ลาดักห์ ... เป็นสวรรค์น้อยๆที่เรา ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องไปให้ได้ก่อนสิ้นลมหายใจ

พรหมลิขิตบังเกิด เมื่อเราย้ายงานมาที่ใหม่ แล้วพี่ๆเค้าพูดถึง "เลห์ ลาดักห์" ใครมันจะไปอดใจไหว พลาดมาตั้งหลายครั้ง เราเลยรวบรวมความใจกล้าแล้วบอกพี่เค้าไปว่า "พี่คะ...หนูไปด้วยสิ" พี่เค้าใจดีให้เด็กน้อยร้องตามด้วยจ้า
ไม่รอช้ากดหาตั๋วเครื่องบินไปกลับ BKK - New Delhi - Leh - New Delhi - BKK ได้ของสายการบิน Air India ที่หมื่นต้นๆ
ไปต่อไม่รอแล้วนะ ..กดจองสิครัช แม้จะต้องแยกไฟท์กับอีก 8 ชีวิตที่เหลือ นาทีนั้นลืมกลัว
***ไม่มีไฟท์บินตรง กรุงเทพ - เลห์ ต้องเปลี่ยนเครื่องที่นิวเดลีก่อน และไฟท์ที่เดินทางไปเลห์ส่วนมากจะเป็นช่วงเช้า แนะนำให้
เลือกที่นั่งด้านซ้าย ขาไป และ
นั่งด้านขวาขากลับ เพราะว่าอะไรนั้น ... เลื่อนๆอ่านไปนะ เดี๋ยวมีคำตอบ
เมื่อได้ตั๋วแล้ว ผู้อาศัยเค้าเที่ยวได้รับมอบหมายวางแผนและติดต่อไกด์ท้องถิ่น เมื่อปีที่แล้วรุ่นพี่เราไปมา เค้าเลยแนะนำให้เรารู้จักกับจิมมี่ ไกด์ท้องถิ่นที่เคลมกันมาว่ามีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย
เราปรึกษากับจิมมี่จนได้แพลน สำหรับ 7 วัน 7 คืน อยู่ที่เลห์ 5 วัน และออกไปเผชิญโลกกว้าง 2 วัน ซึ่งแพลนการเที่ยวตอนอยู่เลห์ จะเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม

เมื่อแพลนพร้อม เงินพร้อม ก็ถึงเวลาของ
การทำ e-Visa ราคาจะแพงกว่าทำ Visa แบบปกติเล็กน้อย แต่สะดวกตรงที่ไม่ต้องเดินทางไปสถานทูต แค่ถ่ายรูปหน้าตรงเปิดหู กำบัตรเครดิตให้พร้อม แล้วแสกนพาสปอร์ตชัดๆ เราทำตาม link
https://goanywhere.co/2017/11/22/indiaevisa2017/ นี้เลยจ้า
เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย ก็รอตรวจความถูกต้องของเอกสาร หลังจากได้รับอนุมัติเรียบร้อย เราก็จะได้รับเมล์ที่สถานะเป็น Granted ก็เป็นอันเรียบร้อย ก็ไปปริ้น Visa เพื่อไปยื่น ตม. ได้เลย
ระหว่างใจจดจ่อกับการรอตามฝัน ก็เกิดเรื่องราวอันกลุ้มใจ
หนึ่งอาทิตย์ก่อนเดินทาง ... สายการบินที่น่ารัก
ยกเลิกไฟท์ ให้เปลี่ยนไปเดินทางช่วงเช้าของวันนั้นแทน
ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโดนทิ้งไว้กลางทาง เคว้งคว้างไปอีก ต้องรอเปลี่ยนเครื่องถึง 18 ชั่วโมง (ได้แต่รำพึงรำพันจะทำอะไรว๊ะเนี่ย..เวลาเยอะแยะ) คิดอะไรไม่ออกเลยเปิดอ่านพันทิพย์ มีคนแนะนำว่าให้รีเควสโรงแรมกับสายการบิน จะได้ออกมาเที่ยวรอบๆนิวเดลีได้ แต่ใครต่อใครก็เตือนว่า มันอันตรายมากนะ ออกมาเดินเล่นคนเดียวที่นิวเดลี มันบ้ามากสำหรับผู้หญิงที่ไม่สวยอย่างน้อง จะได้ออกมาเที่ยวหรือเปล่าช่างมัน อย่างน้อยมีที่นอนก็ยังดี
ก่อนเดินทาง 2 วัน จิมมี่แนะนำให้
ทานยา Diamox ซึ่งมีผลข้างเคียง อย่างเช่น ปัสสาวะบ่อย หรืออาการชาที่ปลายนิ้วมือนิ้วเท้านิดหน่อย เราแนะนำให้ทานน้ำเยอะๆ และพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะ เพราะมันจะทำให้ร่างกายเรามีอ๊อกซิเจนที่เพียงพอ เนื่องจากเลห์อยู่ที่สูงมาก ปริมาณอ๊อกซิเจนก็เหลือน้อยตามมา
เมื่อเตรียมร่างกายพร้อมแล้ว ก็มา
จัดกระเป๋า ใครๆเค้าก็เล่ากันมาว่า หาร้านค้ายาก ห้องน้ำไม่มี ร้านยาก็แทบไม่ต้องถามถึง สิ่งของจำเป็นที่เราคิดว่าควรเอาติดตัวไปจากไทยเลย ก็คือ …

จัดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ก็ลุยต่อเลยจ้านายจ๋า … ดินแดนในฝันรอน้องอยู่
DAY1
สวัสดีที่นี้สุวรรณภูมิ เป็นการเดินทางลัดฟ้าคนเดียวครั้งแรกของเราเลย จากอาการที่ลืมกลัวตอนจองตั๋วก็ได้แต่หวั่นใจเล็กน้อย ได้แต่ภาวนาให้เจอแต่กัลยาณมิตรดีๆ

พอถึงเวลาขึ้นเครื่อง…
ประทับใจกับที่นั่งกว้างมาก มีจอพร้อมหูฟังให้ดูหนังแก้เบื่อ เราเลือกที่นั่งริมสุด จึงได้ตื่นเต้นกับหน้าต่างปรับแสงอัตโนมัติ
เราเคยแอบกังวลห้องน้ำว่าจะกลิ่นไม่ดี หรือว่าไม่สะอาด แต่บอกเลยว่าห้องน้ำดีงามมาก
แต่ที่ตื่นเต้นสุดก็คุณป้าแอร์สวมรองเท้าแตะฟิปฟลอบมาเดินให้บริการนี้แหละ สมความชิลที่ใครเค้าต่างร่ำลือ

เมื่อเหลือบมองดูแล้วว่า 2 ที่นั่งข้างๆเราเป็นสองสาวชาวไทย ก็สบายใจไปเปราะหนึ่ง นอนต่อได้ จนอาหารมาเสริฟจึงได้คุยกับพี่สาวเค้า มาจากทางใต้ฝั่งอันดามัน น้องไม่รอช้าผูกมิตรไว้เป็นที่เรียบร้อย เพราะแม่สอนไว้ให้คุยกับคนแปลกหน้าเยอะๆ 555+
พอเริ่มหิวก็กลับมาสนใจอาหารตรงหน้า เราก็ไม่รู้ว่าไปสั่งอะไรไว้ตอนจองตั๋วเครื่องบิน น่าตามันดูดีนะ … รสชาติพอได้ เป็นปลาซาบะหรือปลาอะไรไม่รู้ แต่รสชาติคล้ายปลาซาดีนในปลากระป๋อง

