สารสุดท้ายจากพรานชุ่ม (ตอนที่๔)
โดยธีร์ วรรณกร
“เฉยไว้อย่างนั้นเหรอพรานเดช? จะบ้าเรอะ? นี่มันผีหลอกนะไม่ใช่นั่งฟังอธิบายในห้องประชุมจะให้เฉยได้ยังไง ขี้ขึ้นสมองหมดแล้วเนี่ย” ผมโพล่งลั่นมีอาการหวั่นๆอยู่ในที
“เอาเป็นว่านายเชื่อครูเดชท่านเถอะครับ นอนให้หลับเดี๋ยวผมจะอยู่ยามให้เองถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีกรับรองมันจะไม่ถึงตัวนายแน่ครับ” พรานชุ่มก็พูดเสริมมาอีกคน
ผมมีอาการลังเลทำตัวไม่ถูกตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรดี จะให้หลับลงเรอะก็เห็นอยู่หยกๆเมื่อกี้นี้ว่าผีเป็นตัวเป็นตนมาสำแดงฤทธิ์ถึงที่ แล้วจะหลับลงอย่างไรกันเล่า
“เอาเถอะน่า...นาย เชื่อผมเถอะ นายหลับก็สิ้นเรื่องน่า ไม่ต้องกังวลไปหรอกยังไงๆพวกผมก็ไม่ทิ้งนายอยู่แล้ว” พรานเฒ่าก็คะยั้นคะยอมาอีกเหมือนจะเป็นหลักประกันให้ความวางใจได้อีกคน
ผมพยักหน้าหงึกๆ “งั้นก็ได้....ผมจะลองดู แต่ถ้ามีมาอีกล่ะก็อย่าเผ่นแน่บทิ้งกันนะ”
“ได้ครับนายไว้ใจพวกผมได้” พรานชุ่มตอบ
ผมแข็งใจปฏิบัติตามอย่างไม่ขัดข้องอะไรอีก พยายามข่มจิตข่มใจบีบหนังตาให้หลับและไม่คิดกังวลหรือกลัวให้หนักหัวแล้วก็เข้าภวังค์ไปในที่สุด
เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะโสตประสาทดันไปรับได้กับเสียงๆหนึ่ง มันเป็นเสียงที่ไม่ประสงค์จะได้ยินเป็นอย่างยิ่ง เหมือนมันดังมาจากบริเวณใกล้ๆที่พักของเรานี้เอง มันคือเสียงของผู้หญิงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างโหยหวนน่าเวทนาเป็นที่สุด ผมลืมตาขึ้นมองไปยังที่นอนของพรานทั้งสองก็พบว่าบัดนี้พรานเดชนั้นเอนกายแผ่อ้าซ่านอนหลับกรนคร่อก...ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนพรานชุ่มนั้นก็กำลังใส่ดุ้นฟืนเข้าไปในกองไฟเพื่อให้เป็นเชื้อเพลิงไม่ให้มอดดับอยู่ ผมคลำหาไฟฉายจากด้านข้างขึ้นมาเพื่อที่จะสาดส่องหาต้นเสียง และทันทีที่ผมกดสวิตช์เปิดฉายแสงส่องออกไปรอบๆเพื่อหาที่มาของเสียงนั้นเอง รัศมีของแสงไฟฉายก็พลันไปกระทบผ่านเข้ากับสิ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ผมวาดลำไฟฉายผ่านกลับมาส่องอยู่ที่ๆแสงนั้นกระทบเมื่อครู่ พอแสงไฟฉายส่องให้อะไรๆมันชัดเจนขึ้นผมก็ถึงกับต้องตาเบิกโพลงใจเต้นระรัวอยู่ตึกตัก เพราะภาพที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้านั้นก็คือ บนกิ่งสาขาที่ยื่นออกมาของต้นประดู่ใหญ่เตี้ยๆต้นหนึ่ง มีร่างของอะไรชนิดหนึ่งอยู่ตรงนั้น ผมยาวประบ่าปิดหน้า เห็นแต่ปากที่คร่ำครวญโหยหวนร่ำไห้ ผิวขาวซีดไร้เลือดหล่อเลี้ยง ใส่ชุดขาวปกคลุมทั่วร่าง กำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้นั้นพร้อมกับส่งเสียงไห้หวนอย่างน่าเวทนาและน่าขนลุกยิ่งนัก
