามติดต่ทุกคน ได้คนร่วมงานมาเยอะ ได้เห็นหน้าทุกคนอีกครั้ง มันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ที่ออทิสติกจะทำได้

งานครั้งที่ 4 ได้กลุ่มผู้ปกครอบในแถบอีสานมากขึ้น ความชัดเจนก็มีมากขึ้น เด็กๆได้สนุกกันมากขึ้นจริงๆ ผมได้รู้เกี่ยวกับเป้าหมาย และความหมายที่แท้จริงของโครงการนี้ มันช่วยเหลือพ่อแม่ได้อย่างไร ผมลองสังเกตแววตาของทุกคน เห็นได้ชัดว่า ทุกคนมีความเหนื่อย กับการเลี้ยงเด็กพิเศษมากมายแค่ไหน แต่เมื่อพวกเค้าได้ร่วมกิจกรรม ได้มาเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ พลังงานบางอย่างกลับ ทำให้พวกเค้ามีกำลังใจ ที่จะฝ่าทุกข้อจำกัดไปได้ ได้เห็นเด็กๆพิเศษ เรียนรู้ที่จะอยู่ได้ในสังคม เพราะพวกเค้าก็อยากเป็นหนึ่งในสังคม ที่ให้คนทั่วไปยอมรับพวกเค้า ผมเคยคิดนะ มันเหนื่อยมาก ไม่อยากจัด เพราะจัดไปก็มีเรื่องต้องจัดการเยอะไปหมด
แต่การดึงคนที่ไม่เคยร่วมกิจกรรมกลุ่ม งานที่ไหนเป็นเรื่องที่จำเป็น เราเองก็ไม่อยากเห็นข่าว แม่เด็กออทิสติกตัดสินใจ คิดสั้น จบชีวิตตัวเองพร้อมไปกับลูก ผมไม่อยากเห็นข่าวอย่างนั้น มันเศร้า ถ้ากิจกรรมนี้เป็นวิธีที่จะช่วยเค้าเหล่านั้นได้ ผมจะทำ ทำให้พ่อแม่ทุกคนมีความหวัง มีโอกาส มีเพื่อน มีในสิ่งที่เชื่อได้ว่า ลูกเราต้องไปได้ไกลแน่ๆ ผมอยากให้เด็กพิเศษมีที่ยืนในสังคม นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากทำ

ในกิจกรรมครั้งที่ 5 การจัดงานเริ่มที่จะหาคนได้มากขึ้น เชาว์เองก็ได้รู้จักผู้คนมาขึ้น ตัวโครงการเองก็พัฒนามากเช่นกัน ในครั้งนี้ก็จัดที่สระบุรี เป็นอีกฟาร์มโคนม เด็กทุกคนก็จะมีหน้าเก่าหน้าใหม่บ้าง แต่กิจกรรมก็สามารถดำเนินต่อไปได้ ผมอยากจะพูดว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการทำโครงการคือ การเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะกิจกรรมที่ต่างคนต่างมา ยิ่งจำนวนเยอะเท่าไหร่ การควบคุมก็ยิ่งยากเท่านั้น ทำให้กิจกรรมพร้อมที่จะพังเมื่อไหร่ก็ได้ ผมเองคือ มันต้องอาศัยความเชื่อใจกับผู้ร่วมงาน ว่าเค้าจะสามารถมาร่วมงานได้ทันเวลา และมาตามสถานที่ๆเรากำหนดได้ จุดนี้แหละที่ยากมาก จัดงานอบรมแบบไหน ก็ไม่ไม่เท่างานนี้ เพราะไม่ได้มีการเก็บเงินค่อลงทะเบียบเป็นหลักประกันเลย เป็นงานที่ฝากความหวังไว้กับผู้ร่วมงานจริงๆ ให้ครั้งที่ 5 เอง ก็มีผู้ร่วมงานทั้งหมด 31 ชีวิต 10 ครอบครัว เป็นอะไรที่ดีกว่าปีก่อนๆมาก คนจัดแบบนี้ ต้องใจกล้าขนาดไหนเนี้ย

และในปีนี้ ผมเพิ่มจัดไปวันที่ 13 ตุลาคม กับสานสัมพันธ์เพื่อคนพิเศษครั้งที่ 6 จังหวัด ชลบุรี