พออิ่มเราก็หลับเป็นตายจ้า … ตื่นมาอีกทีคืออยู่บนน่านฟ้านิวเดลีแล้ว

เมื่อล้อเครื่องบินเหยียบพื้นนิวเดลี ความร้อนระอุก็ตีเข้ามาซ่านที่หัวใจน้อง แต่พอก้าวเท้าเข้าอาคารก็มีคุณกราวน์หนุ่ม หน้าตาจิ้มลิ้ม มายืนรอถามว่าต่อเครื่องไปเลห์ ใช่มั้ย แล้วให้เดินแยกออกมา เพื่อทำการเช็คชื่อ
เราเลยสบายใจไปเยอะว่า เออไม่ใช่ช้านคนเดียวแล้วเว้ยเห้ย เพื่อนเยอะคะบอกเลย
เช็คชื่อเรียบร้อย พวกเราก็เดินชักแถวเหมือนคนเข้าเมืองผิดกฎหมายเพื่อไป ตม. จุดนี้จะมีช่อง e-Visa ให้บริการเลยนะ คุณ ตม. ถึงหนวดจะเข้ม หน้าดุ แต่ยิ้มแล้วน่ารักอย่าบอกใครเลยจ้า เมื่อผ่าน ตม. เรียบร้อย คุณกราวน์คนเดิมก็พาพวกเราเดินออกมารอรถ
ระหว่างรอ เราได้พูดคุยกับพี่สาวคนเดิมและขออนุญาติมา
ซื้อซิม บูธจะอยู่ทางด้านขวามือ ถ้าเดินออกมาจากประตูที่รับกระเป๋าเดินทาง (ขออภัยลืมถ่ายรูป ตื่นเต้นอยู่)
บูธสีแดง ราคา 1000 Rs ใช้ Passport ในการลงทะเบียน
แต่...ซิมที่นี้ไม่ใช่ลงทะเบียนแล้วสัญญาณจะเข้าเลยนะ ต้องรอสัญญาณเดินทางไกลประมาณ 4 ชั่วโมงคะคุณขา
เราซื้อตอนเที่ยงครึ่ง สัญญาณมาตอน 4 โมงเย็น ตอนซื้อคนขายซิมจะแจ้งว่าเค้าเปิดบริการให้แล้วนะ พออีก 4 ชั่วโมง ก็โทรเข้าเบอร์ที่เค้าบอกไว้เพื่อเป็นการ activate อีกรอบ
internet ให้วันละ 1 GB ใช้ได้ 1 เดือน และใช้ได้เฉพาะนิวเดลีเท่านั้น
พอซื้อซิมเรียบร้อยก็เดินกลับมาที่กลุ่มเดิม โดยพี่สาวและแก๊งค์ของเค้าบอกเราว่า พอเข้าโรงแรมจะไปเที่ยวในนิวเดลีต่อ
มีหรือที่น้องจะไม่หูพลึ่ง รวบรวมความกล้า 1 วิแล้วบอกพี่เค้าไปว่า หนูไปด้วยได้มั้ยคะ (นังเด็กนี้...ร้องตามเค้าไปทั่วจริงๆ)
และพี่สาวคนสวยก็ใจดี สงสารเด็กน้อยตาดำๆ เลยให้ไปเที่ยวด้วย
ซักพัก...รถหนึ่งประตู หลายหน้าต่างก็มารับพวกเรา ใช่คะ มันคือบัสโอเพ่นแอร์ที่ทางสายการบินให้บริการไปส่งเราที่โรงแรม

The Centaur Hotel Airport
โรงแรมอยู่ใกล้สนามบินมาก แต่จะมีผีเปล่าเนี่ย ไม่เอานะ...อินเดียมีหลายศาสนาเกิน น้องสวดคาถาตามเทพมาคุ้มครองไม่ถูก

โรงแรมเหมือนเคยเป็น 5 ดาว เมื่อหลายสิบปีก่อน เราขอห้องเตียงเดี่ยว เพราะกลัวเตียงคู่จะมีคนมาขอนอนเป็นเพื่อน
พอเปิดประตูเข้าไปนี่ ผนังปูนลอก ห้องทึบ และไฟมันไม่ติดจ้า ยังดีที่ตรงโถงหน้าห้องน้ำและในห้องน้ำมีไฟ เรียกคุณเจ้าหน้าที่มาดูก็นิ่งใส่น้อง เอาฟ่ะ เป็นไงเป็นกันคืนนี้ (น้องร้องห้ายยยย)

พักผ่อนซักพัก มีพนักงานโทรมาตามให้ลงไปทาน Lunch เป็นบริการของทางโรงแรม จะบอกว่าพนักงานที่นี้บริการดีมาก ดูแลดุจลูกหลาน มีโทรจิกให้ตื่นตอนเช้าก่อนไปสนามบินด้วยนะ

อาหารเป็นบุฟเฟ่ต์ หน้าตาอาหารแปลกมาก ทานประทังชีวิตแล้วไปลุยนิวเดลีต่อ พวกเราเรียกแท็กซี่ตัวท็อปของทางโรงแรมเพื่อไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า

มาอินเดียไม่เจอคนหัวหมอแสดงว่ามาไม่ถึง ค่ารถ 400 Rs ให้ 500 Rs พี่บังทำเป็นไม่มีตังทอน เลยบอกนางว่างั้นฝากไว้ล็อบบี้แล้วกัน แต่สุดท้าย 100 Rs ของพวกเราก็ได้หายไปกับพี่บังเค้า T^T
สถานีรถไฟฟ้าที่นี้สะอาดเกินคาดคิด แต่สายรถไฟฟ้ามันชวน งง มากอ่ะ หรือเพราะเราสับสนเองก็ไม่รู้สินะ
ขาไปซื้อตั๋วผิดสถานี ทำให้ต้องซื้อตั๋วทุกครั้งที่เปลี่ยนสายรถไฟ

พวกเราขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี "Delhi Aerocity"
สายสีส้มอ่อน และต้องไปเปลี่ยนเป็น
สายสีเหลืองที่สถานี "New Delhi Station" ไปลงที่สถานี "Kashmiri Gate" เพื่อต่อ
สายสีม่วงไปที่สถานี "Jama Masjid"

