ไตดำรำพัน

กระทู้สนทนา
วันนี้ขอหากินใกล้ๆ บ้านครับ

สมัยที่ผมกำลังขึ้นหนุ่มรุ่นกระทงนั้น มีเพลงดังอยู่เพลงหนึ่งที่ฮิตระเบิดระเบ้อในบ้านเรา เป็นเสียงร้องของนักร้องชาวลาวคนหนึ่งที่ข้ามโขงมาขายเสียงในเมืองไทย คือ ก.วิเสส ในเพลงดัง คือ ไตดำรำพัน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
มีประวัติของนักร้องผู้นี้จาก บล็อก โอ.เค.เนชั่น โพสต์โดยคุณ countryman - คนบ้านเดียวกัน ขออนุญาตคัดมาเผยแพร่ครับ

ประมาณปี 2514 เพลง “ไทยดำรำพัน” ซึ่งกล่าวถึงการพลัดพรากถิ่นฐานของชาว “ไทดำ” หรือหนึ่งในชนเผ่า “ผู้ไท” หรือ “ภูไทย” ที่ชอบแต่งกายด้วยสีดำบนแผ่นดินลาว เป็นเพลงที่โด่งดังที่สุดในประเทศไทยสมัยนั้น แทบจะทั้งในกรุง ทุกตรอกซอกซอย รวมทั้งต่างจังหวัดเรียกได้ว่า ทั่วประเทศ จนถึงทุกวันนี้ ยังร้องกันอยู่

เพลง “ไทยดำรำพัน” หรือ  “ไตดำลำพัน “  มีเนื้อร้องว่า.... ซิบฮาปี ที่ไตเฮา ฮ่างแดนดิน จงเอ็นดูหมู่ข้าน้อย ที่พลอยพลัดบ้าน เฮาคนไต ย้ายกันไปทุกถิ่นทุกฐาน จงฮักกันเน้อ ไตดำเฮาหนา.......

เจ้าของเพลงนี้คือ ท้าว “ก. วิเสส” หรือ “จ่าตรี ก. วิเศษ“ นักร้องของกองทัพแห่งราชอาณาจักรลาว จากวงดนตรี “ราบอากาศวังเวียง” เขาเป็นนักร้องจากลาวคนแรก ที่โด่งดังแบบระเบิดเถิดเทิง ทั่วฟ้าเมืองไทย

ราวปี 2517 - 2518 ช่วงที่เมืองลาวมีปัญหาภายใน จนบ้านแตกสาแหรกขาด ทั้งคนลาว คนไทย ฟังเพลงนี้แล้วน้ำตาซึม

มีอีกหลายเพลงของ ก. วิเสส ที่ดังมาคู่กัน ไม่ว่าจะเป็น “ซังคนหลายใจ” , “หนาวหมอก” , “ธรรมชาติวังเวียง” โดยเฉพาะเพลง “ก่อนจาก” ที่ร้องว่า....“อ้ายจำจากไปแดนไกลแนวหน้า น้องแอ๋ยฟังอ้ายสั่งลา อย่าหลั่งน้ำตาซมซาน อ้ายเป็นชาย ไว้ลายชายชาติทหาร เลี้ยงลูกไว้หนานงคราญ รอการกลับของอ้ายนี้...."

เนื้อร้อง บอกถึงทหารคนหนึ่ง สั่งเมีย สั่งลูก ก่อนออกไปรบ โดยไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ลาวจะแตก ไม่รู้อนาคต ว่าเขาจะได้กลับมาพบหน้าลูกเมียอีกหรือไม่“  ฟังเพลงนี้ครั้งใด ก็ใจหายทุกคราว

นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายเพลงฮิต อาทิ สาวโพนโฮง ธรรมชาติเมืองสุย และ เชียงขวางแดนงาม

แต่สิ่งที่กล่าวถึง คือเรื่องที่ผ่านไปนานแล้ว เหลือเพียงความทรงจำ ที่เป็นตำนานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ไว้ให้คิดถึง อาลัยหา

