วิเคราะห์หุ้นไอพีโอโอสถสภา (OSP) ลองอ่านกันดูครับ

กระทู้คำถาม
บริษัทโอสถสภามีอายุ 127 ปีเก่าแก่กว่าทั้งบริษัทปูนซิเมนต์ไทยที่มีอายุ 105 ปีและธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีอายุ 112 ปี

องค์กรนี้ยืนหยัดมาเป็นระยะเวลานานเพราะมีสินค้าเป็นที่นิยมในสังคมไทยอยู่หลายตัวไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มชูกำลังเอ็ม-150 เบบี้มายด์ (ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก) ทเวลฟ์พลัส (ผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้หญิง) และธุรกิจจัดจำหน่าย

แล้วโอสถสภามีสัดส่วนของรายได้ปี 2560 อย่างไรบ้าง?

อันดับแรกคือเครื่องดื่มเอ็ม-150 เครื่องดื่มเกลือแร่ และกาแฟมีรายได้รวมกัน 18,975 ล้านบาทสัดส่วนของรายได้ทั้งหมดอยู่ที่ 73.3%

รองลงมาคือธุรกิจธุรกิจบริการจัดการซัพพลายเชนรายได้ 4,700 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 18.2%

สุดท้ายคือผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลมีรายได้ 2,195 ล้านบาทสัดส่วน 8.5%

ระดมทุนครั้งนี้ 15,000 ล้านบาทจากหุ้นทั้งหมด 603 ล้านหุ้น

ราคาไอพีโอ 25 บาทต่อหุ้นค่าพีอีประมาณ 29 เท่าเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกันในตลาดอยู่ที่ 31 เท่า

เงินจากไอพีโอจะเอาไปทำอะไรบ้าง?

5,300 ล้านบาทนำไปขยายธุรกิจไปต่างประเทศโดยจะสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งใหม่ในเมียนม่าพร้อมทั้งโรงงานเตาหลอมแก้ว

5,400 ล้านบาทนำมาจ่ายหนี้คืนกับสถาบันการเงิน

1,000 ล้านบาทนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงาน

ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของธุรกิจ

งบการเงินดีไหม?

เปรียบเทียบช่วงหกเดือนแรกของปีนี้กับปีที่แล้วพบว่าบริษัทมีอัตรากำไรเบื้องต้น (Gross Margin) ลดลงจาก 32.5% เป็น 31.8% และมีอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 13.7% เหลือ 11.7% บริษัทให้เหตุผลว่าในช่วงปีนี้มีค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาดและการขายเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีสินค้าใหม่เปิดตัวรวมทั้งรีแบรนด์สินค้าบางตัวเพื่อปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์

ในส่วนของหนี้สินมีค่า D/E อยู่ที่ 2.5 เท่าสภาพหนี้ค่อนข้างสูงเพราะมีสินทรัพย์หมุนเวียนอยู่ที่ 6,170 ล้านบาทแต่มีหนี้สินหมุนเวียนมากถึง 10,100 ล้านบาทแสดงว่าบริษัทมีสถานะการเงินตึงตัวแต่หลังจาก IPO คงนำเงินมาจ่ายหนี้มากถึง 5,400 ล้านบาทตามที่ระบุไว้ตอนต้น

สิ่งที่อยากไฮไลท์คือการที่บริษัทจ่ายเงินปันผลออกมาในช่วง 3 ปีหลังสุดตั้งแต่ 2558-2560 มากถึง 13,800 ล้านบาทในขณะที่กำไรสุทธิในข่วง 3 ปีนั้นทำได้เพียง 8,300 ล้านบาททำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 9,400 ล้านบาทเหลือแค่ 3,400 ในปี 2560 น่าจะเป็นการถอนทุนเงินสดกลับให้ผู้ก่อตั้งบริษัท

ความคิดเห็นส่วนตัว:

1. เท่าที่ดูจากหนังสือชี้ชวนผู้ลงทุนอัตราการเติบโตของสินค้าในแต่ละกลุ่มไม่ได้มีอัตราการเติบโตที่น่าประทับใจเท่าไหร่ในช่วงหกเดือนแรกปีนี้เมื่อเทียบกับรายได้ของปีก่อนๆ โดยส่วนตัวเชื่อว่าตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในเมืองไทยน่าจะค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว ส่วนตลาดเมียนมาร์ที่บริษัทพยายามชูโรงแม้ว่าจะเป็นผู้นำตลาดที่สัดส่วน 32% แต่ก็คงเป็นเพียงแค่ตลาดเดียวที่ดูอนาคตสดใสเพราะตลาดอื่นน่าจะมีเจ้าถิ่นอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นตลาดเวียดนามหรือกัมพูชา นอกจากนี้เมื่อเทียบกับผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลกอย่าง Monster Beverage ที่มีอัตราเติบโต 15-20%ต่อปี และมีค่าพีอี 32 เท่าแล้ว ราคาที่ตั้งครั้งนี้เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตจึงดูราคาค่อนข้างสูง

2. นายนิติ โอสถานุเคราะห์ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ประกาศออกมาว่าจะทำการขายหุ้นทั้งหมด 135,000,000 หุ้นเป็นเงินจำนวน 3,300 ล้านบาทตั้งแต่วันแรกที่เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โดยจะขายแบบ Big Lot สิ่งที่กังวลคือทำไมผู้ถือหุ้นใหญ่ถึงปล่อยหุ้นออกมาในวันแรกเยอะขนาดนี้ถ้าธุรกิจยังมีโอกาสน่าจะเติบโตไปมากกว่านี้ สไตล์การลงทุนของคุณนิติเป็นการลงทุนระยะยาวจากปัจจุบันที่ลงทุนหุ้นหลายตัวในตลาดหลักทรัพย์ไม่ว่าจะเป็น MINT CENTEL HMPRO ต่างถือระยะยาวทั้งสิ้น ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงรีบขายหุ้นของโอสถสภาออกมาในวันแรกของการซื้อขายในตลาดฯ

3. หุ้นตัวนี้เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มั่นคงน่าจะเหมาะสำหรับลงทุนเพื่อเน้นปันผล 3-4% ต่อปีได้ไม่ยากแต่คงไม่ใช่หุ้นเติบโต                                      
                                                                            
                                                                            
https://www.facebook.com/pg/billionairevalueinvestors/posts/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่