เป้าหมายของพวกเราคือ Red Port แต่โชคไม่เข้าข้าง เดินงงในดงรถไฟเลยเสียเวลา
Red Port ปิดสี่โมงจ้า เลยเปลี่ยนเป้าหมายไป "Jama Masjid" แทน
พอออกจากสถานี Jama Masjid ระหว่างทางมีตลาดให้เราเดินชมความเป็นอินเดียที่แท้ทรู

พอเดินถึง ...โชคก็ไม่เข้าข้างน้องอีกแล้ว มีพิธีสวดทางศาสนาอิสลามอยู่ เค้าไม่อนุญาติให้เข้าด้านใน พวกเราเลยไปเดินชมตลาดฆ่าเวลา
เอาบรรยากาศรอบๆตลาดมาฝาก คนอินเดียชอบถ่ายรูปมาก ก.ไก่ล้านตัว
พวกเรากล้าชิมอาหารเพียงร้านเดียวคือร้านชานมร้อน เพราะความร้อนมันฆ่าเชื้อได้นะเออ ชาร้านนี้อร่อยมาก ใครมีเวลาไปแถว Jama Masjid อย่าลืมแวะชิมชาร้านนี้น่า ด้านหน้าร้านจะมีกระป๋องบิสกิตและบุหรี่แบ่งขายอยู่

เคบับในรูป พวกเราแวะชิมหลังจากเข้าชมมิสยิดเสร็จแล้ว เป็นร้านดังใน Trip Advisor คนเข้าคิวซื้อเยอะมาก ตอนเราไปฝนตก คิวยังเยอะ รสชาติเหมือนไส้อั่วบ้านเราแต่จัดว่าอร่อย ช้อนส้อมเค้าไม่มีให้น่า ใครจะไปพกทิชชู่เปียกติดตัวไว้ด้วย มือจะได้สะอาดทั้งก่อนและหลังกิน
กลับมาที่ Jama Masjid ตั้งอยู่บนถนน Netaji Subhash Marg ตรงข้ามกับ Red Fort เป็นมัสยิดหนึ่งในจำนวนมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย และเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในกรุงนิวเดลี ได้รับบัญชาให้สร้างโดยกษัตริย์พระองค์เดียวกับที่สร้างทัช มาฮาล
ถ้าอยากเก็บรูปภาพสวยๆ ต้อง
เสียค่านำกล้อง หรือ โทรศัพท์มือถือ 300 รูปี ต่อ 1 อุปกรณ์ ไหนๆก็มาแล้ว ยอมจ่ายก็ได้เพราะน้องคงไม่กลับมาตรงนี้แล้ว ถ้าใส่เสื้อหรือกางเกงสั้น เค้าให้ใส่ผ้าคุม ซึ่งอากาศมันร้อน และผ้ามันก็เคยเปียกมาแล้ว ก็ทำใจหน่อยแล้วกันนะ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม หลิ่วจนตาเหล่เลยจ้า กลิ่นเครื่องเทสติดตัวฟุ้งเพลินเชียว

หลังจากเที่ยวชมมัสยิดเสร็จ ฝนก็เทลงมา ... พวกเราเดินฝ่าฝนไปนั่งรถไฟฟ้าเหมือนเดิม เพราะหารถสาธารณะยากกว่าเรียกแท๊กซี่ไปหมอชิตอีกจ้า และค่ารถไฟฟ้าที่นั้นก็ถูกกว่าที่ไทยพอสมควร ไปกลับเราเสียไปประมาณ 200 Rs เอง
กลับมาถึงสถานีต้นทาง เรียกรถแท๊กซี่ที่เหมือนรถกระป้อ ตอนเรียกพี่บังเค้าก็เหมือนจะไปถูก แต่พอออกรถเท่านั้นแหละ หันมาถามทาง เดี๋ยวนะ น้องไม่ใช่เจ้าถิ่นนะเหว๋ย ยังดีมีอากู๋ไปด้วย เลยต้องให้อากู๋นำทางแทน ถึงที่พักพี่บังเค้าเล่นลิ้น บอกว่าค่ารถที่บอก 200 Rs อ่ะ ต่อคนนะ พาหลงแล้วยังจะหัวหมออีก เอาไป 200 Rs แล้วไสหัวกลับไปซะ ...
เป็นการใช้ชีวิต 5 ชั่วโมงในนิวเดลีที่เปลืองพลังชีวิตมาก พวกเราทานมื้อเย็นที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ ไอติมนี่โคตรฟินแต่ไม่มีรูปนะกินเพลิน