ระยะห่างจากที่ผมอยู่นั้นไม่เกินสองเมตร “เฮ้ย!!” ผมอุทานลั่นอยู่ในใจ จับกระบอกไฟฉายจ้องค้างอยู่เช่นนั้นเหงื่อเสโทผุดขึ้นมาทั่วทุกรูขุมขนเลยก็ว่าได้ ตัวสั่นงันงกทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
และในจังหวะนั้นเองร่างนั้นก็ค่อยๆโน้มกายในลักษณะงอตัวลงจากกิ่งที่นั่งจับอยู่ พร้อมกันนั้นก็ปล่อยมือออกทิ้งให้ร่างของตนตกลงมากระทบพื้นในอาการที่คว่ำหน้าดังตุ้บ!!! ในตอนนี้
ผมรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้องกวาดไฟฉายไปตามภาพนั้นอีกครั้งก็พบว่า ผีผู้หญิงตนนั้นกำลังตะเกียกตะกายคลานเข้ามาหาทางผมอย่างช้าๆ ปากก็ส่งเสียง ฮึ....ฮื่อ.....ฮึ...ฮื่อ.... อยู่ในลำคออย่างน่ากลัว และในที่สุดมันก็คลานเข้ามาถึงในระยะที่แทบจะเรียกได้ว่าใกล้แค่เอื้อม คราวนี้ชัดเจนเป็นที่สุดเลยครับ เส้นผมที่ปิดบังใบหน้านั้นสยายออกแล้วก็พบว่า ไม่มีอวัยวะใดๆเลยปรากฏอยู่บนเนินโครงหน้านั้นทั้งสิ้น มีเพียงเนื้อหนังอันขาวซีดเปล่าๆกับปากที่แสยะแลเห็นเขี้ยวฟันที่แหลมเรียงรายอ้าออกมาอย่างสยดสองใจเพียงเท่านั้น ผมร้องลั่นด้วยความกลัวเหลือที่จะกล่าว และก่อนที่มือของมันจะเอื้อมมาถึงตัวผมที่กำลังนั่งสั่นอยู่ตรงนี้นั่นเอง เสียงลูกซองกระบอกของใครคนหนึ่งก็แผดเปรี้ยงขึ้นลั่นก้องไปทั่วทั้งราวป่า ร่างของผีที่กำลังคลานเข้ามา
ก็พลันร้องกรี๊ด..!!!วับหายกลายเป็นควันกระจายลับไปในพริบตา พอผมหันกลับไปที่ต้นตอของเสียงปืน ก็พบว่าพรานชุ่มกำลังประทับปืนจ้องนิ่งอยู่ ที่ปากกระบอกปืนก็ยังมีควันลอยกรุ่นออกมาน้อยๆ
พรานเดชก็ทะลึ่งกายพรวดพราดโวยวายขึ้นมาหน้าตาตื่น
“อะไรกัน..!!?? เกิดอะไรขึ้น!!??”
พรานชุ่มลดปืนลงแล้วหันกลับไปสบตากับครูพรานพูดเสียงอ่อนๆเพียงกระซิบว่า
“ผีครับครู มันเกือบจะถึงตัวนายมิ่งอยู่แล้ว โชคดีที่ผมยิงสกัดไว้ได้ทัน”
พรานเฒ่าถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เฮ้อ....ดีแล้วล่ะ นึกว่าเอ็งจะไม่ทำอะไรซะอีก”
“โหย....อะไรกันเนี่ยหลอกซ้ำหลอกซ้อนกันซะขนาดนี้ โอ้ย..ตายๆๆมันจะมีอะไรร้ายแรงไปกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย” ผมพูดพร้อมกับโคลงศีรษะช้าๆอย่างขวัญเสีย
ไม่ทันที่จะขาดคำของผมที่พูดไป พรานชุ่มก็ยกมือขึ้นห้ามเป็นสัญญาณแล้วบอกให้นิ่งเฉยไว้
“เงียบก่อนครับนาย!! ฟังเสียงอะไรนั่นสิ!!”