ก. วิเสส ซึ่งมีชื่อจริงว่า กันตัง ราดปากดี (อาจจะเขียนว่า กันตัง ราษฎร์ปากดี ก็ได้) (ราษฎร์ภักดี ?) เคยเล่าว่า เขาเกิดที่หมู่บ้านสีไค (ถ้าภาษาไทยคงเป็นหมู่บ้านตะไคร้) เมืองศรีโคตรบอง กำแพงนครเวียงจันท์ ข้างสนามบิน ในเวียงจันทน์ ราชอาณาจักรลาว พ่อแม่เป็นคนที่นั่น สมัยเด็กๆ ขณะยังเป็นนักเรียนเขาชอบร้องเพลง

“ช่วงนั้นทุกวันศุกร์ ที่โรงเรียนจะมีประกวดร้องเพลงเสมอๆ ผมและผู้หญิงอีกคน  ผลัดกัน ได้ที่ 1 กับที่ 2 ช่วงนั้นเพลงไทยเข้าไปดังในลาว ก็มี สมยศ ทัศนพันธ์ , ทูล ทองใจ , สุรพล สมบัติเจริญ , ชัยชนะ บุณยะโชติ , ก้าน แก้วสุพรรณ ฯลฯ เพลงเหล่านี้ผมร้องได้เกือบหมด“

หลังจากที่จบ ป. 4 ท้าวกันตังได้ไปสมัครเป็นทหารอากาศหน่วยพลร่ม ( ราบอากาศ ) สังกัดฝ่ายเป็นกลาง แห่งราชอาณาจักรลาว  เคยผ่านสมรภูมิรบทุ่งไหหินมาแล้ว

สมัยก่อน ที่เวียงจันทน์ มีวงดนตรีตำรวจ “วงคำเติม ธนุบาล” มีนักร้องรุ่นเก่าๆ รุ่นพี่ๆ อย่างเช่น “พรมมะ พิมะสอน” , “ทานตะวัน” เจ้าของเสียงเพลง “สองฝั่งของ”  

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ราวปี 2510 พันเอกแพงเกี้ยว สุวัฒน์ คนหมู่บ้านสีไค ผู้บัญชาการกรมราบอากาศวังเวียงได้ตั้งวงดนตรี “ราบอากาศวังเวียง” และได้ข่าวว่า ก. วิเสส ซึ่งเป็นญาติห่างๆ มีแววในการร้องเพลง ก็จึงไปชวนมาร่วมด้วย ซึ่งเขาก็ผ่านการทดสอบ เป็นนักร้องประจำวง ช่วงนั้นเขาอายุประมาณ 17 ปี

"ตอนแรกรวมตัวกันอยู่ที่บ้านพักของแพงเกี้ยว ที่บ้านสีไค หลังจากนั้นก็ย้ายไปประจำที่เมืองวังเวียง ผมเป็นนักร้องนำของวง โดยมีหมีดำเป็นโฆษก"

ซึ่ง "หมีดำ" ที่ ก.วิเสส พูดถึงคือ ร.อ.สนอง อุ่นวง ซึ่งมีความสามารถในด้านการแต่งเพลง และเป็นผู้แต่งเพลง "ไทดำรำพัน"

“ตอนนั้น นักแต่งเพลงของวง ชื่อ “จอมคำ” wfh นำเอาชีวิตจริงมาแต่งเป็นเพลง เช่นผมไปชอบสาวโพนโฮงก็แต่งเพลง “สาวโพนโฮง” อีกท่านหนึ่งคือ “อาจารย์หมีดำ” หรือ “สนอง อุ่นวงศ์” ผู้แต่ง “ไทยดำรำพัน”

ส่วน พันเอกแพงเกี้ยว สุวัฒน์ คือผู้แต่งเพลง กุหลาบปากซัน เพลงฮิตที่นักร้องไทยเรานำมาขับร้องกันหลายต่อหลายคน ที่ถูกบันทึกเสียงครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2512  โดย ก.วิเสส เช่นกัน

“ในช่วงที่ร้องเพลง แต่ละปีที่เวียงจันทน์ มีการประกวดร้องเพลง หรือที่ลาวเรียกว่า เส็งเพลง  ซึ่งถือเป็นงานที่สำคัญมาก ผมเข้าประกวดครั้งแรกในเพลง “ก่อนจาก”  งานนี้มีการประชันกันหลายคณะ อาทิเช่น “สำพาพุทธ” พวกต่างแขวงเมืองหลวงพระบาง มี “คำเติม ธนุบาล” เข้ามา“ ถ้าปีนั้นคำเติมไม่ประกวด ผมคงชนะ”

