เรื่องสั้น 2 ตอนจบครับ
บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ใช่ผี แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม อย่างน้อยผมก็แน่ใจว่าผมไม่ใช่ผี เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ เพราะถ้าคนเราตายแล้วกลายเป็นภูตผีปีศาจ ผมคงต้องพบเพื่อนภูตผีมากมายก่ายกอง แต่นี่กลับไม่พบหรือสัมผัสถึงผีคน หรือผีหมาผีแมวสักตัว
ผมอยากจะคิดว่าตัวเองน่าจะเป็น “จิต” มากกว่าเป็นผี สภาวะพิเศษมีความรู้สึกแต่ไร้ตัวตน เมื่อไร้ตัวตนก็ไม่มีอวัยวะรับรู้สัมผัสผ่านประสาททั้งหลาย ความรู้สึกจึงเหลือแค่ว่า ‘ความคิด’ ดำรงอยู่เท่านั้น ช่วงแรกที่ ‘รู้สึก’ ผมไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง มองไม่เห็น ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ฟังดูเหมือนจะดี แต่ความจริงแล้วมันแย่กว่าที่คิด แน่ละ...ในเมื่อไม่มีประสาทรับรู้ความรู้สัมผัสต่าง ๆ ที่เหลือจึงมีแต่ความเวิ้งว้างตกอยู่ในความเงียบเหงาอ้างว้างจนน่ากลัว
อย่างไรก็ตามทุกสิ่งต้องมีจุดหมายในตัวของมัน ปุยนุ่นลอยในอากาศจะเช้าจะเร็วต้องมีวันร่วงลงพื้น ความรู้สึกของผมก็เช่นกัน จะลอยไปมาแบบไร้จุดหมายไร้ทิศทางไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมี ‘แรงจูงใจ’ อะไรสักอย่างนำทาง เวลาผ่านไปนาน ผมเริ่มรู้ว่า แรงจูงใจนั้นก็คือการติดตามหา ‘ใครสักคน’ และคน ๆ นั้นจะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก กระทั่งก่อให้เกิดแรงบันดาลใจขักนำ แล้วอะไรกันที่ทำให้คนเกิดแรงบันดาลใจได้มากมายมหาศาล... ถ้าไม่ใช่ความรัก... แน่นอนว่าพลังของมันมีทั้งการสร้างสรรค์และการทำลายล้าง ยังจะมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจได้มากกว่าความรักอีกล่ะครับ
ควมคิดที่ตามมาคือ ผมคิดว่าเธอคนนั้นได้ฆ่าผมตายไปแล้ว ส่วนทำไม อย่างไร ก็ยังนึกไม่ออก ที่แน่ๆ ผมต้องตามหาเธอให้เจอ แก้แค้นหรือ ? ไม่...จิตของผมยังไม่พัฒนาการถึงขั้นจะคิดทำร้ายใครได้ ทุกอย่างควรมีจังหวะ และโอกาส อันเหมาะสมของมันเอง
ประการแรก ผมต้องมีสื่อ หรืออะไรสักอย่างเป็นแนวทาง แล้วคุณคิดว่าอะไรล่ะ...จะเป็นสื่อครอบคลุมสังคมคนเราอย่างกว้างขวางสะดวกและรวดเร็วในยุคนี้ ถ้าคุณจะค้นหาข้อมูลสักอย่าง คุณจะนึกถึงอะไรเป็นอันดับแรก
ใช่แล้ว ...ผมเริ่มนึกออก และกำหนดจิตของผมมุ่งมั่นไปยังสิ่งนั้นทันที โลกของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตยังไงล่ะครับ ยังจะมีอะไรบรรจุข้อมูลมหาศาล สะดวกและรวดเร็วในการค้นหามากกว่าสิ่งนี้ ผมจะใช้มันติดตามหาเธอ ไม่ว่าจะอยู่แสนไกล หรือบริเวณไหนของโลกมนุษย์ก็ตาม ไม่ยากเลยกับการแทรกจิตลงในโลกของอินเตอร์เน็ต เพียงแต่ผมจำลองจิต เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสร้างเลขฐานสองขึ้นมา เพื่อสร้างระบบข้อมูลแทรกลงไปอย่างเนียน ๆ ไม่มีโปรแกรมตรวจจับไวรัสตัวไหนจับได้ พวกนั้นเหมือนของเล่นมากกว่า