พอผมพยายามเงี่ยหูฟังให้แน่ชัดก็พบว่า มันเป็นเสียงอะไรชนิดหนึ่งดัง ครืด.....ตุ้บ!! ครืด.....ตุ้บ!! อยู่อย่างนี้เป็นระยะๆ เหมือนกับว่ามีอะไรกำลังลากไถลตัวขึ้นไปบนยอดไม้ที่ใดสักที่แล้วปล่อยตัวหล่นตุ้บลงมาที่พื้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ฉะนั้น และในขณะที่ผมกำลังเผลอตัวอยู่นั้นเอง
ก็พลัน มีเสียงแซกซากแกรกกรากอยู่เหนือยอดต้นยางที่พวกผมกำลังอาศัยกันอยู่นั้น และบางสิ่งก็หล่นตุ้บ!!ลงมาตกอยู่พื้นดินเบื้องหน้าของผมที่กำลังนั่งอยู่อย่างแรง จนผมเองก็ตกใจทะลึ่งพรวดพราดขึ้นหน้าตาตื่นร้อง เฮ้ย!! ตัวสั่นเลิ่กลั่กไปหมด พรานทั้งสองก็ผุดลุกขึ้นหันขวับมาจ้องอยู่ ณ ที่นั้นเช่นกัน แล้วผมก็ต้องร้องว้าก!!ขึ้นอีกครั้งถอยกรูดๆออกจากตรงนั้นอย่างตกใจเป็นที่สุด เพราะภาพที่ผมเห็นนั้นก็คือ เจ้าสิ่งที่ตกลงมาต่อหน้าผมเมื่อกี้นั้นเป็นศีรษะของคนครับ
ลักษณะของมัน เป็นศีรษะของหญิงชราใบหน้าเหี่ยวย่น ไม่มีลูกนัยน์ตามีแต่เลือดสดๆที่แดงฉานทะลักพรั่งพรูออกมาจากเบ้าตานั้นอย่างน่าสยดสยอง ปากก็แสยะแยกเขี้ยวหัวเราะกังวานเยือกเย็นลั่นทำเอาขนลุกขนชันไปหมดทั่วทั่งร่าง ดัง แฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.....พร้อมกับเสียงวี้ด....ที่หลอนประสาทเป็นที่สุด
พรานเดชนั้นก็ไวทายาทสมกับเป็นครูพราน ตวัดปากกระบอกปืนขึ้นเล็งแล้วปล่อยเปรี้ยง!!!ออกมาสะท้านไปทั่วบริเวณ แล้วร่างนั้นก็กลับกลายเป็นโครงกระดูกมนุษย์กระตุกกายพรวดขึ้นวิ่งฝ่าดงหนีหายไปทางด้านขวามือของผมจนลับตาอย่างรวดเร็ว
ผมหอบแฮกๆเหงื่อโทรมกายปากคอสั่นระริกทำอะไรไม่ถูกอยู่เช่นนั้น ใจเต้นสั่นระรัวขวัญกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปเสียแล้ว ขาที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็ทรุดฮวบนั่งลงตรงนั้นแทบจะตายไปซะคาที่ พรานชุ่มรีบเข้ามาประคองให้ผมกลับเข้าไปนั่งเอนหลังพิงโคนต้นยางตามเดิม ปากก็ถามอาการอยู่ไม่ขาด พลางมือก็พัดวีให้อยู่เนิบๆด้วยอาการกังวลใจ
“ไหวรึเปล่าครับนาย?” พรานคู่ใจของผมถามขึ้น
