สืบเนื่องจากการซื้อบ้านเมื่อ 2 ปีก่อน
[แบ่งปันประสบการณ์] เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ได้บ้านโดนใจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/34951815
[แบ่งปันประสบการณ์] เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ได้บ้านโดนใจ ตอน : การต่อราคา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/34955589
ตอนนี้มาเผชิญกิจกรรมทดสอบไหวพริบใหม่ คือ
“การเก็บประกันบ้าน” ค่ะ
หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วม 2 ปี ขอแชร์ประสบการณ์เอาไว้ เผื่อใครที่กำลังจะต้องเก็บประกันบ้าน จะได้วางแผนให้รอบคอบและป้องกันการเสียหายให้มากที่สุดนะคะ ^^
ก่อนจะเริ่ม ขอย้ำอีกที บ้านไม่เสร็จอย่าโอน เพราะก่อนซื้อ กับ หลังซื้อ พาวเวอร์มันต่างกันค่ะ
แต่ถ้าเราตรวจดีแล้ว แต่อยู่ๆ ปันมันดั๊นนนนน มีปัญหางอกออกมา คราวนี้ก็ต้องพึ่งบริการหลังการขาย (และบุญแห่งกรรมดีที่เราสะสมมา) แล้วค่ะ
ซึ่งจากประสบการณ์ ถ้าเป็นเคสเร่งด่วน เช่น น้ำรั่วทะลักเข้ามาในบ้าน ไม่ต้องรอครบ 1 ปีตามสัญญา เค้าต้องมาซ่อมให้เราทันทีค่ะ
ตรงนี้มีระบุไว้ในสัญญาซื้อขาย เนื้อความประมาณว่าเรามีหน้าที่ต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเป็นทางการ (สำหรับเราคือโทรผ่าน call center) และโครงการมีหน้าที่เข้ามาซ่อมภายในระยะเวลา XX ซึ่งหากไม่มา เราสามารถจ้างผู้รับเหมาข้างนอกมาดำเนินการและไปเบิกค่าใช้จ่ายกับเค้าได้
ลองหาดูนะคะ เนื้อความนี้มีอยู่จริงในสัญญาซื้อขาย และจะช่วยเซฟความปวดหัวกับการที่ต้อง “จิก” ตามช่างมาได้เยอะเลย
ส่วนเงินเบิกได้จริงไหม....หึหึ ก็ยากตามระเบียบค่ะ หลักการเค้าจะเยอะๆ หน่อย ><
ตัดว่าใครเป็นผู้ซ่อมออกไป....
สิ่งที่เราต้องทำเมื่อบ้านครบประกันจากโครงการ คือ
1. เมื่อใกล้ครบหมดประกัน ให้เราโทรแจ้งให้โครงการมารับทราบรายการ ซึ่งเราควรนัดหมายอย่างเป็นทางการผ่านระบบ Call Center ให้มีหลักฐานว่าทางเจ้าของบ้านมีการแจ้งให้โครงการมารับทราบรายการนะคะ เพราะมีกรณีที่เจ้าของบ้านกับช่างดันสนิทกัน โทรหากันเองแล้วเค้าไม่มาตามนัดจนล่วงเลยหมดเวลาประกันไปแล้ว หรือช่างย้ายไปแล้ว ถึงเวลาไม่มีหลักฐานก็จะเท้าความไม่ออกค่ะ
2. ลิสรายการออกมาให้ครบ อันนี้อยู่ที่ความทุ่มเทส่วนบุคคลค่ะ แนะนำให้เสียเวลากับตรงนี้หน่อย เดินดูบ้านสักครึ่งวันก็เสร็จแล้วค่ะ ดีกว่ามาปวดหัวทีหลัง ต้องไปตามแจ้งกระปิดกระปอยอีก และอาจจะได้รับการปฏิเสธก็ได้ว่าหมดประกันแล้ว (ของแพงก็ต้องใส่ใจดูแลดีๆ นิดนึง อิอิ)
3. แม้พนักงานโครงการจะทำหน้าที่จด ขอให้คุณเจ้าของบ้านอย่าไว้ใจ เราต้องจดเองด้วยค่ะ ประสบการณ์ส่วนตัวคือ เค้าอาสาจด และจดไม่ครบ แถมบางรายการไม่ได้ซ่อมก็บอกว่าซ่อมแล้ว และลาออกไปแล้วถึงมาความแตก/ เราไม่ยอมความ โครงการส่งเจ้าหน้าที่คนใหม่มาจดรายการ คราวนี้เราจดเองด้วย เมื่อเดินชี้จุดครบทุกตำแหน่งแล้ว เอาเอกสารเรากับเจ้าหน้าที่มาเทียบกันสดๆ ตรงนั้นเลยก็พบว่ารายการไม่ครบค่ะ เจ้าหน้าที่จึงขอเอกสารเราไปพิมพ์ตามเราละกัน เราเฉลียวใจเลยถ่ายภาพไว้ ปรากฏว่าเอกสารที่เค้าเอาลายมือเราไปพิมพ์กลับมาให้เราเซ็นก็มีรายการหายไปร่วม 10 รายการค่ะ หึหึหึ บอกแล้วค่ะ มันต้องมีไหวพริบ เค้าไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์เรานะคะ เราต้องทำเอง ตรวจเอกสารเองด้วยนะคะ อย่าเซ็นอะไรง่ายๆน้าาา ^_^