ผมรู้ด้วยสภาวะทางจิตสัมผัสพิเศษว่า ‘เธอ’ เล่นอินเตอร์เน็ต เมื่อแทรกจิตเข้าไปในระบบอินเตอร์เน็ตแล้ว ผมเริ่มเดินทางเพ่นพ่านไปตามโลกอินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วสูง ไม่นานนักผมก็รู้ว่าเธอใช้คอมพิวเตอร์เครื่องไหน อาศัยจิตเป็นตัวช่วย บวกกับความสามารถของคอมพิวเตอร์ ผมแยกเธอออกมาจากคนอื่น ๆ ได้ไม่ยากนัก แล้วควรจะรู้เสียทีว่า เธอฆ่าผมอย่างไร
สัญญาณแห่งความมีชีวิตของเธออยู่ใกล้นี่เอง คนเราแต่ละคนมีสัญญาณชีวิตแตกต่างกัน เหมือนสถานีส่งคลื่นวิทยุโทรทํศน์ดังนั้นจึงแน่ใจอย่างปราศจากข้อสงสัย ความพยายามของผมประสบผลสำเร็จ เธออยู่ข้างหน้าผมนี่เอง
แต่ทำไมผมมองไม่เห็นเธอ ? สิ่งที่ผมรับรู้ในตอนนี้คือ ข้อมูลในรูปของเลขฐานสองมากมายมหาศาล วิ่งผ่านไปราวพายุโหมกระหน่ำ บ้างรวมตัวบ้างกระจายตัวเป็นรูปแบบต่าง ๆ นานา ราวกับเป็นอีกจักรวาลหนึ่ง
เพราะว่าไม่มีนัยน์ตาจะจ้องมองเธอนั่นเอง ! เป็นสาเหตุทำให้มองไม่เห็นเธอ ก็แน่ละครับ... เมื่อไม่มีตัวตนแล้วจะสามารถจ้องมองผู้คนได้อย่างไร แต่แล้วคำตอบก็กระจ่างอยู่ตรงหน้า ในเมื่ออาศัยโลกของสายใยของคอมพิวเตอร์ แสดงว่าตอนนี้ผมก็ต้องอยู่ในรูปของโปรแกรมดีๆนี่เอง เพียงแต่เป็นโปรแกรมที่มีความรู้สึก!
แปลกดีไหมครับ..โปรแกรมมีชีวิต และเมื่อเป็นโปรแกรมผมก็สามารถใช้พื้นฐานการคำนวณเหตุผลต่าง ๆ ด้วยความเร็วสูงเช่นกัน
ผมจัดการเขียนคำสั่งใหม่อย่างรวดเร็ว สร้างภาพดวงตาคู่หนึ่งขึ้นมาบนจอมอนิเตอร์ แล้วอาศัยนัยน์ตาคู่นั้นเป็นตัวกลางจ้ องมองออกไปยังใบหน้าของหญิงสาว ผู้กำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์ข้อความอะไรสักอย่าง ซึ่งคร้านจะตรวจสอบ
เป็นเธอจริง ๆ... ผมจดจำเธอได้อย่างแม่นยำ ถึงจะจดจำเรื่องราวอื่น ๆ แทบไม่ได้เลยก็ตาม เธอทำหน้าตาตื่นตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็เห็นภาพนัยน์ตาประหลาด ปรากฏขึ้นมาบนจอแบบไม่มีสาเหตุ และสายตาคงแพรวพราวไปด้วยประกายแห่งความสมหวัง
“นี่มันอะไรกัน....” ผมคิดว่าเธอคงร้องแบบนั้น โดยอาศัยการอ่านริมฝีปากของเธอ ก็แน่ล่ะครับ ผมมีแค่นัยน์ตาเท่านั้น ยังไม่มีหูสำหรับฟังเสียง แต่ก็ไม่เห็นจะยากอะไร
ผมเริ่มต้นเขียนโปรแกรม สร้างรูปใบหูขึ้นมาบนจอคอมพิวเตอร์ในทันที
เอาล่ะ...ตอนนี้ก็พร้อมจะได้ยินเสียงของเธอแล้ว
“ที่รัก... มาดูนี่ ทำไมจอคอมพิวเตอร์มีภาพบ้าๆ แบบนี้”
เธอไม่ได้พูดกับผม แต่เรียกใครบางคนให้เดินตรงมาหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างงุนงงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องสงสัยว่านั่นจะไม่ใช่คนรักของเธอ ทั้งคู่พากันจ้องมองมาอย่างสนใจ
เราควรทักทายกันตามประสาคนรู้จักกันมาก่อน ผมคิดว่าจะสร้างภาพปากขึ้นมาพูดกับเธอ ไม่นานนักผมก็มีปากเป็นของตัวเองอยู่หน้าจอ แต่ทำไมต้องมีแค่ตา จมูก ปากเท่านั้น ทำไมไม่สร้างใบหน้าของผมขึ้นมาบนจอเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอด และเธอคงจะจำผมได้แน่นอน แต่ปัญหาตอนนี้คือตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไรก็จำไม่ค่อยได้เสียแล้ว ตกลงตอนนี้เลยทำได้แค่อ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว
ขณะกำลังคิดอยู่นั่นเอง ผู้ชายคนนั้นก็เอื้อมมือมาจับเมาส์ลากไปมาครู่หนึ่ง หันไปยิ้ม บอกเธออย่างมั่นอกมั่นใจ “มันต้องเป็นไวรัส ไม่เป็นไร ผมเพิ่งลงโปรแกรมแอนตี้ไวรัสตัวใหม่ ระดับสุดยอด ตายซะเถอะแก”
ว่าพลางเขาก็กระแทกนิ้วชี้โครมลงตรงปุ่ม Delete บนแป้นคีย์บอร์ดอย่างอย่างสะใจ
“อย่า......” ผมสังเคราะห์คลื่นเสียงผ่านลำโพงคอมพิวเตอร์สุดกำลัง จนดังลั่นไปทั่วห้อง ทำเอาพวกเขาพากันสะดุ้งอย่างตกใจ แต่สายเกินไปเสียแล้ว โปรแกรมของผมแตกสลายลงในพริบตา อนิจจา ผมมองข้ามโปรแกรมป้องกันไวรัสตัวใหม่เสียจนสนิท เพราะมัวแต่สนใจเธอ
ปาก จมูก สูญหายสภาพการรับรู้ไปอย่างสิ้นเชิง
ผมตายในเชิงเทคนิค ไม่ได้เจ็บปวดเพราะไม่มีความรู้สึก แต่สูศเสียการรับรู้ไปเสียแล้ว
ครั้งนี้เธอไม่ได้ฆ่าผมกับมือ แต่เหมือนยืมมือคนอื่นมาฆ่า
จิตของผมรำพึงอย่างเจ็บปวดรวดร้าวขณะหลุดลอยออกจากระบบคอมพิวเตอร์ แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในห้องนั้น ไม่ยอมไปไหน พลางอดคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่เป็นผีแบบมาตรฐานไปเลย จะได้ปรากฏตัวหลอกทั้งสองให้สาสมใจ
แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น อย่างไรผมก็ยังรักเธอเสมอ ตัดใจหลอกไม่ลง และคงทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอถูกหลอกจนจับไข้หัวโกร๋น มันคงน่าเกลียดพิลึก จู่ ๆ ผู้หญิงหน้าตาดีก็มาหัวโล้นแบบเฉียบพลัน อย่างน้อยผมไม่อยากทำกับเธอแบบนั้น นึกภาพแล้วดูไม่จืด นึกไปนึกมาจิตของผมพัฒนาการไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ความคิดเริ่มซับซ้อนมากขึ้น
ส่วนคนรักของเธอ เจ้าหนุ่มหล่อคนนั้น ผมก็คงไม่อยากหลอกให้จับไข้หัวโกร๋นเช่นกัน เพราะไม่อยากให้เธอมีปมด้อย ว่ามีแฟนเป็นคนหัวเหม่ง ไม่ว่าจะยังไงหมอนี่ก็ช่วยดูแลเธอแทนผมมานาน และเราไม่รู้จักกันเสียด้วยซ้ำ ในแง่เของเหตุผล ผมน่าจะขอบคุณเขามากกว่า และทั้งคู่ก็ดูสมกันดี
ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆ เธอเท่านั้น ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ก็ไม่เข้าใจตัวเอง
และแล้วผมก็เริ่มรู้สึกว่าในห้องยังมีบางสิ่งซึ่งมีชีวิต ทำไมเราโง่ไปใช้สิ่งไร้ชีวิตจิตใจแบบคอมพิวเตอร์มาเป็นตัวกลาง ในเมื่อการใช้สิ่งมีชีวิตน่าจะดีกว่าเป็นไหน ๆ เพราะมีระบบรับรู้ตอบสนอง
ตอนแรกผมว่าจะแทรกจิตลงไปในร่างของหนุ่มคนนั้น แต่ก็คิดแล้วอายตัวเอง มันเหมือนกับเป็นการก่ออาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง แต่ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้ มันผิดกฎธรรมชาติในการแทรกจิตเข้าสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน การเข้าสิงมันเป็นนิสัยของผีไม่ใช่หรือ ผมไม่ใช่ผีจะได้เข้าสิงใครต่อใคร แต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นล่ะก็ไม่แน่ บางทีมันอาจเป็นกฎระเบียบของธรรมชาติซึ่งยากต่อการเข้าใจ