ผมส่ายหน้าอย่างเพลียๆโบกมืออยู่หย็อยๆ
“โอย....ไม่ไหวแล้วพรานชุ่มขืนเป็นแบบนี้อีกผมว่าได้หัวใจวายตายแน่ๆเลยคราวนี้”
“ทนเอาหน่อยนะนายคราวนี้ผมจะมานอนขนาบข้างนายเอง” พรานชุ่มพูดพร้อมกับย้ายข้าวของและใบไม้ที่ปูรองอยู่นั้นมาไว้ข้างๆด้านขวาของผมอย่างรีบเร่ง ส่วนพรานเดชนั้นไม่ปริปากพูดคำใดแต่ก็ทำตามพรานชุ่มโดยลากมานอนทางด้านซ้าย
“เอ้า!!ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นถึงตัวนายอีกคราวนี้ให้ยิงผมทิ้งได้เลย” พรานเฒ่าพูด
“นอนให้หลับสบายเถอะครับนาย ผมจะเป็นคนเฝ้ายามเอง รับรองคราวนี้ผมจะไม่ให้อะไรมาแตะเนื้อต้องตัวของนายได้แน่ เชื่อผม ร้อยเปอร์เซ็นต์นาย!!” พรานชุ่มกล่าวสนับสนุนขึ้นอีก
“แน่ใจเหรอ?” ผมถามมาอีก
“ชัวร์ครับนาย” พรานชุ่มรับคำหนักแน่น
“ขอถามหน่อยนะวันที่เรามาด้วยกันในครั้งนั้นน่ะทำไมเราไม่เจอแบบนี้?”
“นายครับ...นายรู้รึเปล่าว่าแต่ก่อนเนี่ยดอนอีเห็นเขาเรียกกันว่าดอนผีชุมครับนาย”
“หา!!อะไรนะ!!?? ดอนผีชุม!! แล้วไหงเรียกเพี้ยนมาเป็นดอนอีเห็นซะได้ล่ะ? ถ้อยคำกับภาษาก็ต่างความหมายกันลิบลับซะขนาดนี้!!??” ผมโพล่งขึ้นหน้าตาตื่น
“ก็อีเห็นที่ว่านี่มันใช่อีเห็นสี่ขาหัวขโมยประจำป่าซะที่ไหนล่ะครับนาย มันหมายความว่าอ้ายอีคนใดที่เข้ามาในดอนในป่านี้นี่จะต้องเห็นผีกันไปซะหมดทุกรายยังไงล่ะครับ”
ผมเอามือขึ้นตบหน้าผากของตัวเองดังแปะ!! ก่อนที่จะส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยใจ
“โอย....แล้วทำไมคืนนั้นเราถึงไม่เห็นกันล่ะ?”
“ก็วันนั้นไม่ใช่วันพระแต่คืนนี้เป็นคืนวันพระน่ะสิครับนาย พวกผีมันก็เลยออกมาแสดงตนปรากฏกายให้เห็นได้จังๆจะๆแบบนี้”
“แล้วเป็นแบบนี้ผมจะหลับลงอีกเรอะ?”
“ไว้ใจผมกับครูเดชได้ครับนาย คราวนี้มันไม่มาอีกแน่ๆครับ นายนอนซะเถอะ”
ไม่รู้เป็นอย่างไรในตอนนั้นผมกลับพยักหน้ารับคำของพรานชุ่มแล้วเอนกายลงนอนหลับกรน
คร่อก.....ไปเสียดื้อๆ และหลังจากนั้นสติสตังค์ของผมก็หลุดหายไปเข้านิทราไปในบัดนั้นทันที....
(โปรดติดตามตอนที่ห้าเป็นตอนสุดท้ายต่อไป..)