4. รายการที่เค้าพิมพ์มาให้ ให้มีลายเซ็นทั้งสองฝ่าย เรารักษาเยี่ยงชีพ
ผ่านการแจ้งซ่อมไปแล้ว ถึงวันนัดซ่อมค่ะ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่างจะมาแบบแรนด้อม ไม่นัด ตื่นมาอาจจะพบช่างมาออเต็มสนามหญ้าในบ้าน หรือกลับมาบ้านเร็วหน่อยก็มาเซอร์ไพร้ว่าช่างมาเต็มสนามบ้านเลย (น่ากัวมาก) หรือไม่ก็บอกล่วงหน้าแบบบอกตอนเช้าว่าบ่ายช่างจะมา อันนี้ก็กรีดร้องกันไปค่ะ หรือไม่ก็ช่างมาแล้วแต่เอาอุปกรณ์มาไม่ครบ เข้าใจการซ่อมผิด มาซ่อมแบบผักชีโรยหน้าปัญหาไม่หายขาด มาซ่อมอย่างทำอีกอย่างพัง สารพัดจะเจอ
ไม่เป็นไรค่ะ สติจะนำพาให้เรารอดพ้นทุกอย่างได้
สำหรับกรณีเรา งานซ่อมจะทำให้เราไม่สามารถอยู่ในบ้านได้นะคะ ดังนั้นรายละเอียดข้อควรระวังจะเยอะหน่อย สำหรับใครที่โชคดีงานซ่อมไม่หนัก เลือกทำเฉพาะบางข้อนะคะ
1. ให้ช่างกำหนดวันซ่อมมาให้ชัดเจน
เราซื้อบ้านแบรนด์ ไม่ได้ซื้อบ้านตลาด จะมาไก่กาอาราเร่ไม่สมภาพลักษณ์ไม่ได้ แถมเราก็ต้องทำงานหาเงินเหมือนกัน ไม่ได้อยู่ว่างๆ พร้อมเปิดบ้านตลอดเวลาเนอะ (ซึ่งช่างไม่เข้าใจหรอกค่ะ) บอกหัวหน้าช่าง (ให้ทำงานให้สมกับแบรนด์อิมเมจที่การตลาดสร้างมาด้วย //อันนี้อย่าไปพูดนะคะ ให้คิดไว้ในใจ 5555)
เอาใหม่.... บอกหัวหน้าช่างว่าอะไรจะซ่อมวันไหน ทำกำหนดมา และกรุณารวบมาในวันเดียวกันเพราะเราไม่ได้สะดวกหยุดงานมาเฝ้าช่างบ่อยๆ ขมวดช่วงเวลามาเลย อย่ามาซ่อมกระปิดกระปอย (อันนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกแต่ละคนนะคะ สำหรับเราคือสะดวกให้ซ่อมรวดเดียวเลย เพราะเราจะอาศัยอยู่ในบ้านไม่ได้ และไม่อยากออกไปอยู่ข้างนอกนานเป็นเดือนๆ) เวลามีคนโทรมาบอกว่าช่างจะ "เข้ามา" ให้ถามจี้เลยค่ะว่ามาทำอะไร เพราะส่วนมากที่เจอคือมา "ดู" แล้วก็จากไป หลอกให้เราหยุดงานรอเก้อหลายต่อหลายทีก่อนจะมาซ่อมจริง แถมบางครั้งเอาของมาผิดสเป็คอีก ต้องบอกที่ทำงานไปว่าลากิจ ลาพักร้อน ลาป่วย นี่ถ้าลาคลอดและลาบวชได้ก็คงเอาโควต้ามาใช้แล้ว (วอนหัวหน้าโปรดเห็นใจอย่าไล่เราออก)
2.
ถามถึงสาเหตุของปัญหาและวิธีการซ่อม ให้เค้าอธิบายมาค่ะว่ามันเป็นเพราะอะไร และจะซ่อมยังไง เราเองก็ไม่ได้เป็นวิศวะหรือมีความรู้ แต่เรามีสติ ถ้าฟังแล้วมันไม่ make sense ให้ถามค่ะ เค้ามีหน้าที่ที่จะต้องตอบให้ได้ ถ้าเค้าตอบไม่ได้ให้ปรึกษาเพื่อนบ้าน ปัญหาหลายๆ อย่างเป็นปัญหา common เกิดขึ้นกับหลายๆ บ้านมาก่อนที่จะมาเกิดกับบ้านเรา เพื่อนบ้านจะตอบเราค่ะว่าวิธีไหนเวิร์ค จะช่วยเซฟเวลาเราได้มาก ^^ ระวังการซ่อมแบบโรยผักชี ถ้าเป็นไปได้ควรมาดูการซ่อมด้วยค่ะว่าทำตามขั้นตอนอย่างที่พูดหรือไม่
3.