ถึงเวลาพักผ่อน เหนื่อยจนลืมกลัวผี ... วันแรกที่นิวเดลีจบแล้วจ้า พรุ่งนี้เช้าเราจะลัดฟ้าไปเลห์กัน
[CR] ต้องเสน่ห์ของแสงและเงา...แต่ไม่เหงา ที่เลห์ [Leh Ladakh] - ตอนที่ 1
พรหมลิขิตบังเกิด เมื่อเราย้ายงานมาที่ใหม่ แล้วพี่ๆเค้าพูดถึง "เลห์ ลาดักห์" ใครมันจะไปอดใจไหว พลาดมาตั้งหลายครั้ง เราเลยรวบรวมความใจกล้าแล้วบอกพี่เค้าไปว่า "พี่คะ...หนูไปด้วยสิ" พี่เค้าใจดีให้เด็กน้อยร้องตามด้วยจ้า
ไม่รอช้ากดหาตั๋วเครื่องบินไปกลับ BKK - New Delhi - Leh - New Delhi - BKK ได้ของสายการบิน Air India ที่หมื่นต้นๆ
ไปต่อไม่รอแล้วนะ ..กดจองสิครัช แม้จะต้องแยกไฟท์กับอีก 8 ชีวิตที่เหลือ นาทีนั้นลืมกลัว
***ไม่มีไฟท์บินตรง กรุงเทพ - เลห์ ต้องเปลี่ยนเครื่องที่นิวเดลีก่อน และไฟท์ที่เดินทางไปเลห์ส่วนมากจะเป็นช่วงเช้า แนะนำให้เลือกที่นั่งด้านซ้าย ขาไป และ นั่งด้านขวาขากลับ เพราะว่าอะไรนั้น ... เลื่อนๆอ่านไปนะ เดี๋ยวมีคำตอบ
เมื่อได้ตั๋วแล้ว ผู้อาศัยเค้าเที่ยวได้รับมอบหมายวางแผนและติดต่อไกด์ท้องถิ่น เมื่อปีที่แล้วรุ่นพี่เราไปมา เค้าเลยแนะนำให้เรารู้จักกับจิมมี่ ไกด์ท้องถิ่นที่เคลมกันมาว่ามีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย
เราปรึกษากับจิมมี่จนได้แพลน สำหรับ 7 วัน 7 คืน อยู่ที่เลห์ 5 วัน และออกไปเผชิญโลกกว้าง 2 วัน ซึ่งแพลนการเที่ยวตอนอยู่เลห์ จะเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม
เมื่อแพลนพร้อม เงินพร้อม ก็ถึงเวลาของการทำ e-Visa ราคาจะแพงกว่าทำ Visa แบบปกติเล็กน้อย แต่สะดวกตรงที่ไม่ต้องเดินทางไปสถานทูต แค่ถ่ายรูปหน้าตรงเปิดหู กำบัตรเครดิตให้พร้อม แล้วแสกนพาสปอร์ตชัดๆ เราทำตาม link https://goanywhere.co/2017/11/22/indiaevisa2017/ นี้เลยจ้า
เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย ก็รอตรวจความถูกต้องของเอกสาร หลังจากได้รับอนุมัติเรียบร้อย เราก็จะได้รับเมล์ที่สถานะเป็น Granted ก็เป็นอันเรียบร้อย ก็ไปปริ้น Visa เพื่อไปยื่น ตม. ได้เลย
ระหว่างใจจดจ่อกับการรอตามฝัน ก็เกิดเรื่องราวอันกลุ้มใจ
หนึ่งอาทิตย์ก่อนเดินทาง ... สายการบินที่น่ารัก ยกเลิกไฟท์ ให้เปลี่ยนไปเดินทางช่วงเช้าของวันนั้นแทน
ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโดนทิ้งไว้กลางทาง เคว้งคว้างไปอีก ต้องรอเปลี่ยนเครื่องถึง 18 ชั่วโมง (ได้แต่รำพึงรำพันจะทำอะไรว๊ะเนี่ย..เวลาเยอะแยะ) คิดอะไรไม่ออกเลยเปิดอ่านพันทิพย์ มีคนแนะนำว่าให้รีเควสโรงแรมกับสายการบิน จะได้ออกมาเที่ยวรอบๆนิวเดลีได้ แต่ใครต่อใครก็เตือนว่า มันอันตรายมากนะ ออกมาเดินเล่นคนเดียวที่นิวเดลี มันบ้ามากสำหรับผู้หญิงที่ไม่สวยอย่างน้อง จะได้ออกมาเที่ยวหรือเปล่าช่างมัน อย่างน้อยมีที่นอนก็ยังดี
