"อาคม" บินตรงถก รัฐมนตรีญี่ปุ่น หลังส่อแววไม่สนลงทุนไฮสปีด กรุงเทพ-เชียงใหม่ แย้มอาจไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ และอาจต้องให้รัฐบาลใหม่ตัดสินใจ
นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า วันที่ 18-20 ต.ค. นี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะเดินทางไปร่วมประชุมกับรัฐมนตรีญี่ปุ่นเรื่องความร่วมมือในโครงการต่างๆ รวมถึงแนวทางการร่วมทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง (ระบบชินคันเซ็น) กรุงเทพ-เชียงใหม่ ระยะทาง 673 กม. วงเงิน 4.2 แสนล้านบาท เนื่องจากการประชุมความคืบหน้าโครงการกับญี่ปุ่นล่าสุด กระทรวงคมนาคมได้เสนอแนวทางให้ญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทุน เพื่อพัฒนาระบบชินคันเซ็นเป็นสายแรกของประเทศไทย ทั้งด้านงานก่อสร้างโยธางานระบบและจัดหารถ ตลอดจนงานพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสถานี (TOD) ประกอบกับปัจจุบันญี่ปุ่นได้ปรับแก้กฎหมาย เพื่อเปิดช่องให้คนในประเทศออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ขณะที่โครงการมีผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) 14.7%
นายสราวุธ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นญี่ปุ่นยังไม่สามารถให้คำตอบเรื่องการร่วมทุน แต่ยืนยันว่าจะให้ความช่วยเหลือด้านความรู้ในการผลิตบุคลากรรวมถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับโครงการก่อสร้างเฟส1 ช่วงกรุงเทพ-พิษณุโลก 418 กม. วงเงิน 2.8 แสนล้านบาท เมื่อสรุปรูปแบบการลงทุนได้แล้วจะนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ พิจารณาต่อไป ยอมรับว่ารัฐบาลมีภาระการลงทุนระบบรางด้วยเม็ดเงินมหาศาล จึงต้องการให้ญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทุนบางส่วนให้โครงการเดินหน้าได้ นายอาคมจึงต้องเดินทางไปร่วมประชุมในระดับนโยบายที่ญี่ปุ่น
รายงานข่าวแจ้งว่า ฝ่ายญี่ปุ่นได้แจ้งในที่ประชุมในระดับคณะกรรมการทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งมีนายอาคม เป็นประธานการประชุมว่าโครงการดังกล่าวเป็นแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ดังนั้นรัฐบาลไทยควรลงทุนเองเช่นเดียวกับในญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศที่รัฐบาลลงทุนเองทั้งหมด ประกอบกับผลการศึกษาพบว่า โครงการยังไม่คุ้มค่าเพียงพอต่อการลงทุนเชิงพาณิชย์ เมื่อดูจากปริมาณผู้โดยสารอีกทั้งประเทศญี่ปุ่นยังไม่เคยทำสัญญาร่วมลงทุนรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) กับประเทศใดในโลกเพื่อพัฒนารถไฟไฮสปีด ดังนั้นจึงคาดว่าโครงการดังกล่าวจะยังไม่สามารถเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ทันรัฐบาลชุดนี้ คงเป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อหรือไม่อย่างไร สำหรับทางเลือกในตอนนี้ หากรัฐบาลนี้จะเดินหน้าโครงการต่อด้วยการลงทุนเอง ต้องหาวิธีปรับลดค่าใช้จ่ายลงโดยรัฐบาลอาจลงทุนพร้อมเปิดบริการไปก่อน 15 ปีในเฟสแรก จากนั้นจึงเปิดให้เอกชนเข้ามาบริหารต่อไป ทั้งนี้ได้กำหนดค่าโดยสารเริ่มต้นไว้ที่ 80 บาทและคิดค่าเดินทาง กม. ละ 1.5 บาท ส่งผลให้ค่าโดยสารช่วงเฟส 1 กรุงเทพ-พิษณุโลก 418 กม. ตกประมาณ 707 บาท ขณะที่ค่าโดยสารตลอดสายช่วงกรุงเทพ-เชียงใหม่ 673 กม. อยู่ที่ 1,089 บาท