ปีถัดมา วันที่ 23 มีนาคม เป็นวันบุญกองทัพ มีประกวดร้องเพลงอีก ก. วิเสส จากราบอากาศวังเวียง ก็เอา “จ่าตรีรำพัน” ไปประกวด แต่ปีนี้ “คำเติม” รู้ว่าสู้ไม่ได้ ก็เอา “พรมมะ พิมะสอน” เข้ามาสู้ ปรากฏว่า “จ่าตรีรำพัน” เป็นที่หนึ่ง  

ตอนนั้นมี อภันตรี ประยุทธเสรณี นางสาวไทยคนที่ 17  พ.ศ. 2510  ซึ่งเข้ารอบ 15 คนสุดท้าย ประกวดนางงามจักรวาล ที่ไมอามี่ ฟลอริดา ให้เกียรติเป็นประธานในงาน

ก. วิเสส เริ่มมีชื่อเสียง จาก “ซังคนหลายใจ” , “จ่าตรีรำพัน“ , “ก่อนจาก“ พอปีที่สาม ก็มี “ธรรมชาติเมืองสุย” ประมาณปี 1971 หรือ 1972 (พ.ศ. 2514 หรือ 2515)

ต่อมามีการประกวดเพลง เกี่ยวกับการศึกษา เขาให้แต่งเป็นเพลงจังหวะรำวง งานนี้มีวงดนตรี 15 คณะส่งเข้าประกวด วงดนตรีราบอากาศวังเวียง ส่งเพลง “ไทยดำรำพัน” ซึ่งร้องโดย ก. วิเสส เข้าประกวด แต่ปรากฏว่าได้ที่ 14 เกือบบ๊วย ขณะที่ในปีก่อนๆ ทางวงราบอากาศวังเวียง ก็เคยคว้าชัยชนะเลิศมาหลายครั้ง

เพลงนี้หมีดำได้แรงบันดาลใจมาจากการไปร่วมงานบุญของชาวไทดำหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเขตนครหลวงเวียงจันทน์  เป็นการผสมระหว่างเพลงพื้นบ้านชาวไทดำ กับทำนองขับทุ้มหลวงพระบาง

แต่หลังจากที่การบันทึกเสียงเพลงไทดำรำพันเสร็จ ก็ได้นำแผ่นเสียงไปเปิดทางสถานีวิทยุ ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากแฟนๆ ในทั่วทุกแขวงของลาว และดังจากลาวข้ามไปประเทศไทย

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อมันกลายเป็นเพลงที่แทบทุกครัว เรือนรู้จัก นักจัดรายการเพลงลูกทุ่งสถานีต่างๆ มีแฟนเพลงขอฟังกันอยู่เสมอ สมัยนั้นสื่อฯ ยังไม่แพร่หลายเหมือนยุคนี้ วงการเพลงยังไม่เป็นธุรกิจเท่าปัจจุบัน หาไม่แล้ว ก. วิเสส จะกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน ภายในไม่ทันข้ามปี

จากชื่อเสียงซึ่งเป็นที่รู้จัก ทำให้ มานพ ลิ้มจรูญ เจ้าของนิตยสารดาราไทย ที่เป็นเพื่อน พ.อ.แพงเกี้ยว ติดต่อให้ ก.วิเสส และวงราบอากาศวังเวียง ยกคณะเข้ามาเดินสายในไทยเป็นเวลา 3 เดือนเศษ ประมาณปี 2513 โดยทางวงได้ไปเปิดการแสดงตามจังหวัดต่างๆ ตามที่มิตรรักแฟนเพลงเรียกร้อง เป็นการตอกย้ำทำให้เพลงทุกเพลงของ ก.วิเสส เป็นที่รู้จักของแฟนๆ เพิ่มมากขึ้น