ก่อนเดินทาง 2 วัน จิมมี่แนะนำให้ทานยา Diamox ซึ่งมีผลข้างเคียง อย่างเช่น ปัสสาวะบ่อย หรืออาการชาที่ปลายนิ้วมือนิ้วเท้านิดหน่อย เราแนะนำให้ทานน้ำเยอะๆ และพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะ เพราะมันจะทำให้ร่างกายเรามีอ๊อกซิเจนที่เพียงพอ เนื่องจากเลห์อยู่ที่สูงมาก ปริมาณอ๊อกซิเจนก็เหลือน้อยตามมา
เมื่อเตรียมร่างกายพร้อมแล้ว ก็มาจัดกระเป๋า ใครๆเค้าก็เล่ากันมาว่า หาร้านค้ายาก ห้องน้ำไม่มี ร้านยาก็แทบไม่ต้องถามถึง สิ่งของจำเป็นที่เราคิดว่าควรเอาติดตัวไปจากไทยเลย ก็คือ …
จัดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ก็ลุยต่อเลยจ้านายจ๋า … ดินแดนในฝันรอน้องอยู่
DAY1
สวัสดีที่นี้สุวรรณภูมิ เป็นการเดินทางลัดฟ้าคนเดียวครั้งแรกของเราเลย จากอาการที่ลืมกลัวตอนจองตั๋วก็ได้แต่หวั่นใจเล็กน้อย ได้แต่ภาวนาให้เจอแต่กัลยาณมิตรดีๆ
พอถึงเวลาขึ้นเครื่อง…
ประทับใจกับที่นั่งกว้างมาก มีจอพร้อมหูฟังให้ดูหนังแก้เบื่อ เราเลือกที่นั่งริมสุด จึงได้ตื่นเต้นกับหน้าต่างปรับแสงอัตโนมัติ
เราเคยแอบกังวลห้องน้ำว่าจะกลิ่นไม่ดี หรือว่าไม่สะอาด แต่บอกเลยว่าห้องน้ำดีงามมาก
แต่ที่ตื่นเต้นสุดก็คุณป้าแอร์สวมรองเท้าแตะฟิปฟลอบมาเดินให้บริการนี้แหละ สมความชิลที่ใครเค้าต่างร่ำลือ
เมื่อเหลือบมองดูแล้วว่า 2 ที่นั่งข้างๆเราเป็นสองสาวชาวไทย ก็สบายใจไปเปราะหนึ่ง นอนต่อได้ จนอาหารมาเสริฟจึงได้คุยกับพี่สาวเค้า มาจากทางใต้ฝั่งอันดามัน น้องไม่รอช้าผูกมิตรไว้เป็นที่เรียบร้อย เพราะแม่สอนไว้ให้คุยกับคนแปลกหน้าเยอะๆ 555+
พอเริ่มหิวก็กลับมาสนใจอาหารตรงหน้า เราก็ไม่รู้ว่าไปสั่งอะไรไว้ตอนจองตั๋วเครื่องบิน น่าตามันดูดีนะ … รสชาติพอได้ เป็นปลาซาบะหรือปลาอะไรไม่รู้ แต่รสชาติคล้ายปลาซาดีนในปลากระป๋อง
พออิ่มเราก็หลับเป็นตายจ้า … ตื่นมาอีกทีคืออยู่บนน่านฟ้านิวเดลีแล้ว
เมื่อล้อเครื่องบินเหยียบพื้นนิวเดลี ความร้อนระอุก็ตีเข้ามาซ่านที่หัวใจน้อง แต่พอก้าวเท้าเข้าอาคารก็มีคุณกราวน์หนุ่ม หน้าตาจิ้มลิ้ม มายืนรอถามว่าต่อเครื่องไปเลห์ ใช่มั้ย แล้วให้เดินแยกออกมา เพื่อทำการเช็คชื่อ
เราเลยสบายใจไปเยอะว่า เออไม่ใช่ช้านคนเดียวแล้วเว้ยเห้ย เพื่อนเยอะคะบอกเลย
เช็คชื่อเรียบร้อย พวกเราก็เดินชักแถวเหมือนคนเข้าเมืองผิดกฎหมายเพื่อไป ตม. จุดนี้จะมีช่อง e-Visa ให้บริการเลยนะ คุณ ตม. ถึงหนวดจะเข้ม หน้าดุ แต่ยิ้มแล้วน่ารักอย่าบอกใครเลยจ้า เมื่อผ่าน ตม. เรียบร้อย คุณกราวน์คนเดิมก็พาพวกเราเดินออกมารอรถ
ระหว่างรอ เราได้พูดคุยกับพี่สาวคนเดิมและขออนุญาติมา ซื้อซิม บูธจะอยู่ทางด้านขวามือ ถ้าเดินออกมาจากประตูที่รับกระเป๋าเดินทาง (ขออภัยลืมถ่ายรูป ตื่นเต้นอยู่)