หลังจากตั้งหลักครู่หนึ่ง ความรู้สึกที่แตกกระจายเริ่มรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว ผมกำหนดจิตลงไปยังเจ้าสิ่งนั้นทันที
เอาล่ะ...ทีนี้ก็ไม่ต้องเขียนต้องสังเคราะห์โปรแกรมให้ยุ่งยากอีกต่อไป ผมมองเห็นเธอแล้ว รู้สึกว่า มีมือ มีเท้า มีหู มีตา ขึ้นมาในพริบตา ความมีชีวิตมันดีแบบนี้นี่เอง ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันถึงปรากฎการณ์อันน่าพิศวงเมื่อครู่ ไวรัสบ้าบออะไรพอโดนทำลายก็ร้องเสียงหลงซะลั่นบ้านแบบนั้น
พวกเขาไม่รู้ว่าผมแอบมองอยู่ด้านข้างอย่างไม่ต้องกังวลใจ เพราะผมอยู่ในร่างเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์
ไม่ว่าจะมองด้านหน้าหรือด้านข้าง เธอก็ยังดูสวยจนอยากเข้าใกล้ให้มากกว่านี้ ความจริงผมน่าจะฉุกใจคิดว่าทำไมภาพมันเอียง ๆ ชอบกล และรู้สึกว่ามือกับเท้าของผมทำไมมันเหมือนกันเหลือเกิน ไม่รู้ไม่สนล่ะ... ผมกระโจนไปกอดเธอเอาดื้อ ๆ อย่างหน้าไม่อาย
“กรี๊ด......!” เสียงของเธอกรีดร้องจนสะท้านดวงจิต เงามืดผ่านวูบเข้ามาราวฟ้าถล่มทลาย ผมรู้สึกว่าโลกทั้งโลกหมุนติ้วเป็นกังหันก่อนปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างแบบสุดแรงเกิด จนจิตแตกกระจัดกระจาย
“จิ้งจกบ้าอะไรอยู่ดี ๆ ก็มากระโดดเกาะต้นแขน” เสียงของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ผมไม่ให้เห็นสีหน้าท่าทางของเธอหรอก เพราะกำลังดิ้นกระแด่วอยู่บนพื้นอย่างน่าสงสาร คราวนี้โดนเธอปัดเข้าให้อย่างสุดแรง จนกระเด็นไปอัดข้างผนัง ต่อมาโลกก็กลับมาดำมืดอีกครั้ง
ผมตายอีกแล้ว
น่า...ผมพยายามมองโลกในแง่ดี อย่างน้อยคราวนี้ก็ตายด้วยมือของเธอ เอาเถอะน่า...ค่อยตายอย่างสบายใจหน่อย สงสารแต่เจ้าจิ้งจกตัวนั้นที่ ช้ำในตายไปด้วย ตัวมันเองก็คงงงไม่หายว่า ตายด้วยสาเหตุอันใด เธอเป็นคนเกลียดกลัวสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์พวกจิ้งจกตุ๊กแกอย่างที่สุด ทำไมเพิ่งนึกออกก็ไม่รู้
ก็อยากที่บอกล่ะครับ ผมเพียงแค่อยากอยู่ใกล้ๆ เธอเท่านั้น แม้จะแลกกับการแตกสลายก็ยอม ดังนั้นความรู้สึกของผมจึงไม่ได้ล่องลอยหนีหายไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เธอนั่นเอง พยายามนึกหาหนทางต่อไป หรือว่าจะเข้าไปอยู่ในเสื้อผ้าของเธอคงจะดีเป็นแน่แท้ แทรกจิตเข้าไปชุดชั้นในดีไหม. จะได้อยู่ใกล้ชิดเธอแนบแน่นเนิ่นนาน แต่เสื้อผ้าไม่มีอวัยวะใดรับสัมผัสได้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร แถมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอุบาทว์ยังไงชอบกล แค่คิดก็อายตัวเอง
ปัญหาต้องมีทางออกสักอย่าง ผมยังไม่ยอมละเลิกความคิดจะอยู่ใกล้เธอ ใช่แล้ว ....เสื้อผ้าไม่มีการรับรู้ประสาทสัมผัส แต่เชื้อโรคตามเสื้อผ้า จะต้องมีระบบแห่งการรับรู้บ้างไม่มากก็น้อย สภาวะทางจิตสามารถย่อหรือขยายได้ตามต้องการอยู่แล้ว ผมจะเอาระบบตอบสนองของจุลินทรีย์มาปรับเปลี่ยนเป็นการสัมผัสใกล้ชิดเธอคงจะดีเป็นแน่แท้
.
.