ธีร์ วรรณกร
นวนิยายสยองขวัญ เรื่อง:สารสุดท้ายจากพรานชุ่ม ตอนที่4 ประพันธ์โดย "ธีร์ วรรณกร"
โดยธีร์ วรรณกร
“เฉยไว้อย่างนั้นเหรอพรานเดช? จะบ้าเรอะ? นี่มันผีหลอกนะไม่ใช่นั่งฟังอธิบายในห้องประชุมจะให้เฉยได้ยังไง ขี้ขึ้นสมองหมดแล้วเนี่ย” ผมโพล่งลั่นมีอาการหวั่นๆอยู่ในที
“เอาเป็นว่านายเชื่อครูเดชท่านเถอะครับ นอนให้หลับเดี๋ยวผมจะอยู่ยามให้เองถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีกรับรองมันจะไม่ถึงตัวนายแน่ครับ” พรานชุ่มก็พูดเสริมมาอีกคน
ผมมีอาการลังเลทำตัวไม่ถูกตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรดี จะให้หลับลงเรอะก็เห็นอยู่หยกๆเมื่อกี้นี้ว่าผีเป็นตัวเป็นตนมาสำแดงฤทธิ์ถึงที่ แล้วจะหลับลงอย่างไรกันเล่า
“เอาเถอะน่า...นาย เชื่อผมเถอะ นายหลับก็สิ้นเรื่องน่า ไม่ต้องกังวลไปหรอกยังไงๆพวกผมก็ไม่ทิ้งนายอยู่แล้ว” พรานเฒ่าก็คะยั้นคะยอมาอีกเหมือนจะเป็นหลักประกันให้ความวางใจได้อีกคน
ผมพยักหน้าหงึกๆ “งั้นก็ได้....ผมจะลองดู แต่ถ้ามีมาอีกล่ะก็อย่าเผ่นแน่บทิ้งกันนะ”
“ได้ครับนายไว้ใจพวกผมได้” พรานชุ่มตอบ
ผมแข็งใจปฏิบัติตามอย่างไม่ขัดข้องอะไรอีก พยายามข่มจิตข่มใจบีบหนังตาให้หลับและไม่คิดกังวลหรือกลัวให้หนักหัวแล้วก็เข้าภวังค์ไปในที่สุด
เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะโสตประสาทดันไปรับได้กับเสียงๆหนึ่ง มันเป็นเสียงที่ไม่ประสงค์จะได้ยินเป็นอย่างยิ่ง เหมือนมันดังมาจากบริเวณใกล้ๆที่พักของเรานี้เอง มันคือเสียงของผู้หญิงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างโหยหวนน่าเวทนาเป็นที่สุด ผมลืมตาขึ้นมองไปยังที่นอนของพรานทั้งสองก็พบว่าบัดนี้พรานเดชนั้นเอนกายแผ่อ้าซ่านอนหลับกรนคร่อก...ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนพรานชุ่มนั้นก็กำลังใส่ดุ้นฟืนเข้าไปในกองไฟเพื่อให้เป็นเชื้อเพลิงไม่ให้มอดดับอยู่ ผมคลำหาไฟฉายจากด้านข้างขึ้นมาเพื่อที่จะสาดส่องหาต้นเสียง และทันทีที่ผมกดสวิตช์เปิดฉายแสงส่องออกไปรอบๆเพื่อหาที่มาของเสียงนั้นเอง รัศมีของแสงไฟฉายก็พลันไปกระทบผ่านเข้ากับสิ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ผมวาดลำไฟฉายผ่านกลับมาส่องอยู่ที่ๆแสงนั้นกระทบเมื่อครู่ พอแสงไฟฉายส่องให้อะไรๆมันชัดเจนขึ้นผมก็ถึงกับต้องตาเบิกโพลงใจเต้นระรัวอยู่ตึกตัก เพราะภาพที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้านั้นก็คือ บนกิ่งสาขาที่ยื่นออกมาของต้นประดู่ใหญ่เตี้ยๆต้นหนึ่ง มีร่างของอะไรชนิดหนึ่งอยู่ตรงนั้น ผมยาวประบ่าปิดหน้า เห็นแต่ปากที่คร่ำครวญโหยหวนร่ำไห้ ผิวขาวซีดไร้เลือดหล่อเลี้ยง ใส่ชุดขาวปกคลุมทั่วร่าง กำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้นั้นพร้อมกับส่งเสียงไห้หวนอย่างน่าเวทนาและน่าขนลุกยิ่งนัก
ระยะห่างจากที่ผมอยู่นั้นไม่เกินสองเมตร “เฮ้ย!!” ผมอุทานลั่นอยู่ในใจ จับกระบอกไฟฉายจ้องค้างอยู่เช่นนั้นเหงื่อเสโทผุดขึ้นมาทั่วทุกรูขุมขนเลยก็ว่าได้ ตัวสั่นงันงกทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
และในจังหวะนั้นเองร่างนั้นก็ค่อยๆโน้มกายในลักษณะงอตัวลงจากกิ่งที่นั่งจับอยู่ พร้อมกันนั้นก็ปล่อยมือออกทิ้งให้ร่างของตนตกลงมากระทบพื้นในอาการที่คว่ำหน้าดังตุ้บ!!! ในตอนนี้
ผมรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้องกวาดไฟฉายไปตามภาพนั้นอีกครั้งก็พบว่า ผีผู้หญิงตนนั้นกำลังตะเกียกตะกายคลานเข้ามาหาทางผมอย่างช้าๆ ปากก็ส่งเสียง ฮึ....ฮื่อ.....ฮึ...ฮื่อ.... อยู่ในลำคออย่างน่ากลัว และในที่สุดมันก็คลานเข้ามาถึงในระยะที่แทบจะเรียกได้ว่าใกล้แค่เอื้อม คราวนี้ชัดเจนเป็นที่สุดเลยครับ เส้นผมที่ปิดบังใบหน้านั้นสยายออกแล้วก็พบว่า ไม่มีอวัยวะใดๆเลยปรากฏอยู่บนเนินโครงหน้านั้นทั้งสิ้น มีเพียงเนื้อหนังอันขาวซีดเปล่าๆกับปากที่แสยะแลเห็นเขี้ยวฟันที่แหลมเรียงรายอ้าออกมาอย่างสยดสองใจเพียงเท่านั้น ผมร้องลั่นด้วยความกลัวเหลือที่จะกล่าว และก่อนที่มือของมันจะเอื้อมมาถึงตัวผมที่กำลังนั่งสั่นอยู่ตรงนี้นั่นเอง เสียงลูกซองกระบอกของใครคนหนึ่งก็แผดเปรี้ยงขึ้นลั่นก้องไปทั่วทั้งราวป่า ร่างของผีที่กำลังคลานเข้ามา
ก็พลันร้องกรี๊ด..!!!วับหายกลายเป็นควันกระจายลับไปในพริบตา พอผมหันกลับไปที่ต้นตอของเสียงปืน ก็พบว่าพรานชุ่มกำลังประทับปืนจ้องนิ่งอยู่ ที่ปากกระบอกปืนก็ยังมีควันลอยกรุ่นออกมาน้อยๆ
พรานเดชก็ทะลึ่งกายพรวดพราดโวยวายขึ้นมาหน้าตาตื่น
“อะไรกัน..!!?? เกิดอะไรขึ้น!!??”