ระหว่างที่เราอยู่บ้านไม่ได้ ให้ไปอาศัยที่ไหน? ชดเชยเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างไร? ระยะเวลาเท่าไหร่? ถ้าเลยระยะเวลาที่ตกลงแล้วจะเป็นอย่างไร? เบิกเงินค่าชดเชยอย่างไรตอนไหน? จ่ายเช็ค/โอน/แคชเชียร์เช็คถึงใคร? อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว บริษัทไม่ได้มีมาตรฐานการชดเชยชัดเจนค่ะ (ส่วนตัวคิดและเข้าใจว่าเค้ามีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์บริษัทเค้าเนอะ ส่วนเราก็มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์เราเอง อะไรที่คิดว่าสมเหตุผลเรา ก็บอกเค้าไปค่ะ และถ้าเค้าอธิบายเหตุผลเค้าไม่ได้นอกจากการทุบโต้ะมาเฉยๆ ก็ต้องตามร้องเรียนกันไปค่ะ) ดังนั้น ใครเดือดร้อนอะไรเท่าไหร่ก็เรียกร้องค่าเสียหายไปค่ะ เรียกไปตามจริงของเรานี่หล่ะ และอย่ายอมแพ้ถ้าจะได้รับการปฏิเสธว่าไม่อนุมัติ เป็นกำลังใจให้นะคะ ให้คิดเอาไว้ว่าแต่ละบ้านมีขนาดไม่เหมือนกัน ซื้อในราคาไม่เหมือนกัน ต่อราคามากน้อยไม่เหมือนกัน ทำกำไรให้เค้าไม่เท่ากัน และมีความจำเป็นในการใช้บ้านอยู่อาศัยไม่เท่ากัน ดังนั้นจะคาดหวังผลที่เท่ากันไม่ได้ เพื่อนบ้านเราแฮปปี้ที่บริษัทชดเชยให้ระดับนี้ แต่เค้าจะเอาเกณฑ์นี้มาชดเชยให้เราไม่ได้ (เจ้าหน้าที่คนนึงเคยพูดกับเราว่าบ้านนั้นเค้าก็ชดเชยเท่านี้) ซึ่งในวันสุดท้ายของการเจรจากรณีบ้านเรา เจ้าหน้าที่ระดับ AVP บริษัทสุดท้ายพูดกับเราเองค่ะ ว่าไม่อยากให้มาแจกแจงว่าเราได้ชดเชยอะไรเท่าไหร่เพราะแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน ดังนั้นเค้ารู้ค่ะว่าเค้าไม่ควรกล่าวอ้างว่า “ทีบ้านโน้นยังยอมรับการชดเชยแค่นี้เลย แล้วคุณจะเรียกร้องมากกว่าได้อย่างไร” ก็แต่ละบ้านไม่เหมือนกันนิเนอะคะ *ยิ้มหวาน*
4.
ของที่เราจำเป็นต้องเอาติดตัวไปด้วยในการย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ใครจะมาช่วยขน?
5.
ระหว่างที่เราอยู่อาศัยไม่ได้ ข้าวของในบ้านของเรา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหลาย จะทำอย่างไร? จะมีการป้องกันความเสียหาย ความสกปรกจากการซ่อมงานอย่างไร? โชคดีโครงการเรามีบริษัทลูกเป็นบริษัทขนย้ายบ้าน เค้าบอกว่าจะมาอำนวยความสะดวกในการแพ็คของเราและเอาไปเก็บที่โกดัง โดยเราเป็นผู้ถือกุญแจ และจะทำประกันทรัพย์สินเสียหายให้ด้วย ก็หวังว่าจะราบรื่นปลอดภัยค่ะ ยกเว้นน้องกระเป๋าหรืออะไรที่มีค่ามากๆๆๆ อันนี้คิดว่าขนเองดีกว่า (เห้อออ เหนื่อยไปอีก)
6.
ระหว่างที่เราไม่อยู่บ้านและช่างเข้าซ่อม แล้วมีความเสียหายเกิดขึ้น ใครรับผิดชอบ? เคลียร์กันให้ชัดก่อนซ่อมเป็นลายลักษณ์อักษรได้ยิ่งดีค่ะ โครงการบอกว่าจะเอากล้องวงจรปิดมาตั้งในบ้านค่ะ เอาไว้พิสูจน์ว่าใครทำจะได้มีภาพบันทึกว่าเป็นคนของใคร (สาธุ อย่าให้มีเรื่องเลย ไม่งั้นต้องดูกล้องตาแฉะแน่ๆ)
7.
ระหว่างที่เราไม่อยู่บ้าน ค่าน้ำค่าไฟใครรับผิดชอบ? สนามหญ้าต้นไม้ใครรับผิดชอบ? มีอะไรอีกที่เราทิ้งไปไม่ดูแลและจะได้รับความเสียหาย ให้ตกลงกันเลยค่ะว่าใครจะรับผิดชอบ ถ้าเราต้องไปอยู่ข้างนอกเเป็นเดือนๆๆๆๆ นี่ทำไง ค่าส่วนกลางเดือนนึงก็หลายบาทนะคะ อย่าลืม ^^
8.
กุญแจที่ต้องให้ช่างไว้เข้าออก บอกโครงการว่าเสร็จงานแล้วให้เปลี่ยนค่ะ ให้ประตูเดียว เปลี่ยนประตูเดียว แกะล็อคใหม่ต่อหน้าเลยนะแล้วส่งมอบกุญแจใหม่ให้เราเลย ปลอดภัยไว้ก่อนค่ะ
9.
ซ่อมเสร็จแล้วทำความสะอาดอย่างไร? โดยใคร? แม่บ้านโครงการ หรือ Professional Cleaning ยิ่งถ้ามีการทำปาร์เก้ใหม่ รับรองฝุ่นเยอะมากกกกกค่ะ จะเข้าไปตามลายเล็กๆ ของวอลเปเปอร์ด้วย เรียกว่าต้องทำความสะอาดพื้น กำแพง ฝ้าเพดาน ทุกมุมค่ะ
10.