กิจกรรมปีนี้ มันพิเศษกว่าครั้งไหนๆ เพราะมีคนร่วมงาน ร่วม 100 ชีวิต โห คือขนาดของงานคนละเรื่องเลย คือ เชาว์ไปได้สถานที่จากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ก็เลยตัดสินใจเลือกสถานที่ สวนไทย พัทยา เห็นเค้าเล่าว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่ ด้วย กิจกรรมอาจจะไม่เยอะมากนะ แต่ทุกคนก็ได้สนุกกัน มีเพิ่มกิจกรรมวงกลมพูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวในครั้งแรก จะบอกว่า เชาว์ไม่เคยคิดว่า จะได้คุมงานอะไรใหญ่ๆขนาดนี้เลย งานแบบ ก็ปีนี้มีการเตรียมตัว สำหรับผม ค่อนข้างที่จะมากพอสมควร
อันนี้ป้ายชื่อกันเด็กหลง 555

ผมได้เตรียมกำหนดการและกิจกรรมมากมาย พร้อมคำนวณตัวแปรเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาด้วย แต่อย่างว่า เรายังไม่ใช่มืออาชีพสำหรับงาน ระดับนี้ ย่อมมีข้อผิดพลาดอยู่แล้วละ
ป้ายประชาสัมพันธ์

แต่เมื่อได้จัดงานผ่านพ้นไปพบว่า งานครั้งนี้มันดีมากๆ ผมพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกคนได้สนุกกัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ตัวผมเองก็รู้สึกดีนะ ที่ได้ทำ ได้จัดกิจกรรรมดีๆอย่างนี้
หนึ่งในกิจกรรมที่ดีที่สุดสำหรับเด็กพิเศษ ก้คือการได้ดำนา ได้เหยียบโคลน เป็นการกระตุ้นพัฒนาการได้อย่างนี้ สมองเด็กจะพัฒนาการมากเลยละ

จากนั้น กิจกรรมที่ผมจัดขึ้น การทำกิจกรรมกลุ่มวงกลมก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน

ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 6 แล้ว ในครั้งต่อไปกิจกรรมผมเองก็มีความเชื่อมั่นว่า กิจกรรมนี้ จะเป็นตัวเลือกหนึ่งของโครงการที่ทำเพื่อสังคม ไม่แสวงหาผลกำไร และเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือผู้คน พ่อแม่เด็กพิเศษที่อยู่ในประเทศไทย ให้พวกเค้ารู้สึกว่า คนในสังคม ยังไม่ทอดทิ้งเด็กกลุ่มนี้ ยังให้ความสำคัญกับเด็กพิเศษ ที่จำเป็นจะต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทย ไม่ใช่ส่วนเกินที่ไมีม่ใครต้องการ ผมคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเรามีเครื่องมือช่วยเด็กพิเศษ แต่เครื่องมือช่วยพ่อแม่เด็กพิเศษไม่ จะรอดได้อย่างไร
เด็กพิเศษ อาจจะไม่ใช่คนที่ใครๆสังคมชอบ หรือรักเค้า หรือบางคนมองเป็นส่วนเกินด้วยซ้ำ ผมเองเข้าใจสิ่งนี้ดี ว่าคุณค่าที่คนอื่นมองผมว่าเป็นเด็กพิเศษ มันต้อยต่ำเพียงใด แต่สังคมที่มีความแตกต่างกัน และคุณค่าของความเป็นคนไม่ได้วัดกันที่ความบกพร่อง แค่ผมเองอยากให้ทุกคนเข้าใจ มองให้ลึกๆ พัฒนาพวกเค้ามากๆ และอยู่ร่วม ไม่ต้องสนใจเรื่องความแตกต่างมากจนเกินไป เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