พรานชุ่มลดปืนลงแล้วหันกลับไปสบตากับครูพรานพูดเสียงอ่อนๆเพียงกระซิบว่า
“ผีครับครู มันเกือบจะถึงตัวนายมิ่งอยู่แล้ว โชคดีที่ผมยิงสกัดไว้ได้ทัน”
พรานเฒ่าถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เฮ้อ....ดีแล้วล่ะ นึกว่าเอ็งจะไม่ทำอะไรซะอีก”
“โหย....อะไรกันเนี่ยหลอกซ้ำหลอกซ้อนกันซะขนาดนี้ โอ้ย..ตายๆๆมันจะมีอะไรร้ายแรงไปกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย” ผมพูดพร้อมกับโคลงศีรษะช้าๆอย่างขวัญเสีย
ไม่ทันที่จะขาดคำของผมที่พูดไป พรานชุ่มก็ยกมือขึ้นห้ามเป็นสัญญาณแล้วบอกให้นิ่งเฉยไว้
“เงียบก่อนครับนาย!! ฟังเสียงอะไรนั่นสิ!!”
พอผมพยายามเงี่ยหูฟังให้แน่ชัดก็พบว่า มันเป็นเสียงอะไรชนิดหนึ่งดัง ครืด.....ตุ้บ!! ครืด.....ตุ้บ!! อยู่อย่างนี้เป็นระยะๆ เหมือนกับว่ามีอะไรกำลังลากไถลตัวขึ้นไปบนยอดไม้ที่ใดสักที่แล้วปล่อยตัวหล่นตุ้บลงมาที่พื้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ฉะนั้น และในขณะที่ผมกำลังเผลอตัวอยู่นั้นเอง
ก็พลัน มีเสียงแซกซากแกรกกรากอยู่เหนือยอดต้นยางที่พวกผมกำลังอาศัยกันอยู่นั้น และบางสิ่งก็หล่นตุ้บ!!ลงมาตกอยู่พื้นดินเบื้องหน้าของผมที่กำลังนั่งอยู่อย่างแรง จนผมเองก็ตกใจทะลึ่งพรวดพราดขึ้นหน้าตาตื่นร้อง เฮ้ย!! ตัวสั่นเลิ่กลั่กไปหมด พรานทั้งสองก็ผุดลุกขึ้นหันขวับมาจ้องอยู่ ณ ที่นั้นเช่นกัน แล้วผมก็ต้องร้องว้าก!!ขึ้นอีกครั้งถอยกรูดๆออกจากตรงนั้นอย่างตกใจเป็นที่สุด เพราะภาพที่ผมเห็นนั้นก็คือ เจ้าสิ่งที่ตกลงมาต่อหน้าผมเมื่อกี้นั้นเป็นศีรษะของคนครับ
ลักษณะของมัน เป็นศีรษะของหญิงชราใบหน้าเหี่ยวย่น ไม่มีลูกนัยน์ตามีแต่เลือดสดๆที่แดงฉานทะลักพรั่งพรูออกมาจากเบ้าตานั้นอย่างน่าสยดสยอง ปากก็แสยะแยกเขี้ยวหัวเราะกังวานเยือกเย็นลั่นทำเอาขนลุกขนชันไปหมดทั่วทั่งร่าง ดัง แฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.....พร้อมกับเสียงวี้ด....ที่หลอนประสาทเป็นที่สุด
พรานเดชนั้นก็ไวทายาทสมกับเป็นครูพราน ตวัดปากกระบอกปืนขึ้นเล็งแล้วปล่อยเปรี้ยง!!!ออกมาสะท้านไปทั่วบริเวณ แล้วร่างนั้นก็กลับกลายเป็นโครงกระดูกมนุษย์กระตุกกายพรวดขึ้นวิ่งฝ่าดงหนีหายไปทางด้านขวามือของผมจนลับตาอย่างรวดเร็ว