คุณจะต้องเจอกับการไซโคของช่างว่า ซ่อมอันนี้จะกระทบอันนั้น อาจจะทำให้ลังเลไม่อยากให้ซ่อม อย่าไปกลัวนะคะ ถ้าเค้าทำกระทบอันอื่น ก็ตามซ่อมอันอื่นไปด้วยค่ะ แต่เราอาจจะเสียเวลาเพิ่มอีกหน่อย ลองปรึกษากันในครอบครัวดูว่าจะให้ซ่อมหรือไม่ ถ้าไม่ก็ต้องตัดใจไปเลยยาวๆ นะ เพราะหมดโอกาสกลับมาให้เค้าซ่อมแล้ว
ประสบการณ์ฮาส่วนตัว คือประตูใหญ่บ้านเราตรงกลางที่ประตูมาสบกันมันมีรูด้านบนค่ะ เหมือนไม้มันขาดไป 2-3 ซ.ม. ได้ เห็นมาตั้งแต่ซื้อบ้านหล่ะแต่ก็ไม่มาซ่อมซะที ตามแล้วตามอีกจนเบื่อพ่ายแพ้ไปเอง 5555 พอเจ้าหน้าที่อีกคนมารับงานต่อ เราก็ชี้นะว่าอันนี้ยังไม่ได้ซ่อมเลยทั้งๆ ที่ควรจะเสร็จตั้งแต่ก่อนโอนบ้านแล้วเพราะมันอยู่ใน defect ของการตรวจรับบ้าน นางก็พยามชักแม่น้ำทักสิบสายว่าบ้านไหนๆ ประตูก็เป็นรูแบบนี้ (อย่ามาหลอกชั้น ชั้นเข้าออกมาหลายบ้านในโครงการนี้) ซ่อมแล้วจะกระทบนั่นนี่โน่น ซ่อมแล้วเดี๋ยวก็เอาไม่อยู่เป็นเหมือนเดิม บลาๆๆ ยาววววววววววววววววววววว เลยบอกนางสั้นๆ ว่า “ถ้าซ่อมไม่ได้ก็เปลี่ยนทั้งประตูค่ะ”
นางบอกว่า “อ๋ออ ซ่อมได้ค่ะ ด้ายยย ได้เลย” แต่สายไปซะแล้วค่ะ เราเชื่อนางไปแล้วว่ามันซ่อมไม่ได้ 5555+
11.
บอกเพื่อนบ้านสักหน่อยค่ะว่าช่วงนี้จะมีเสียงดัง อันนี้ไม่ได้จำเป็น แต่เป็นมารยาท 5555
สัญญาณของพังที่อันตราย ต้องซ่อมจริงจัง
1. รอยร้าวแนวนอน อันนี้ปัญหาเสาหลักแน่นอน ให้ระวังอย่าให้ช่างมาแก้แค่โป๊วสีนะคะ
2. ความชื้น รา ท่อน้ำแตก ปาร์เก้เปลี่ยนสีเข้มขึ้นหรือมีจุดๆ ขึ้นนี่คือชื้นจากน้ำที่ไหนสักแห่ง มักเป็นกับปาร์เก้ตรงใกล้ๆ หน้าต่างค่ะ ถ้าเค้าซ่อมแล้วให้เค้าเอาที่วัดความชื้นมาวัดให้ดูว่าซ่อมหาย ไม่ใช่แค่กลิ้งสีฝ้าใหม่เนียนๆ แล้วเดี๋ยวก็โป่งอีกค่ะ
3. ท่ออะไรใต้บ้านที่เรามองไม่เห็นมีพังไหม เช็คดูมิเตอร์น้ำตอนที่เราไม่ได้ใช้น้ำว่าวิ่งไหม
4. ถ้าต้องเปลี่ยนกระเบื้องบางแผ่น ให้เทียบสีว่ามันเท่ากับของเดิมไหม ถ้าไม่เท่าก็เปลี่ยนยกแผงค่ะ
5. วอลเปเปอร์ก็เช่นกัน ยกแผงไปยาวๆ (ระวังเค้ามาแอบตัดวอล์ด้านหลังกรอบรูปเราไปปะส่วนอื่นนะคะ)
6. หลอดไฟที่ขาดควรรีบเปลี่ยนอย่านิ่งนอนใจ เพราะมันอาจจะเป็นมากกว่าหลอดขาด คือเป็นปัญหาสายไฟใต้ฝ้า การใหญ่ค่ะ
7. ถ้าต้องขัดปาร์เก้ ขัดทั้งผืนเลยไหม ไม่งั้นสีจะด่างไม่เท่ากัน แต่ถ้าขัดมากก็กินเนื้อไม้อีก
ถ้าเรื่องซ่อมไม่ไปถึงไหน ตามแล้วตามอีกจนกลายร่างเป็นแม่ไก่อารมณ์เสีย แนะนำให้ escalate ปัญหาค่ะ
จะบอกช่างให้บอกหัวหน้า ของหัวหน้า ของหัวหน้า หรือจะ escalate อย่างไรก็แล้วแต่จินตนาการส่วนบุคคลเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะคะ แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน ^___^
แชร์ประสบการณ์ สิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อครบเวลาเก็บประกันบ้านเดี่ยวโครงการ