เด็กพิเศษ เติบโตเป็นคนพิเศษ มีบทบาทในสังคมบนพื้นฐานข้อมูลแห่งการพัฒนา ไม่ซ้ำเติม ไม่ทับถม ไม่เหยียบย้ำ ไม่เปรียบเทียบ คุณจะเข้าใจเองว่าชีวิตที่มีความแตกต่างและเข้าใจมันเป็นอย่างไร
[CR] เมื่อเด็กออกทิสติกอย่างผมเป็นเจ้าของโครงการ ทำเพื่อสังคมพ่อแม่เด็กพิเศษ
โครงการนี้ ภายใต้ชื่อ กิจกรรมสานสัมพันธ์เพื่อคนพิเศษ
เป็นกิจกรรมที่มีแนวคิดว่า เราอยากให้ผู้ปกครองเด็กพิเศษที่อยู่ทั่วสารทิศ มาทำความรู้จักกัน มาพบปะกัน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ในครั้งที่ 1 ครั้งแรก สมัยที่เชาว์เป็นนักศึกษาปี 5 มีผู้ปกครอบมาร่วม 2 ครอบครัว ฟังดูแล้วเหมือนนัดเจอกันมากกว่า 555 แต่นั่นละครับ คือจุดเริ่มต้นของโครงการนี้ กิจกรรมครั้งที่ 1 จัดที่ กรุงเทพ เป็นกิจกรรมง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ทุกคนมีความสุข ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้เจอผู้คนใหม่ ๆมากมาย
แต่แนวคิดนี้กลับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ มีหลักการ มีจุดประสงค์ในการจัดที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นแนวคิดที่ดีเลยทีเดียว
การจัดงานก็เริ่มที่จะขยายผลกับกลุ่มพ่อแม่มากขึ้น และดีขึ้น ผมจะสรุปเป็นข้อๆนะ
-ทำให้พ่อแม่เด็กพิเศษได้รู้จักปัญหาหลายๆแบบกับเด็กพิเศษ
-พ่อแม่เค้ารู้สึกไม่โดดเดี่ยวกับการรับปัญหาพฤติกรรมเด็กพิเศษ
-ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ครู หมอ พ่อแม่ เด็ก ที่ทำให้เกิดการพัฒนา การดูแลเด็กพิเศษ
-เด็กพิเศษได้ทำกิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการ ที่หาที่ไหนไม่ได้
-ครูเองก็ได้เรียนรู้ วิถีชีวิตพ่อแม่เด็กพิเศษคนใหม่ๆ รับรู้ปัญหา ได้แก้ปัญหาหน้างานจริงๆ เช่นเดียวกับหมอ ที่ดูแลศึกษา รับประสบการณ์ใหม่มากกว่า ห้องเคสเด็ก
สิ่งสำคัญสำหรับการจัดงาน ผมจะเน้นเรื่องของ ธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพราะของเล่นที่ดีที่สุดของเด็ก คือธรรมชาติ เด็กๆได้อยู่กับธรรมชาติ ได้เรียนรู้กับธรรมชาติ การส่งเสริมพัฒนาการ ธรรมชาติสามารถช่วยได้ดีกว่า ห้องฝึกพัฒนาการตามโรงพยาบาลเสียอีก เด็กต้องเลอะ ต้องได้เรียนรู้ ต้องจินตนาการกับ พื้นทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ ผมคิดว่า สิ่งนี้ที่เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับการจัดงาน
กิจกรรม จากครั้งแรก และครั้งต่อไป ผมเลยมองว่า เราควรจัดทุกๆเดือน ตุลาคม ของทุกปี ยอมรับนะ เป็นงานที่ยากมากสำหรับเด็กออทิสติกอย่างผม แต่สิ่งที่ผมทำลงไป มันมีค่ากับพ่อแม่เด็กพิเศษเค้ามาก ผมจึงต้องพยายาม สิ่งที่สำคัญที่งานของผม แต่ต่างจากงานอย่างอื่นคือ ผู้คนที่ร่วมงาน โครงการของผม มันเป็นอะไรที่ประหลาดมาก
- ไม่มีทีมงาน ทุกคนที่ร่วมงานจะได้รับสถานะเท่าเทียมกันหมด คือ คุณเป็นผู้ร่วมงาน และเป็นวิทยากร ถามทุกคนเป็นวิทยากร ใช่เลย ทุกคนเป็นวิทยากรที่พร้อมที่จะเล่าประสบการณ์ของตนเองให้ผู้ร่วมงานท่านอื่นฟัง
-เป็นงานที่ไม่มีรถรับ-ส่ง ทุกคนมาจากทั่วสารทิศ อย่างครั้งที่ 2 จัดที่ สวนผึ้ง ราชบุรี มีคนมาจากสุโขทัย สุดยอดเลยใช่ไหมละ อยู่คนละที่ แต่มารวมตัวกันได้ ดีใช่ไหมละ
-เป็นงานที่ใช่งบรายจ่ายถูกที่สุด แต่ละคนใช้จ่ายไม่เกิน 500 บาท ต่อคน
ในกิจกรรม สานสัมพันธ์เพื่อคนพิเศษ ครั้งที่ 2 กิจกรรมได้เริ่มมีครอบครัว หลายครอบครัวเพิ่มมากขึ้น เป้าหมายเริ่มเห็นเป็นรูป เป็นร่างมากขึ้น มีหลายครอบครัวมาร่วมกิจกรรม ผมเองรู้สึก ดีใจที่สามารถทำโครงการได้สำเร็จ ยอมรับว่ามันยากที่จะให้สำเร็จได้ แต่ก็พยายามทำออกมาให้ดี ให้ได้ รอบนี้ เราไปกันหลายสถานที่ ได้เห็นภูเขา น้ำตกและความสุขของเด็กที่มีต่อกิจกรรมนี้ เค้าไม่โดดเดี่ยว เค้าไม่เหงา พ่อแม่ได้มีเพื่อนร่วมชะตากรรม มีหัวใจที่เข้มแข็งที่จะฝึกลูก และพัฒนาลูกไปพร้อมๆกับครอบครัวอื่นที่ดี ในกิจกรรมครั้งนี้ มีคนเข้าร่วม 20 กว่าชีวิต มากกว่าครั้งแรกมากเลยทีเดียว
แต่กิจกรรมของผมเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป มีล้มเหลว มีล่ม อย่างครั้งที่ 3 มันล่ม ผมเองก็รู้สึกเสียใจ รู้สึกแย่นะว่า ทำไมกิจกรรมถึงล่ม แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ด้วยความคิดอันแรงกล้า จึงจัดกิจกรรมครั้งที่ 4 ขึ้นมาอีกครั้ง ในเดือนตุลาคมปี 2559
ในกิจกรรมสานสัมพันธ์เพื่อคนพิเศษ ครั้งที่ 4 ผมได้จัดที่ จ นครราชสีมา หรือโคราช เป็นฟาร์ม กิจกรรมในครั้งที่มีคนร่วมงานเยอะพอๆกับครั้งที่ 2 เป็นอะไรที่รู้สึกดีนะ ที่สำคัญคือ การประชาสัมพันธ์ ในโครงการอื่นแค่มีป้ายก็เพียงพอ แต่ของผม มันไม่ใช่ การดูแลผู้ร่วมงาน สำหรับโครงการ ถือว่าเป็นสำคัญมาก เค้าต้องได้ข้อมูลทุกอย่างของงาน และความชัดเจนของงาน ที่จะทำให้ตัวสินใจได้ว่า ไปหรือไม่ เชาว์เองก็พยายามติดต่ทุกคน ได้คนร่วมงานมาเยอะ ได้เห็นหน้าทุกคนอีกครั้ง มันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ที่ออทิสติกจะทำได้