ผมหอบแฮกๆเหงื่อโทรมกายปากคอสั่นระริกทำอะไรไม่ถูกอยู่เช่นนั้น ใจเต้นสั่นระรัวขวัญกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปเสียแล้ว ขาที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็ทรุดฮวบนั่งลงตรงนั้นแทบจะตายไปซะคาที่ พรานชุ่มรีบเข้ามาประคองให้ผมกลับเข้าไปนั่งเอนหลังพิงโคนต้นยางตามเดิม ปากก็ถามอาการอยู่ไม่ขาด พลางมือก็พัดวีให้อยู่เนิบๆด้วยอาการกังวลใจ
“ไหวรึเปล่าครับนาย?” พรานคู่ใจของผมถามขึ้น
ผมส่ายหน้าอย่างเพลียๆโบกมืออยู่หย็อยๆ
“โอย....ไม่ไหวแล้วพรานชุ่มขืนเป็นแบบนี้อีกผมว่าได้หัวใจวายตายแน่ๆเลยคราวนี้”
“ทนเอาหน่อยนะนายคราวนี้ผมจะมานอนขนาบข้างนายเอง” พรานชุ่มพูดพร้อมกับย้ายข้าวของและใบไม้ที่ปูรองอยู่นั้นมาไว้ข้างๆด้านขวาของผมอย่างรีบเร่ง ส่วนพรานเดชนั้นไม่ปริปากพูดคำใดแต่ก็ทำตามพรานชุ่มโดยลากมานอนทางด้านซ้าย
“เอ้า!!ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นถึงตัวนายอีกคราวนี้ให้ยิงผมทิ้งได้เลย” พรานเฒ่าพูด
“นอนให้หลับสบายเถอะครับนาย ผมจะเป็นคนเฝ้ายามเอง รับรองคราวนี้ผมจะไม่ให้อะไรมาแตะเนื้อต้องตัวของนายได้แน่ เชื่อผม ร้อยเปอร์เซ็นต์นาย!!” พรานชุ่มกล่าวสนับสนุนขึ้นอีก
“แน่ใจเหรอ?” ผมถามมาอีก
“ชัวร์ครับนาย” พรานชุ่มรับคำหนักแน่น
“ขอถามหน่อยนะวันที่เรามาด้วยกันในครั้งนั้นน่ะทำไมเราไม่เจอแบบนี้?”
“นายครับ...นายรู้รึเปล่าว่าแต่ก่อนเนี่ยดอนอีเห็นเขาเรียกกันว่าดอนผีชุมครับนาย”
“หา!!อะไรนะ!!?? ดอนผีชุม!! แล้วไหงเรียกเพี้ยนมาเป็นดอนอีเห็นซะได้ล่ะ? ถ้อยคำกับภาษาก็ต่างความหมายกันลิบลับซะขนาดนี้!!??” ผมโพล่งขึ้นหน้าตาตื่น
“ก็อีเห็นที่ว่านี่มันใช่อีเห็นสี่ขาหัวขโมยประจำป่าซะที่ไหนล่ะครับนาย มันหมายความว่าอ้ายอีคนใดที่เข้ามาในดอนในป่านี้นี่จะต้องเห็นผีกันไปซะหมดทุกรายยังไงล่ะครับ”
ผมเอามือขึ้นตบหน้าผากของตัวเองดังแปะ!! ก่อนที่จะส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยใจ
“โอย....แล้วทำไมคืนนั้นเราถึงไม่เห็นกันล่ะ?”
“ก็วันนั้นไม่ใช่วันพระแต่คืนนี้เป็นคืนวันพระน่ะสิครับนาย พวกผีมันก็เลยออกมาแสดงตนปรากฏกายให้เห็นได้จังๆจะๆแบบนี้”
“แล้วเป็นแบบนี้ผมจะหลับลงอีกเรอะ?”
“ไว้ใจผมกับครูเดชได้ครับนาย คราวนี้มันไม่มาอีกแน่ๆครับ นายนอนซะเถอะ”
ไม่รู้เป็นอย่างไรในตอนนั้นผมกลับพยักหน้ารับคำของพรานชุ่มแล้วเอนกายลงนอนหลับกรน
คร่อก.....ไปเสียดื้อๆ และหลังจากนั้นสติสตังค์ของผมก็หลุดหายไปเข้านิทราไปในบัดนั้นทันที....
(โปรดติดตามตอนที่ห้าเป็นตอนสุดท้ายต่อไป..)
ธีร์ วรรณกร