[แบ่งปันประสบการณ์] เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ได้บ้านโดนใจ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[แบ่งปันประสบการณ์] เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ได้บ้านโดนใจ ตอน : การต่อราคา [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนนี้มาเผชิญกิจกรรมทดสอบไหวพริบใหม่ คือ “การเก็บประกันบ้าน” ค่ะ
หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วม 2 ปี ขอแชร์ประสบการณ์เอาไว้ เผื่อใครที่กำลังจะต้องเก็บประกันบ้าน จะได้วางแผนให้รอบคอบและป้องกันการเสียหายให้มากที่สุดนะคะ ^^
ก่อนจะเริ่ม ขอย้ำอีกที บ้านไม่เสร็จอย่าโอน เพราะก่อนซื้อ กับ หลังซื้อ พาวเวอร์มันต่างกันค่ะ
แต่ถ้าเราตรวจดีแล้ว แต่อยู่ๆ ปันมันดั๊นนนนน มีปัญหางอกออกมา คราวนี้ก็ต้องพึ่งบริการหลังการขาย (และบุญแห่งกรรมดีที่เราสะสมมา) แล้วค่ะ
ซึ่งจากประสบการณ์ ถ้าเป็นเคสเร่งด่วน เช่น น้ำรั่วทะลักเข้ามาในบ้าน ไม่ต้องรอครบ 1 ปีตามสัญญา เค้าต้องมาซ่อมให้เราทันทีค่ะ
ตรงนี้มีระบุไว้ในสัญญาซื้อขาย เนื้อความประมาณว่าเรามีหน้าที่ต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเป็นทางการ (สำหรับเราคือโทรผ่าน call center) และโครงการมีหน้าที่เข้ามาซ่อมภายในระยะเวลา XX ซึ่งหากไม่มา เราสามารถจ้างผู้รับเหมาข้างนอกมาดำเนินการและไปเบิกค่าใช้จ่ายกับเค้าได้
ลองหาดูนะคะ เนื้อความนี้มีอยู่จริงในสัญญาซื้อขาย และจะช่วยเซฟความปวดหัวกับการที่ต้อง “จิก” ตามช่างมาได้เยอะเลย
ส่วนเงินเบิกได้จริงไหม....หึหึ ก็ยากตามระเบียบค่ะ หลักการเค้าจะเยอะๆ หน่อย ><
ตัดว่าใครเป็นผู้ซ่อมออกไป....
สิ่งที่เราต้องทำเมื่อบ้านครบประกันจากโครงการ คือ
1. เมื่อใกล้ครบหมดประกัน ให้เราโทรแจ้งให้โครงการมารับทราบรายการ ซึ่งเราควรนัดหมายอย่างเป็นทางการผ่านระบบ Call Center ให้มีหลักฐานว่าทางเจ้าของบ้านมีการแจ้งให้โครงการมารับทราบรายการนะคะ เพราะมีกรณีที่เจ้าของบ้านกับช่างดันสนิทกัน โทรหากันเองแล้วเค้าไม่มาตามนัดจนล่วงเลยหมดเวลาประกันไปแล้ว หรือช่างย้ายไปแล้ว ถึงเวลาไม่มีหลักฐานก็จะเท้าความไม่ออกค่ะ
2. ลิสรายการออกมาให้ครบ อันนี้อยู่ที่ความทุ่มเทส่วนบุคคลค่ะ แนะนำให้เสียเวลากับตรงนี้หน่อย เดินดูบ้านสักครึ่งวันก็เสร็จแล้วค่ะ ดีกว่ามาปวดหัวทีหลัง ต้องไปตามแจ้งกระปิดกระปอยอีก และอาจจะได้รับการปฏิเสธก็ได้ว่าหมดประกันแล้ว (ของแพงก็ต้องใส่ใจดูแลดีๆ นิดนึง อิอิ)
3. แม้พนักงานโครงการจะทำหน้าที่จด ขอให้คุณเจ้าของบ้านอย่าไว้ใจ เราต้องจดเองด้วยค่ะ ประสบการณ์ส่วนตัวคือ เค้าอาสาจด และจดไม่ครบ แถมบางรายการไม่ได้ซ่อมก็บอกว่าซ่อมแล้ว และลาออกไปแล้วถึงมาความแตก/ เราไม่ยอมความ โครงการส่งเจ้าหน้าที่คนใหม่มาจดรายการ คราวนี้เราจดเองด้วย เมื่อเดินชี้จุดครบทุกตำแหน่งแล้ว เอาเอกสารเรากับเจ้าหน้าที่มาเทียบกันสดๆ ตรงนั้นเลยก็พบว่ารายการไม่ครบค่ะ เจ้าหน้าที่จึงขอเอกสารเราไปพิมพ์ตามเราละกัน เราเฉลียวใจเลยถ่ายภาพไว้ ปรากฏว่าเอกสารที่เค้าเอาลายมือเราไปพิมพ์กลับมาให้เราเซ็นก็มีรายการหายไปร่วม 10 รายการค่ะ หึหึหึ บอกแล้วค่ะ มันต้องมีไหวพริบ เค้าไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์เรานะคะ เราต้องทำเอง ตรวจเอกสารเองด้วยนะคะ อย่าเซ็นอะไรง่ายๆน้าาา ^_^