ค่าจ้างวงประมาณคืนละ 15,000 บาท แต่ก.วิเสส ได้ค่าตัววันละ 1,200 บาท เป็นเงินเท่าไร คงต้องเทียบกับราคาทอง ช่วงนั้นดู โดยราคาทองช่วงนั้น บาทละประมาณ 180- 200 บาท

เขาสนุกกับการเดินสายถึง 3 - 4 เดือน ทางราชการลาวก็เรียกตัวกลับ เพราะเป็นทหารออกเดินสายร้องเพลงในต่างประเทศ น่าจะผิดวัตถุประสงค์ของวงดนตรีแห่งกองทัพ

ก.วิเสส เล่าว่า เมื่อกลับประเทศลาว ทุกคนกีมีเงินติดตัวกลับไป แม้แต่หางเครื่องยังมีเงินพอไปซื้อที่ดิน สร้างเนื้อสร้างตัว

แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก ก.วิเสส ก็ต้องเดินทางมาเมืองไทยอีกครั้ง เพื่อร่วมแสดงหนังเรื่อง "รักเธอเสมอ" ของ ชรินทร์ นันทนาคร เพราะห้วงเวลานั้น ชรินทร์ นันทนาคร ซึ่งห่างเหินจากการร้องเพลง กำลังสนุกอยู่กับการสร้างภาพยนตร์ไทย โดยมีหนังดีๆ ผลิตออกมาจากทีมงานของชรินทร์ เสมอๆ

แฟนหนังทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ยอมรับในฝีมือของของท่านผู้นี้ ทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์ ฝีมือ และการทุ่มทุน ชรินทร์ เป็นคนวิสัยทัศน์กว้าง มองเห็นถึงความต้องการของผู้บริโภค

เมื่อชรินทร์ ฟังเพลง “ไทยดำรำพัน” เขาตัดสินใจ บินไปพบกับ ก.วิเสส ที่เมืองลาว เพื่อชวนมาแสดง “รักเธอเสมอ” ซึ่งภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขา “รักเธอเสมอ” เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพลง “ไทยดำรำพัน”

โดยให้เขาประกบคู่กับ “กิ่งดาว จันทร์สวัสดิ์” เจ้าของเพลง “ปูน้อยหนีบมือ”  โดยมีพระนางคู่ขวัญ สมบัติ เมทะนี และ เพชรา เชาวราษฏร์ เป็นผู้แสดงนำ จากศิลปินนักร้อง ก.วิเสส จึงได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน พระเอกหนังไทยกับเขาด้วยเหมือนกัน

“รักเธอเสมอ” ยกกองไปถ่ายทำที่จังหวัดสระบุรี อันได้ชื่อว่าเป็น ฮอลลีวูดของเมืองไทย มันเป็นหนัง 16 มม. ประกอบเพลง 35 มม. ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในยุคนั้น

"ต่อจากเรื่องรักเธอเสมอ ผมก็เล่นหนังอีกเรื่องสองเรื่อง แล้วหันไปร้องเพลงที่ห้องอาหารขวัญจิต  เจ้าของคือ “คุณสะอาด เผือกจิต” นักธุรกิจที่นอกจากทำร้านอาหารแล้ว ยังทำธุรกิจบ้านจัดสรร “ส.กรุงเทพ” อีกด้วย ทำให้ ก.วิเสส ไม่มีปัญหาเรื่องที่พักอาศัย

ช่วงหน้าแล้ง ก็ออกเดินสาย เหนือจรดใต้ ภาคกลาง ภาคอีสาน ไปกับวงดนตรี “ไพรวัลย์ ลูกเพชร” ทั้งงานบุญ งานวัด ปิดวิก เล่นในโรงภาพยนตร์ ฯลฯ สลับกับการร้องเพลงที่ห้องอาหาร สลับเดินสายร้องเพลงร่วมกับวง กังวาลไพร และวง ไพรวัลย์ ลูกเพชร ผมอยู่ที่นี่จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในลาว"

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2518 พรรคประชา ชนปฏิวัติลาว ยึดอำนาจการปกครองล้มล้างรัฐบาลราชอาณาจักรลาว จึงทำให้ ก.วิเสส ตัดสินใจอยู่ในเมืองไทย  โดยก็ยังร้องเพลงทั้งร้านอาหาร และเดินสาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่