งานครั้งที่ 4 ได้กลุ่มผู้ปกครอบในแถบอีสานมากขึ้น ความชัดเจนก็มีมากขึ้น เด็กๆได้สนุกกันมากขึ้นจริงๆ ผมได้รู้เกี่ยวกับเป้าหมาย และความหมายที่แท้จริงของโครงการนี้ มันช่วยเหลือพ่อแม่ได้อย่างไร ผมลองสังเกตแววตาของทุกคน เห็นได้ชัดว่า ทุกคนมีความเหนื่อย กับการเลี้ยงเด็กพิเศษมากมายแค่ไหน แต่เมื่อพวกเค้าได้ร่วมกิจกรรม ได้มาเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ พลังงานบางอย่างกลับ ทำให้พวกเค้ามีกำลังใจ ที่จะฝ่าทุกข้อจำกัดไปได้ ได้เห็นเด็กๆพิเศษ เรียนรู้ที่จะอยู่ได้ในสังคม เพราะพวกเค้าก็อยากเป็นหนึ่งในสังคม ที่ให้คนทั่วไปยอมรับพวกเค้า ผมเคยคิดนะ มันเหนื่อยมาก ไม่อยากจัด เพราะจัดไปก็มีเรื่องต้องจัดการเยอะไปหมด
แต่การดึงคนที่ไม่เคยร่วมกิจกรรมกลุ่ม งานที่ไหนเป็นเรื่องที่จำเป็น เราเองก็ไม่อยากเห็นข่าว แม่เด็กออทิสติกตัดสินใจ คิดสั้น จบชีวิตตัวเองพร้อมไปกับลูก ผมไม่อยากเห็นข่าวอย่างนั้น มันเศร้า ถ้ากิจกรรมนี้เป็นวิธีที่จะช่วยเค้าเหล่านั้นได้ ผมจะทำ ทำให้พ่อแม่ทุกคนมีความหวัง มีโอกาส มีเพื่อน มีในสิ่งที่เชื่อได้ว่า ลูกเราต้องไปได้ไกลแน่ๆ ผมอยากให้เด็กพิเศษมีที่ยืนในสังคม นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากทำ
ในกิจกรรมครั้งที่ 5 การจัดงานเริ่มที่จะหาคนได้มากขึ้น เชาว์เองก็ได้รู้จักผู้คนมาขึ้น ตัวโครงการเองก็พัฒนามากเช่นกัน ในครั้งนี้ก็จัดที่สระบุรี เป็นอีกฟาร์มโคนม เด็กทุกคนก็จะมีหน้าเก่าหน้าใหม่บ้าง แต่กิจกรรมก็สามารถดำเนินต่อไปได้ ผมอยากจะพูดว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการทำโครงการคือ การเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะกิจกรรมที่ต่างคนต่างมา ยิ่งจำนวนเยอะเท่าไหร่ การควบคุมก็ยิ่งยากเท่านั้น ทำให้กิจกรรมพร้อมที่จะพังเมื่อไหร่ก็ได้ ผมเองคือ มันต้องอาศัยความเชื่อใจกับผู้ร่วมงาน ว่าเค้าจะสามารถมาร่วมงานได้ทันเวลา และมาตามสถานที่ๆเรากำหนดได้ จุดนี้แหละที่ยากมาก จัดงานอบรมแบบไหน ก็ไม่ไม่เท่างานนี้ เพราะไม่ได้มีการเก็บเงินค่อลงทะเบียบเป็นหลักประกันเลย เป็นงานที่ฝากความหวังไว้กับผู้ร่วมงานจริงๆ ให้ครั้งที่ 5 เอง ก็มีผู้ร่วมงานทั้งหมด 31 ชีวิต 10 ครอบครัว เป็นอะไรที่ดีกว่าปีก่อนๆมาก คนจัดแบบนี้ ต้องใจกล้าขนาดไหนเนี้ย
และในปีนี้ ผมเพิ่มจัดไปวันที่ 13 ตุลาคม กับสานสัมพันธ์เพื่อคนพิเศษครั้งที่ 6 จังหวัด ชลบุรี