JJNY : "อาคม" บินง้อญี่ปุ่นร่วมทุน "ชินคันเซ็น" ถูกเมินโยนรัฐบาลใหม่ตัดสิน
นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า วันที่ 18-20 ต.ค. นี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะเดินทางไปร่วมประชุมกับรัฐมนตรีญี่ปุ่นเรื่องความร่วมมือในโครงการต่างๆ รวมถึงแนวทางการร่วมทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง (ระบบชินคันเซ็น) กรุงเทพ-เชียงใหม่ ระยะทาง 673 กม. วงเงิน 4.2 แสนล้านบาท เนื่องจากการประชุมความคืบหน้าโครงการกับญี่ปุ่นล่าสุด กระทรวงคมนาคมได้เสนอแนวทางให้ญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทุน เพื่อพัฒนาระบบชินคันเซ็นเป็นสายแรกของประเทศไทย ทั้งด้านงานก่อสร้างโยธางานระบบและจัดหารถ ตลอดจนงานพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสถานี (TOD) ประกอบกับปัจจุบันญี่ปุ่นได้ปรับแก้กฎหมาย เพื่อเปิดช่องให้คนในประเทศออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ขณะที่โครงการมีผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) 14.7%
นายสราวุธ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นญี่ปุ่นยังไม่สามารถให้คำตอบเรื่องการร่วมทุน แต่ยืนยันว่าจะให้ความช่วยเหลือด้านความรู้ในการผลิตบุคลากรรวมถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับโครงการก่อสร้างเฟส1 ช่วงกรุงเทพ-พิษณุโลก 418 กม. วงเงิน 2.8 แสนล้านบาท เมื่อสรุปรูปแบบการลงทุนได้แล้วจะนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ฯ พิจารณาต่อไป ยอมรับว่ารัฐบาลมีภาระการลงทุนระบบรางด้วยเม็ดเงินมหาศาล จึงต้องการให้ญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทุนบางส่วนให้โครงการเดินหน้าได้ นายอาคมจึงต้องเดินทางไปร่วมประชุมในระดับนโยบายที่ญี่ปุ่น
รายงานข่าวแจ้งว่า ฝ่ายญี่ปุ่นได้แจ้งในที่ประชุมในระดับคณะกรรมการทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งมีนายอาคม เป็นประธานการประชุมว่าโครงการดังกล่าวเป็นแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ดังนั้นรัฐบาลไทยควรลงทุนเองเช่นเดียวกับในญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศที่รัฐบาลลงทุนเองทั้งหมด ประกอบกับผลการศึกษาพบว่า โครงการยังไม่คุ้มค่าเพียงพอต่อการลงทุนเชิงพาณิชย์ เมื่อดูจากปริมาณผู้โดยสารอีกทั้งประเทศญี่ปุ่นยังไม่เคยทำสัญญาร่วมลงทุนรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) กับประเทศใดในโลกเพื่อพัฒนารถไฟไฮสปีด ดังนั้นจึงคาดว่าโครงการดังกล่าวจะยังไม่สามารถเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ทันรัฐบาลชุดนี้ คงเป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อหรือไม่อย่างไร สำหรับทางเลือกในตอนนี้ หากรัฐบาลนี้จะเดินหน้าโครงการต่อด้วยการลงทุนเอง ต้องหาวิธีปรับลดค่าใช้จ่ายลงโดยรัฐบาลอาจลงทุนพร้อมเปิดบริการไปก่อน 15 ปีในเฟสแรก จากนั้นจึงเปิดให้เอกชนเข้ามาบริหารต่อไป ทั้งนี้ได้กำหนดค่าโดยสารเริ่มต้นไว้ที่ 80 บาทและคิดค่าเดินทาง กม. ละ 1.5 บาท ส่งผลให้ค่าโดยสารช่วงเฟส 1 กรุงเทพ-พิษณุโลก 418 กม. ตกประมาณ 707 บาท ขณะที่ค่าโดยสารตลอดสายช่วงกรุงเทพ-เชียงใหม่ 673 กม. อยู่ที่ 1,089 บาท