4. รายการที่เค้าพิมพ์มาให้ ให้มีลายเซ็นทั้งสองฝ่าย เรารักษาเยี่ยงชีพ
ผ่านการแจ้งซ่อมไปแล้ว ถึงวันนัดซ่อมค่ะ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่างจะมาแบบแรนด้อม ไม่นัด ตื่นมาอาจจะพบช่างมาออเต็มสนามหญ้าในบ้าน หรือกลับมาบ้านเร็วหน่อยก็มาเซอร์ไพร้ว่าช่างมาเต็มสนามบ้านเลย (น่ากัวมาก) หรือไม่ก็บอกล่วงหน้าแบบบอกตอนเช้าว่าบ่ายช่างจะมา อันนี้ก็กรีดร้องกันไปค่ะ หรือไม่ก็ช่างมาแล้วแต่เอาอุปกรณ์มาไม่ครบ เข้าใจการซ่อมผิด มาซ่อมแบบผักชีโรยหน้าปัญหาไม่หายขาด มาซ่อมอย่างทำอีกอย่างพัง สารพัดจะเจอ
ไม่เป็นไรค่ะ สติจะนำพาให้เรารอดพ้นทุกอย่างได้
สำหรับกรณีเรา งานซ่อมจะทำให้เราไม่สามารถอยู่ในบ้านได้นะคะ ดังนั้นรายละเอียดข้อควรระวังจะเยอะหน่อย สำหรับใครที่โชคดีงานซ่อมไม่หนัก เลือกทำเฉพาะบางข้อนะคะ
1. ให้ช่างกำหนดวันซ่อมมาให้ชัดเจน
เราซื้อบ้านแบรนด์ ไม่ได้ซื้อบ้านตลาด จะมาไก่กาอาราเร่ไม่สมภาพลักษณ์ไม่ได้ แถมเราก็ต้องทำงานหาเงินเหมือนกัน ไม่ได้อยู่ว่างๆ พร้อมเปิดบ้านตลอดเวลาเนอะ (ซึ่งช่างไม่เข้าใจหรอกค่ะ) บอกหัวหน้าช่าง (ให้ทำงานให้สมกับแบรนด์อิมเมจที่การตลาดสร้างมาด้วย //อันนี้อย่าไปพูดนะคะ ให้คิดไว้ในใจ 5555)
เอาใหม่.... บอกหัวหน้าช่างว่าอะไรจะซ่อมวันไหน ทำกำหนดมา และกรุณารวบมาในวันเดียวกันเพราะเราไม่ได้สะดวกหยุดงานมาเฝ้าช่างบ่อยๆ ขมวดช่วงเวลามาเลย อย่ามาซ่อมกระปิดกระปอย (อันนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกแต่ละคนนะคะ สำหรับเราคือสะดวกให้ซ่อมรวดเดียวเลย เพราะเราจะอาศัยอยู่ในบ้านไม่ได้ และไม่อยากออกไปอยู่ข้างนอกนานเป็นเดือนๆ) เวลามีคนโทรมาบอกว่าช่างจะ "เข้ามา" ให้ถามจี้เลยค่ะว่ามาทำอะไร เพราะส่วนมากที่เจอคือมา "ดู" แล้วก็จากไป หลอกให้เราหยุดงานรอเก้อหลายต่อหลายทีก่อนจะมาซ่อมจริง แถมบางครั้งเอาของมาผิดสเป็คอีก ต้องบอกที่ทำงานไปว่าลากิจ ลาพักร้อน ลาป่วย นี่ถ้าลาคลอดและลาบวชได้ก็คงเอาโควต้ามาใช้แล้ว (วอนหัวหน้าโปรดเห็นใจอย่าไล่เราออก)
2. ถามถึงสาเหตุของปัญหาและวิธีการซ่อม ให้เค้าอธิบายมาค่ะว่ามันเป็นเพราะอะไร และจะซ่อมยังไง เราเองก็ไม่ได้เป็นวิศวะหรือมีความรู้ แต่เรามีสติ ถ้าฟังแล้วมันไม่ make sense ให้ถามค่ะ เค้ามีหน้าที่ที่จะต้องตอบให้ได้ ถ้าเค้าตอบไม่ได้ให้ปรึกษาเพื่อนบ้าน ปัญหาหลายๆ อย่างเป็นปัญหา common เกิดขึ้นกับหลายๆ บ้านมาก่อนที่จะมาเกิดกับบ้านเรา เพื่อนบ้านจะตอบเราค่ะว่าวิธีไหนเวิร์ค จะช่วยเซฟเวลาเราได้มาก ^^ ระวังการซ่อมแบบโรยผักชี ถ้าเป็นไปได้ควรมาดูการซ่อมด้วยค่ะว่าทำตามขั้นตอนอย่างที่พูดหรือไม่