กิจกรรมปีนี้ มันพิเศษกว่าครั้งไหนๆ เพราะมีคนร่วมงาน ร่วม 100 ชีวิต โห คือขนาดของงานคนละเรื่องเลย คือ เชาว์ไปได้สถานที่จากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ก็เลยตัดสินใจเลือกสถานที่ สวนไทย พัทยา เห็นเค้าเล่าว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่ ด้วย กิจกรรมอาจจะไม่เยอะมากนะ แต่ทุกคนก็ได้สนุกกัน มีเพิ่มกิจกรรมวงกลมพูดคุยเป็นเรื่องเป็นราวในครั้งแรก จะบอกว่า เชาว์ไม่เคยคิดว่า จะได้คุมงานอะไรใหญ่ๆขนาดนี้เลย งานแบบ ก็ปีนี้มีการเตรียมตัว สำหรับผม ค่อนข้างที่จะมากพอสมควร
อันนี้ป้ายชื่อกันเด็กหลง 555
ผมได้เตรียมกำหนดการและกิจกรรมมากมาย พร้อมคำนวณตัวแปรเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาด้วย แต่อย่างว่า เรายังไม่ใช่มืออาชีพสำหรับงาน ระดับนี้ ย่อมมีข้อผิดพลาดอยู่แล้วละ
ป้ายประชาสัมพันธ์
แต่เมื่อได้จัดงานผ่านพ้นไปพบว่า งานครั้งนี้มันดีมากๆ ผมพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกคนได้สนุกกัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ตัวผมเองก็รู้สึกดีนะ ที่ได้ทำ ได้จัดกิจกรรรมดีๆอย่างนี้
หนึ่งในกิจกรรมที่ดีที่สุดสำหรับเด็กพิเศษ ก้คือการได้ดำนา ได้เหยียบโคลน เป็นการกระตุ้นพัฒนาการได้อย่างนี้ สมองเด็กจะพัฒนาการมากเลยละ
จากนั้น กิจกรรมที่ผมจัดขึ้น การทำกิจกรรมกลุ่มวงกลมก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 6 แล้ว ในครั้งต่อไปกิจกรรมผมเองก็มีความเชื่อมั่นว่า กิจกรรมนี้ จะเป็นตัวเลือกหนึ่งของโครงการที่ทำเพื่อสังคม ไม่แสวงหาผลกำไร และเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือผู้คน พ่อแม่เด็กพิเศษที่อยู่ในประเทศไทย ให้พวกเค้ารู้สึกว่า คนในสังคม ยังไม่ทอดทิ้งเด็กกลุ่มนี้ ยังให้ความสำคัญกับเด็กพิเศษ ที่จำเป็นจะต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทย ไม่ใช่ส่วนเกินที่ไมีม่ใครต้องการ ผมคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเรามีเครื่องมือช่วยเด็กพิเศษ แต่เครื่องมือช่วยพ่อแม่เด็กพิเศษไม่ จะรอดได้อย่างไร
เด็กพิเศษ อาจจะไม่ใช่คนที่ใครๆสังคมชอบ หรือรักเค้า หรือบางคนมองเป็นส่วนเกินด้วยซ้ำ ผมเองเข้าใจสิ่งนี้ดี ว่าคุณค่าที่คนอื่นมองผมว่าเป็นเด็กพิเศษ มันต้อยต่ำเพียงใด แต่สังคมที่มีความแตกต่างกัน และคุณค่าของความเป็นคนไม่ได้วัดกันที่ความบกพร่อง แค่ผมเองอยากให้ทุกคนเข้าใจ มองให้ลึกๆ พัฒนาพวกเค้ามากๆ และอยู่ร่วม ไม่ต้องสนใจเรื่องความแตกต่างมากจนเกินไป เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
เด็กพิเศษ เติบโตเป็นคนพิเศษ มีบทบาทในสังคมบนพื้นฐานข้อมูลแห่งการพัฒนา ไม่ซ้ำเติม ไม่ทับถม ไม่เหยียบย้ำ ไม่เปรียบเทียบ คุณจะเข้าใจเองว่าชีวิตที่มีความแตกต่างและเข้าใจมันเป็นอย่างไร
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้