เธอฆ่าผมตาย...มาแล้วหลายครั้ง......1/2
บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ใช่ผี แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม อย่างน้อยผมก็แน่ใจว่าผมไม่ใช่ผี เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ เพราะถ้าคนเราตายแล้วกลายเป็นภูตผีปีศาจ ผมคงต้องพบเพื่อนภูตผีมากมายก่ายกอง แต่นี่กลับไม่พบหรือสัมผัสถึงผีคน หรือผีหมาผีแมวสักตัว
ผมอยากจะคิดว่าตัวเองน่าจะเป็น “จิต” มากกว่าเป็นผี สภาวะพิเศษมีความรู้สึกแต่ไร้ตัวตน เมื่อไร้ตัวตนก็ไม่มีอวัยวะรับรู้สัมผัสผ่านประสาททั้งหลาย ความรู้สึกจึงเหลือแค่ว่า ‘ความคิด’ ดำรงอยู่เท่านั้น ช่วงแรกที่ ‘รู้สึก’ ผมไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง มองไม่เห็น ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ฟังดูเหมือนจะดี แต่ความจริงแล้วมันแย่กว่าที่คิด แน่ละ...ในเมื่อไม่มีประสาทรับรู้ความรู้สัมผัสต่าง ๆ ที่เหลือจึงมีแต่ความเวิ้งว้างตกอยู่ในความเงียบเหงาอ้างว้างจนน่ากลัว
อย่างไรก็ตามทุกสิ่งต้องมีจุดหมายในตัวของมัน ปุยนุ่นลอยในอากาศจะเช้าจะเร็วต้องมีวันร่วงลงพื้น ความรู้สึกของผมก็เช่นกัน จะลอยไปมาแบบไร้จุดหมายไร้ทิศทางไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมี ‘แรงจูงใจ’ อะไรสักอย่างนำทาง เวลาผ่านไปนาน ผมเริ่มรู้ว่า แรงจูงใจนั้นก็คือการติดตามหา ‘ใครสักคน’ และคน ๆ นั้นจะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างมาก กระทั่งก่อให้เกิดแรงบันดาลใจขักนำ แล้วอะไรกันที่ทำให้คนเกิดแรงบันดาลใจได้มากมายมหาศาล... ถ้าไม่ใช่ความรัก... แน่นอนว่าพลังของมันมีทั้งการสร้างสรรค์และการทำลายล้าง ยังจะมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจได้มากกว่าความรักอีกล่ะครับ
ควมคิดที่ตามมาคือ ผมคิดว่าเธอคนนั้นได้ฆ่าผมตายไปแล้ว ส่วนทำไม อย่างไร ก็ยังนึกไม่ออก ที่แน่ๆ ผมต้องตามหาเธอให้เจอ แก้แค้นหรือ ? ไม่...จิตของผมยังไม่พัฒนาการถึงขั้นจะคิดทำร้ายใครได้ ทุกอย่างควรมีจังหวะ และโอกาส อันเหมาะสมของมันเอง
ประการแรก ผมต้องมีสื่อ หรืออะไรสักอย่างเป็นแนวทาง แล้วคุณคิดว่าอะไรล่ะ...จะเป็นสื่อครอบคลุมสังคมคนเราอย่างกว้างขวางสะดวกและรวดเร็วในยุคนี้ ถ้าคุณจะค้นหาข้อมูลสักอย่าง คุณจะนึกถึงอะไรเป็นอันดับแรก
ใช่แล้ว ...ผมเริ่มนึกออก และกำหนดจิตของผมมุ่งมั่นไปยังสิ่งนั้นทันที โลกของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตยังไงล่ะครับ ยังจะมีอะไรบรรจุข้อมูลมหาศาล สะดวกและรวดเร็วในการค้นหามากกว่าสิ่งนี้ ผมจะใช้มันติดตามหาเธอ ไม่ว่าจะอยู่แสนไกล หรือบริเวณไหนของโลกมนุษย์ก็ตาม ไม่ยากเลยกับการแทรกจิตลงในโลกของอินเตอร์เน็ต เพียงแต่ผมจำลองจิต เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสร้างเลขฐานสองขึ้นมา เพื่อสร้างระบบข้อมูลแทรกลงไปอย่างเนียน ๆ ไม่มีโปรแกรมตรวจจับไวรัสตัวไหนจับได้ พวกนั้นเหมือนของเล่นมากกว่า