บูธสีแดง ราคา 1000 Rs ใช้ Passport ในการลงทะเบียน
แต่...ซิมที่นี้ไม่ใช่ลงทะเบียนแล้วสัญญาณจะเข้าเลยนะ ต้องรอสัญญาณเดินทางไกลประมาณ 4 ชั่วโมงคะคุณขา
เราซื้อตอนเที่ยงครึ่ง สัญญาณมาตอน 4 โมงเย็น ตอนซื้อคนขายซิมจะแจ้งว่าเค้าเปิดบริการให้แล้วนะ พออีก 4 ชั่วโมง ก็โทรเข้าเบอร์ที่เค้าบอกไว้เพื่อเป็นการ activate อีกรอบ
internet ให้วันละ 1 GB ใช้ได้ 1 เดือน และใช้ได้เฉพาะนิวเดลีเท่านั้น
พอซื้อซิมเรียบร้อยก็เดินกลับมาที่กลุ่มเดิม โดยพี่สาวและแก๊งค์ของเค้าบอกเราว่า พอเข้าโรงแรมจะไปเที่ยวในนิวเดลีต่อ
มีหรือที่น้องจะไม่หูพลึ่ง รวบรวมความกล้า 1 วิแล้วบอกพี่เค้าไปว่า หนูไปด้วยได้มั้ยคะ (นังเด็กนี้...ร้องตามเค้าไปทั่วจริงๆ)
และพี่สาวคนสวยก็ใจดี สงสารเด็กน้อยตาดำๆ เลยให้ไปเที่ยวด้วย
ซักพัก...รถหนึ่งประตู หลายหน้าต่างก็มารับพวกเรา ใช่คะ มันคือบัสโอเพ่นแอร์ที่ทางสายการบินให้บริการไปส่งเราที่โรงแรม
The Centaur Hotel Airport
โรงแรมอยู่ใกล้สนามบินมาก แต่จะมีผีเปล่าเนี่ย ไม่เอานะ...อินเดียมีหลายศาสนาเกิน น้องสวดคาถาตามเทพมาคุ้มครองไม่ถูก
โรงแรมเหมือนเคยเป็น 5 ดาว เมื่อหลายสิบปีก่อน เราขอห้องเตียงเดี่ยว เพราะกลัวเตียงคู่จะมีคนมาขอนอนเป็นเพื่อน
พอเปิดประตูเข้าไปนี่ ผนังปูนลอก ห้องทึบ และไฟมันไม่ติดจ้า ยังดีที่ตรงโถงหน้าห้องน้ำและในห้องน้ำมีไฟ เรียกคุณเจ้าหน้าที่มาดูก็นิ่งใส่น้อง เอาฟ่ะ เป็นไงเป็นกันคืนนี้ (น้องร้องห้ายยยย)
พักผ่อนซักพัก มีพนักงานโทรมาตามให้ลงไปทาน Lunch เป็นบริการของทางโรงแรม จะบอกว่าพนักงานที่นี้บริการดีมาก ดูแลดุจลูกหลาน มีโทรจิกให้ตื่นตอนเช้าก่อนไปสนามบินด้วยนะ
อาหารเป็นบุฟเฟ่ต์ หน้าตาอาหารแปลกมาก ทานประทังชีวิตแล้วไปลุยนิวเดลีต่อ พวกเราเรียกแท็กซี่ตัวท็อปของทางโรงแรมเพื่อไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า
มาอินเดียไม่เจอคนหัวหมอแสดงว่ามาไม่ถึง ค่ารถ 400 Rs ให้ 500 Rs พี่บังทำเป็นไม่มีตังทอน เลยบอกนางว่างั้นฝากไว้ล็อบบี้แล้วกัน แต่สุดท้าย 100 Rs ของพวกเราก็ได้หายไปกับพี่บังเค้า T^T
สถานีรถไฟฟ้าที่นี้สะอาดเกินคาดคิด แต่สายรถไฟฟ้ามันชวน งง มากอ่ะ หรือเพราะเราสับสนเองก็ไม่รู้สินะ
ขาไปซื้อตั๋วผิดสถานี ทำให้ต้องซื้อตั๋วทุกครั้งที่เปลี่ยนสายรถไฟ
พวกเราขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี "Delhi Aerocity" สายสีส้มอ่อน และต้องไปเปลี่ยนเป็น สายสีเหลืองที่สถานี "New Delhi Station" ไปลงที่สถานี "Kashmiri Gate" เพื่อต่อสายสีม่วงไปที่สถานี "Jama Masjid"
เป้าหมายของพวกเราคือ Red Port แต่โชคไม่เข้าข้าง เดินงงในดงรถไฟเลยเสียเวลา
Red Port ปิดสี่โมงจ้า เลยเปลี่ยนเป้าหมายไป "Jama Masjid" แทน