3. ระหว่างที่เราอยู่บ้านไม่ได้ ให้ไปอาศัยที่ไหน? ชดเชยเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างไร? ระยะเวลาเท่าไหร่? ถ้าเลยระยะเวลาที่ตกลงแล้วจะเป็นอย่างไร? เบิกเงินค่าชดเชยอย่างไรตอนไหน? จ่ายเช็ค/โอน/แคชเชียร์เช็คถึงใคร? อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว บริษัทไม่ได้มีมาตรฐานการชดเชยชัดเจนค่ะ (ส่วนตัวคิดและเข้าใจว่าเค้ามีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์บริษัทเค้าเนอะ ส่วนเราก็มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์เราเอง อะไรที่คิดว่าสมเหตุผลเรา ก็บอกเค้าไปค่ะ และถ้าเค้าอธิบายเหตุผลเค้าไม่ได้นอกจากการทุบโต้ะมาเฉยๆ ก็ต้องตามร้องเรียนกันไปค่ะ) ดังนั้น ใครเดือดร้อนอะไรเท่าไหร่ก็เรียกร้องค่าเสียหายไปค่ะ เรียกไปตามจริงของเรานี่หล่ะ และอย่ายอมแพ้ถ้าจะได้รับการปฏิเสธว่าไม่อนุมัติ เป็นกำลังใจให้นะคะ ให้คิดเอาไว้ว่าแต่ละบ้านมีขนาดไม่เหมือนกัน ซื้อในราคาไม่เหมือนกัน ต่อราคามากน้อยไม่เหมือนกัน ทำกำไรให้เค้าไม่เท่ากัน และมีความจำเป็นในการใช้บ้านอยู่อาศัยไม่เท่ากัน ดังนั้นจะคาดหวังผลที่เท่ากันไม่ได้ เพื่อนบ้านเราแฮปปี้ที่บริษัทชดเชยให้ระดับนี้ แต่เค้าจะเอาเกณฑ์นี้มาชดเชยให้เราไม่ได้ (เจ้าหน้าที่คนนึงเคยพูดกับเราว่าบ้านนั้นเค้าก็ชดเชยเท่านี้) ซึ่งในวันสุดท้ายของการเจรจากรณีบ้านเรา เจ้าหน้าที่ระดับ AVP บริษัทสุดท้ายพูดกับเราเองค่ะ ว่าไม่อยากให้มาแจกแจงว่าเราได้ชดเชยอะไรเท่าไหร่เพราะแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน ดังนั้นเค้ารู้ค่ะว่าเค้าไม่ควรกล่าวอ้างว่า “ทีบ้านโน้นยังยอมรับการชดเชยแค่นี้เลย แล้วคุณจะเรียกร้องมากกว่าได้อย่างไร” ก็แต่ละบ้านไม่เหมือนกันนิเนอะคะ *ยิ้มหวาน*
4. ของที่เราจำเป็นต้องเอาติดตัวไปด้วยในการย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ใครจะมาช่วยขน?
5. ระหว่างที่เราอยู่อาศัยไม่ได้ ข้าวของในบ้านของเรา เฟอร์นิเจอร์ทั้งหลาย จะทำอย่างไร? จะมีการป้องกันความเสียหาย ความสกปรกจากการซ่อมงานอย่างไร? โชคดีโครงการเรามีบริษัทลูกเป็นบริษัทขนย้ายบ้าน เค้าบอกว่าจะมาอำนวยความสะดวกในการแพ็คของเราและเอาไปเก็บที่โกดัง โดยเราเป็นผู้ถือกุญแจ และจะทำประกันทรัพย์สินเสียหายให้ด้วย ก็หวังว่าจะราบรื่นปลอดภัยค่ะ ยกเว้นน้องกระเป๋าหรืออะไรที่มีค่ามากๆๆๆ อันนี้คิดว่าขนเองดีกว่า (เห้อออ เหนื่อยไปอีก)
6. ระหว่างที่เราไม่อยู่บ้านและช่างเข้าซ่อม แล้วมีความเสียหายเกิดขึ้น ใครรับผิดชอบ? เคลียร์กันให้ชัดก่อนซ่อมเป็นลายลักษณ์อักษรได้ยิ่งดีค่ะ โครงการบอกว่าจะเอากล้องวงจรปิดมาตั้งในบ้านค่ะ เอาไว้พิสูจน์ว่าใครทำจะได้มีภาพบันทึกว่าเป็นคนของใคร (สาธุ อย่าให้มีเรื่องเลย ไม่งั้นต้องดูกล้องตาแฉะแน่ๆ)
7. ระหว่างที่เราไม่อยู่บ้าน ค่าน้ำค่าไฟใครรับผิดชอบ? สนามหญ้าต้นไม้ใครรับผิดชอบ? มีอะไรอีกที่เราทิ้งไปไม่ดูแลและจะได้รับความเสียหาย ให้ตกลงกันเลยค่ะว่าใครจะรับผิดชอบ ถ้าเราต้องไปอยู่ข้างนอกเเป็นเดือนๆๆๆๆ นี่ทำไง ค่าส่วนกลางเดือนนึงก็หลายบาทนะคะ อย่าลืม ^^
8. กุญแจที่ต้องให้ช่างไว้เข้าออก บอกโครงการว่าเสร็จงานแล้วให้เปลี่ยนค่ะ ให้ประตูเดียว เปลี่ยนประตูเดียว แกะล็อคใหม่ต่อหน้าเลยนะแล้วส่งมอบกุญแจใหม่ให้เราเลย ปลอดภัยไว้ก่อนค่ะ