ผมรู้ด้วยสภาวะทางจิตสัมผัสพิเศษว่า ‘เธอ’ เล่นอินเตอร์เน็ต เมื่อแทรกจิตเข้าไปในระบบอินเตอร์เน็ตแล้ว ผมเริ่มเดินทางเพ่นพ่านไปตามโลกอินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วสูง ไม่นานนักผมก็รู้ว่าเธอใช้คอมพิวเตอร์เครื่องไหน อาศัยจิตเป็นตัวช่วย บวกกับความสามารถของคอมพิวเตอร์ ผมแยกเธอออกมาจากคนอื่น ๆ ได้ไม่ยากนัก แล้วควรจะรู้เสียทีว่า เธอฆ่าผมอย่างไร
สัญญาณแห่งความมีชีวิตของเธออยู่ใกล้นี่เอง คนเราแต่ละคนมีสัญญาณชีวิตแตกต่างกัน เหมือนสถานีส่งคลื่นวิทยุโทรทํศน์ดังนั้นจึงแน่ใจอย่างปราศจากข้อสงสัย ความพยายามของผมประสบผลสำเร็จ เธออยู่ข้างหน้าผมนี่เอง
แต่ทำไมผมมองไม่เห็นเธอ ? สิ่งที่ผมรับรู้ในตอนนี้คือ ข้อมูลในรูปของเลขฐานสองมากมายมหาศาล วิ่งผ่านไปราวพายุโหมกระหน่ำ บ้างรวมตัวบ้างกระจายตัวเป็นรูปแบบต่าง ๆ นานา ราวกับเป็นอีกจักรวาลหนึ่ง
เพราะว่าไม่มีนัยน์ตาจะจ้องมองเธอนั่นเอง ! เป็นสาเหตุทำให้มองไม่เห็นเธอ ก็แน่ละครับ... เมื่อไม่มีตัวตนแล้วจะสามารถจ้องมองผู้คนได้อย่างไร แต่แล้วคำตอบก็กระจ่างอยู่ตรงหน้า ในเมื่ออาศัยโลกของสายใยของคอมพิวเตอร์ แสดงว่าตอนนี้ผมก็ต้องอยู่ในรูปของโปรแกรมดีๆนี่เอง เพียงแต่เป็นโปรแกรมที่มีความรู้สึก!
แปลกดีไหมครับ..โปรแกรมมีชีวิต และเมื่อเป็นโปรแกรมผมก็สามารถใช้พื้นฐานการคำนวณเหตุผลต่าง ๆ ด้วยความเร็วสูงเช่นกัน
ผมจัดการเขียนคำสั่งใหม่อย่างรวดเร็ว สร้างภาพดวงตาคู่หนึ่งขึ้นมาบนจอมอนิเตอร์ แล้วอาศัยนัยน์ตาคู่นั้นเป็นตัวกลางจ้ องมองออกไปยังใบหน้าของหญิงสาว ผู้กำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์ข้อความอะไรสักอย่าง ซึ่งคร้านจะตรวจสอบ
เป็นเธอจริง ๆ... ผมจดจำเธอได้อย่างแม่นยำ ถึงจะจดจำเรื่องราวอื่น ๆ แทบไม่ได้เลยก็ตาม เธอทำหน้าตาตื่นตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็เห็นภาพนัยน์ตาประหลาด ปรากฏขึ้นมาบนจอแบบไม่มีสาเหตุ และสายตาคงแพรวพราวไปด้วยประกายแห่งความสมหวัง
“นี่มันอะไรกัน....” ผมคิดว่าเธอคงร้องแบบนั้น โดยอาศัยการอ่านริมฝีปากของเธอ ก็แน่ล่ะครับ ผมมีแค่นัยน์ตาเท่านั้น ยังไม่มีหูสำหรับฟังเสียง แต่ก็ไม่เห็นจะยากอะไร
ผมเริ่มต้นเขียนโปรแกรม สร้างรูปใบหูขึ้นมาบนจอคอมพิวเตอร์ในทันที
เอาล่ะ...ตอนนี้ก็พร้อมจะได้ยินเสียงของเธอแล้ว
“ที่รัก... มาดูนี่ ทำไมจอคอมพิวเตอร์มีภาพบ้าๆ แบบนี้”
เธอไม่ได้พูดกับผม แต่เรียกใครบางคนให้เดินตรงมาหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างงุนงงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องสงสัยว่านั่นจะไม่ใช่คนรักของเธอ ทั้งคู่พากันจ้องมองมาอย่างสนใจ
เราควรทักทายกันตามประสาคนรู้จักกันมาก่อน ผมคิดว่าจะสร้างภาพปากขึ้นมาพูดกับเธอ ไม่นานนักผมก็มีปากเป็นของตัวเองอยู่หน้าจอ แต่ทำไมต้องมีแค่ตา จมูก ปากเท่านั้น ทำไมไม่สร้างใบหน้าของผมขึ้นมาบนจอเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอด และเธอคงจะจำผมได้แน่นอน แต่ปัญหาตอนนี้คือตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไรก็จำไม่ค่อยได้เสียแล้ว ตกลงตอนนี้เลยทำได้แค่อ้าปากพะงาบ ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว
ขณะกำลังคิดอยู่นั่นเอง ผู้ชายคนนั้นก็เอื้อมมือมาจับเมาส์ลากไปมาครู่หนึ่ง หันไปยิ้ม บอกเธออย่างมั่นอกมั่นใจ “มันต้องเป็นไวรัส ไม่เป็นไร ผมเพิ่งลงโปรแกรมแอนตี้ไวรัสตัวใหม่ ระดับสุดยอด ตายซะเถอะแก”
ว่าพลางเขาก็กระแทกนิ้วชี้โครมลงตรงปุ่ม Delete บนแป้นคีย์บอร์ดอย่างอย่างสะใจ
“อย่า......” ผมสังเคราะห์คลื่นเสียงผ่านลำโพงคอมพิวเตอร์สุดกำลัง จนดังลั่นไปทั่วห้อง ทำเอาพวกเขาพากันสะดุ้งอย่างตกใจ แต่สายเกินไปเสียแล้ว โปรแกรมของผมแตกสลายลงในพริบตา อนิจจา ผมมองข้ามโปรแกรมป้องกันไวรัสตัวใหม่เสียจนสนิท เพราะมัวแต่สนใจเธอ
ปาก จมูก สูญหายสภาพการรับรู้ไปอย่างสิ้นเชิง
ผมตายในเชิงเทคนิค ไม่ได้เจ็บปวดเพราะไม่มีความรู้สึก แต่สูศเสียการรับรู้ไปเสียแล้ว
ครั้งนี้เธอไม่ได้ฆ่าผมกับมือ แต่เหมือนยืมมือคนอื่นมาฆ่า
จิตของผมรำพึงอย่างเจ็บปวดรวดร้าวขณะหลุดลอยออกจากระบบคอมพิวเตอร์ แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในห้องนั้น ไม่ยอมไปไหน พลางอดคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่เป็นผีแบบมาตรฐานไปเลย จะได้ปรากฏตัวหลอกทั้งสองให้สาสมใจ
แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น อย่างไรผมก็ยังรักเธอเสมอ ตัดใจหลอกไม่ลง และคงทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอถูกหลอกจนจับไข้หัวโกร๋น มันคงน่าเกลียดพิลึก จู่ ๆ ผู้หญิงหน้าตาดีก็มาหัวโล้นแบบเฉียบพลัน อย่างน้อยผมไม่อยากทำกับเธอแบบนั้น นึกภาพแล้วดูไม่จืด นึกไปนึกมาจิตของผมพัฒนาการไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ความคิดเริ่มซับซ้อนมากขึ้น
ส่วนคนรักของเธอ เจ้าหนุ่มหล่อคนนั้น ผมก็คงไม่อยากหลอกให้จับไข้หัวโกร๋นเช่นกัน เพราะไม่อยากให้เธอมีปมด้อย ว่ามีแฟนเป็นคนหัวเหม่ง ไม่ว่าจะยังไงหมอนี่ก็ช่วยดูแลเธอแทนผมมานาน และเราไม่รู้จักกันเสียด้วยซ้ำ ในแง่เของเหตุผล ผมน่าจะขอบคุณเขามากกว่า และทั้งคู่ก็ดูสมกันดี
ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆ เธอเท่านั้น ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ก็ไม่เข้าใจตัวเอง
และแล้วผมก็เริ่มรู้สึกว่าในห้องยังมีบางสิ่งซึ่งมีชีวิต ทำไมเราโง่ไปใช้สิ่งไร้ชีวิตจิตใจแบบคอมพิวเตอร์มาเป็นตัวกลาง ในเมื่อการใช้สิ่งมีชีวิตน่าจะดีกว่าเป็นไหน ๆ เพราะมีระบบรับรู้ตอบสนอง
ตอนแรกผมว่าจะแทรกจิตลงไปในร่างของหนุ่มคนนั้น แต่ก็คิดแล้วอายตัวเอง มันเหมือนกับเป็นการก่ออาชญากรรมรูปแบบหนึ่ง แต่ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้ มันผิดกฎธรรมชาติในการแทรกจิตเข้าสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน การเข้าสิงมันเป็นนิสัยของผีไม่ใช่หรือ ผมไม่ใช่ผีจะได้เข้าสิงใครต่อใคร แต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นล่ะก็ไม่แน่ บางทีมันอาจเป็นกฎระเบียบของธรรมชาติซึ่งยากต่อการเข้าใจ