พอออกจากสถานี Jama Masjid ระหว่างทางมีตลาดให้เราเดินชมความเป็นอินเดียที่แท้ทรู
พอเดินถึง ...โชคก็ไม่เข้าข้างน้องอีกแล้ว มีพิธีสวดทางศาสนาอิสลามอยู่ เค้าไม่อนุญาติให้เข้าด้านใน พวกเราเลยไปเดินชมตลาดฆ่าเวลา
เอาบรรยากาศรอบๆตลาดมาฝาก คนอินเดียชอบถ่ายรูปมาก ก.ไก่ล้านตัว
พวกเรากล้าชิมอาหารเพียงร้านเดียวคือร้านชานมร้อน เพราะความร้อนมันฆ่าเชื้อได้นะเออ ชาร้านนี้อร่อยมาก ใครมีเวลาไปแถว Jama Masjid อย่าลืมแวะชิมชาร้านนี้น่า ด้านหน้าร้านจะมีกระป๋องบิสกิตและบุหรี่แบ่งขายอยู่
เคบับในรูป พวกเราแวะชิมหลังจากเข้าชมมิสยิดเสร็จแล้ว เป็นร้านดังใน Trip Advisor คนเข้าคิวซื้อเยอะมาก ตอนเราไปฝนตก คิวยังเยอะ รสชาติเหมือนไส้อั่วบ้านเราแต่จัดว่าอร่อย ช้อนส้อมเค้าไม่มีให้น่า ใครจะไปพกทิชชู่เปียกติดตัวไว้ด้วย มือจะได้สะอาดทั้งก่อนและหลังกิน
กลับมาที่ Jama Masjid ตั้งอยู่บนถนน Netaji Subhash Marg ตรงข้ามกับ Red Fort เป็นมัสยิดหนึ่งในจำนวนมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย และเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในกรุงนิวเดลี ได้รับบัญชาให้สร้างโดยกษัตริย์พระองค์เดียวกับที่สร้างทัช มาฮาล
ถ้าอยากเก็บรูปภาพสวยๆ ต้องเสียค่านำกล้อง หรือ โทรศัพท์มือถือ 300 รูปี ต่อ 1 อุปกรณ์ ไหนๆก็มาแล้ว ยอมจ่ายก็ได้เพราะน้องคงไม่กลับมาตรงนี้แล้ว ถ้าใส่เสื้อหรือกางเกงสั้น เค้าให้ใส่ผ้าคุม ซึ่งอากาศมันร้อน และผ้ามันก็เคยเปียกมาแล้ว ก็ทำใจหน่อยแล้วกันนะ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม หลิ่วจนตาเหล่เลยจ้า กลิ่นเครื่องเทสติดตัวฟุ้งเพลินเชียว
หลังจากเที่ยวชมมัสยิดเสร็จ ฝนก็เทลงมา ... พวกเราเดินฝ่าฝนไปนั่งรถไฟฟ้าเหมือนเดิม เพราะหารถสาธารณะยากกว่าเรียกแท๊กซี่ไปหมอชิตอีกจ้า และค่ารถไฟฟ้าที่นั้นก็ถูกกว่าที่ไทยพอสมควร ไปกลับเราเสียไปประมาณ 200 Rs เอง
กลับมาถึงสถานีต้นทาง เรียกรถแท๊กซี่ที่เหมือนรถกระป้อ ตอนเรียกพี่บังเค้าก็เหมือนจะไปถูก แต่พอออกรถเท่านั้นแหละ หันมาถามทาง เดี๋ยวนะ น้องไม่ใช่เจ้าถิ่นนะเหว๋ย ยังดีมีอากู๋ไปด้วย เลยต้องให้อากู๋นำทางแทน ถึงที่พักพี่บังเค้าเล่นลิ้น บอกว่าค่ารถที่บอก 200 Rs อ่ะ ต่อคนนะ พาหลงแล้วยังจะหัวหมออีก เอาไป 200 Rs แล้วไสหัวกลับไปซะ ...
เป็นการใช้ชีวิต 5 ชั่วโมงในนิวเดลีที่เปลืองพลังชีวิตมาก พวกเราทานมื้อเย็นที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ ไอติมนี่โคตรฟินแต่ไม่มีรูปนะกินเพลิน
ถึงเวลาพักผ่อน เหนื่อยจนลืมกลัวผี ... วันแรกที่นิวเดลีจบแล้วจ้า พรุ่งนี้เช้าเราจะลัดฟ้าไปเลห์กัน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น