9. ซ่อมเสร็จแล้วทำความสะอาดอย่างไร? โดยใคร? แม่บ้านโครงการ หรือ Professional Cleaning ยิ่งถ้ามีการทำปาร์เก้ใหม่ รับรองฝุ่นเยอะมากกกกกค่ะ จะเข้าไปตามลายเล็กๆ ของวอลเปเปอร์ด้วย เรียกว่าต้องทำความสะอาดพื้น กำแพง ฝ้าเพดาน ทุกมุมค่ะ
10. คุณจะต้องเจอกับการไซโคของช่างว่า ซ่อมอันนี้จะกระทบอันนั้น อาจจะทำให้ลังเลไม่อยากให้ซ่อม อย่าไปกลัวนะคะ ถ้าเค้าทำกระทบอันอื่น ก็ตามซ่อมอันอื่นไปด้วยค่ะ แต่เราอาจจะเสียเวลาเพิ่มอีกหน่อย ลองปรึกษากันในครอบครัวดูว่าจะให้ซ่อมหรือไม่ ถ้าไม่ก็ต้องตัดใจไปเลยยาวๆ นะ เพราะหมดโอกาสกลับมาให้เค้าซ่อมแล้ว
ประสบการณ์ฮาส่วนตัว คือประตูใหญ่บ้านเราตรงกลางที่ประตูมาสบกันมันมีรูด้านบนค่ะ เหมือนไม้มันขาดไป 2-3 ซ.ม. ได้ เห็นมาตั้งแต่ซื้อบ้านหล่ะแต่ก็ไม่มาซ่อมซะที ตามแล้วตามอีกจนเบื่อพ่ายแพ้ไปเอง 5555 พอเจ้าหน้าที่อีกคนมารับงานต่อ เราก็ชี้นะว่าอันนี้ยังไม่ได้ซ่อมเลยทั้งๆ ที่ควรจะเสร็จตั้งแต่ก่อนโอนบ้านแล้วเพราะมันอยู่ใน defect ของการตรวจรับบ้าน นางก็พยามชักแม่น้ำทักสิบสายว่าบ้านไหนๆ ประตูก็เป็นรูแบบนี้ (อย่ามาหลอกชั้น ชั้นเข้าออกมาหลายบ้านในโครงการนี้) ซ่อมแล้วจะกระทบนั่นนี่โน่น ซ่อมแล้วเดี๋ยวก็เอาไม่อยู่เป็นเหมือนเดิม บลาๆๆ ยาววววววววววววววววววววว เลยบอกนางสั้นๆ ว่า “ถ้าซ่อมไม่ได้ก็เปลี่ยนทั้งประตูค่ะ”
นางบอกว่า “อ๋ออ ซ่อมได้ค่ะ ด้ายยย ได้เลย” แต่สายไปซะแล้วค่ะ เราเชื่อนางไปแล้วว่ามันซ่อมไม่ได้ 5555+
11. บอกเพื่อนบ้านสักหน่อยค่ะว่าช่วงนี้จะมีเสียงดัง อันนี้ไม่ได้จำเป็น แต่เป็นมารยาท 5555
สัญญาณของพังที่อันตราย ต้องซ่อมจริงจัง
1. รอยร้าวแนวนอน อันนี้ปัญหาเสาหลักแน่นอน ให้ระวังอย่าให้ช่างมาแก้แค่โป๊วสีนะคะ
2. ความชื้น รา ท่อน้ำแตก ปาร์เก้เปลี่ยนสีเข้มขึ้นหรือมีจุดๆ ขึ้นนี่คือชื้นจากน้ำที่ไหนสักแห่ง มักเป็นกับปาร์เก้ตรงใกล้ๆ หน้าต่างค่ะ ถ้าเค้าซ่อมแล้วให้เค้าเอาที่วัดความชื้นมาวัดให้ดูว่าซ่อมหาย ไม่ใช่แค่กลิ้งสีฝ้าใหม่เนียนๆ แล้วเดี๋ยวก็โป่งอีกค่ะ
3. ท่ออะไรใต้บ้านที่เรามองไม่เห็นมีพังไหม เช็คดูมิเตอร์น้ำตอนที่เราไม่ได้ใช้น้ำว่าวิ่งไหม
4. ถ้าต้องเปลี่ยนกระเบื้องบางแผ่น ให้เทียบสีว่ามันเท่ากับของเดิมไหม ถ้าไม่เท่าก็เปลี่ยนยกแผงค่ะ
5. วอลเปเปอร์ก็เช่นกัน ยกแผงไปยาวๆ (ระวังเค้ามาแอบตัดวอล์ด้านหลังกรอบรูปเราไปปะส่วนอื่นนะคะ)
6. หลอดไฟที่ขาดควรรีบเปลี่ยนอย่านิ่งนอนใจ เพราะมันอาจจะเป็นมากกว่าหลอดขาด คือเป็นปัญหาสายไฟใต้ฝ้า การใหญ่ค่ะ
7. ถ้าต้องขัดปาร์เก้ ขัดทั้งผืนเลยไหม ไม่งั้นสีจะด่างไม่เท่ากัน แต่ถ้าขัดมากก็กินเนื้อไม้อีก
ถ้าเรื่องซ่อมไม่ไปถึงไหน ตามแล้วตามอีกจนกลายร่างเป็นแม่ไก่อารมณ์เสีย แนะนำให้ escalate ปัญหาค่ะ
จะบอกช่างให้บอกหัวหน้า ของหัวหน้า ของหัวหน้า หรือจะ escalate อย่างไรก็แล้วแต่จินตนาการส่วนบุคคลเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะคะ แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน ^___^