หลังจากตั้งหลักครู่หนึ่ง ความรู้สึกที่แตกกระจายเริ่มรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว ผมกำหนดจิตลงไปยังเจ้าสิ่งนั้นทันที
เอาล่ะ...ทีนี้ก็ไม่ต้องเขียนต้องสังเคราะห์โปรแกรมให้ยุ่งยากอีกต่อไป ผมมองเห็นเธอแล้ว รู้สึกว่า มีมือ มีเท้า มีหู มีตา ขึ้นมาในพริบตา ความมีชีวิตมันดีแบบนี้นี่เอง ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันถึงปรากฎการณ์อันน่าพิศวงเมื่อครู่ ไวรัสบ้าบออะไรพอโดนทำลายก็ร้องเสียงหลงซะลั่นบ้านแบบนั้น
พวกเขาไม่รู้ว่าผมแอบมองอยู่ด้านข้างอย่างไม่ต้องกังวลใจ เพราะผมอยู่ในร่างเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์
ไม่ว่าจะมองด้านหน้าหรือด้านข้าง เธอก็ยังดูสวยจนอยากเข้าใกล้ให้มากกว่านี้ ความจริงผมน่าจะฉุกใจคิดว่าทำไมภาพมันเอียง ๆ ชอบกล และรู้สึกว่ามือกับเท้าของผมทำไมมันเหมือนกันเหลือเกิน ไม่รู้ไม่สนล่ะ... ผมกระโจนไปกอดเธอเอาดื้อ ๆ อย่างหน้าไม่อาย
“กรี๊ด......!” เสียงของเธอกรีดร้องจนสะท้านดวงจิต เงามืดผ่านวูบเข้ามาราวฟ้าถล่มทลาย ผมรู้สึกว่าโลกทั้งโลกหมุนติ้วเป็นกังหันก่อนปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างแบบสุดแรงเกิด จนจิตแตกกระจัดกระจาย
“จิ้งจกบ้าอะไรอยู่ดี ๆ ก็มากระโดดเกาะต้นแขน” เสียงของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ผมไม่ให้เห็นสีหน้าท่าทางของเธอหรอก เพราะกำลังดิ้นกระแด่วอยู่บนพื้นอย่างน่าสงสาร คราวนี้โดนเธอปัดเข้าให้อย่างสุดแรง จนกระเด็นไปอัดข้างผนัง ต่อมาโลกก็กลับมาดำมืดอีกครั้ง
ผมตายอีกแล้ว
น่า...ผมพยายามมองโลกในแง่ดี อย่างน้อยคราวนี้ก็ตายด้วยมือของเธอ เอาเถอะน่า...ค่อยตายอย่างสบายใจหน่อย สงสารแต่เจ้าจิ้งจกตัวนั้นที่ ช้ำในตายไปด้วย ตัวมันเองก็คงงงไม่หายว่า ตายด้วยสาเหตุอันใด เธอเป็นคนเกลียดกลัวสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์พวกจิ้งจกตุ๊กแกอย่างที่สุด ทำไมเพิ่งนึกออกก็ไม่รู้
ก็อยากที่บอกล่ะครับ ผมเพียงแค่อยากอยู่ใกล้ๆ เธอเท่านั้น แม้จะแลกกับการแตกสลายก็ยอม ดังนั้นความรู้สึกของผมจึงไม่ได้ล่องลอยหนีหายไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เธอนั่นเอง พยายามนึกหาหนทางต่อไป หรือว่าจะเข้าไปอยู่ในเสื้อผ้าของเธอคงจะดีเป็นแน่แท้ แทรกจิตเข้าไปชุดชั้นในดีไหม. จะได้อยู่ใกล้ชิดเธอแนบแน่นเนิ่นนาน แต่เสื้อผ้าไม่มีอวัยวะใดรับสัมผัสได้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร แถมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอุบาทว์ยังไงชอบกล แค่คิดก็อายตัวเอง
ปัญหาต้องมีทางออกสักอย่าง ผมยังไม่ยอมละเลิกความคิดจะอยู่ใกล้เธอ ใช่แล้ว ....เสื้อผ้าไม่มีการรับรู้ประสาทสัมผัส แต่เชื้อโรคตามเสื้อผ้า จะต้องมีระบบแห่งการรับรู้บ้างไม่มากก็น้อย สภาวะทางจิตสามารถย่อหรือขยายได้ตามต้องการอยู่แล้ว ผมจะเอาระบบตอบสนองของจุลินทรีย์มาปรับเปลี่ยนเป็นการสัมผัสใกล้ชิดเธอคงจะดีเป็นแน่แท้
.
.