ขอขอบคุณ Aetna Health Insurance (Bupa) & ทีมแพทย์ พยาบาล รพ.สมิติเวชศรีนครินทร์ - ในวันที่ลูกฉันป่วยหนักเพราะ RSV

สวัสดีค่ะ นี่เป็นครั้งแรกของเราในการสมัครสมาชิกเวปไซต์ Pantip (มีความพยายามมาก หลังจากส่องอย่างเดียวมานาน) วันนี้เราอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์การซื้อประกันสุขภาพให้ลูกน้อยกับบริษัท เอ็ทน่า (หรือบูพา เดิม) เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่ารักษาพยาบาลลูกเมื่อเจ็บป่วยต้องนอน รพ.

ครอบครัวเราตัดสินใจซื้อประกันเหมาจ่ายของบริษัท เอ็ทน่า เพราะว่าเมื่อเราได้ไปหาข้อมูลในหลายๆบริษัทประกัน เกี่ยวกับการซื้อประกันสุขภาพเด็ก พบว่าหลายๆบริษัทส่วนใหญ่มักจะจำกัดค่าใช้จ่ายเป็นค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล ค่าผ่าตัด และอื่นๆต่อครั้งเป็นจำนวนเงินที่เราต้องการ บางบริษัทก็ให้ซื้อพ่วงประกันชีวิต ซึ่งราคาเบี้ยประกันก็ขึ้นอยู่กับแผนที่เราซื้อ  ซึ่งในที่สุดเราก็ตัดสินใจซื้อความคุ้มครองแบบเหมาจ่าย โดยแผนที่ซื้อคือ Platinum วงเงินเหมาจ่าย 1 ล้านบาทต่อครั้ง ต่อโรค โดยกำหนดค่าห้องปรกติไว้ที่ไม่เกิน 8,000 บาทต่อคืน หรือไม่เกิน 16,000 บาทสำหรับห้องไอซียู (เราไม่ได้ซื้อประกันชีวิต เพราะเราไม่อยากซื้อประกันชีวิตเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วค่ะ)

ทีแรก เรามานั่งคิดว่าจะซื้อทำไมวงเงินมากขนาดนี้ เพราะค่าเบี้ยประกันก็แพงเหลือเกินหลายหมื่นบาท (บางทีเกือบแสน) เมื่อเทียบกับการซื้อแบบจำกัดค่าห้อง (ราคาไม่กี่หมื่นต้นๆ) และการซื้อแผนความคุ้มครองลักษณะนี้ในปัจจุบันจะมีการกำหนดเงื่อนไขว่า บิดา หรือมารดาต้องซื้อคู่กันด้วย เราคิดกันกับสามีอยู่นานว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี แต่สุดท้ายก็สรุปที่ซื้อ เพราะเราออกจากงานมาเพื่อเลี้ยงลูกเต็มตัวแล้ว เราก็ไม่มีประกันสุขภาพหมู่ที่ได้เป็นสวัสดิการจากบริษัทที่ทำงาน และตัวสามีเองก็คิดว่าอยากให้เราและลูกได้มีประกันสุขภาพที่ดีตลอดไปด้วย สรุปแล้วเราจ่ายค่าประกันสุขภาพของเราและลูกอีกสองคนรวมเป็นเงินราวๆ 130,000 บาท (หลังจากหักส่วนลดต่างๆออกไปแล้ว) มันแพงเหลือเกิน คิดอยู่นานจริงๆกว่าจะยอมตัดใจซื้อได้ ตอนจะจ่ายเงินนี่น้ำตาไหลจริงๆนี่เราต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพปีละ 130,000 เชียวหรือ

จากนั้น 2 เดือนถัดมา หลังจากซื้อประกันไปแล้วและเริ่มความคุ้มครองไปแล้ว 1 เดือน อยู่มาคืนนึง ลูกตัวเล็ก (คนที่สอง) อายุ 3 เดือนไอแห้งๆติดกันหลายครั้ง เราก็นึกแปลกใจ ทำไมถึงไอ รู้สึกเอะใจและคิดว่าเอ้อ พรุ่งนี้จะพาไปรพ. ไปตรวจคอแดงซักหน่อยเผื่อว่าจะอักเสบ หมอจะได้จัดยาแก้อักเสบมาให้กินได้ หรือเผื่อเป็นอะไรมากก็ขอไปหาหมอให้หมอดูไว้ก่อน ปลอดภัยสบายใจกว่า ดีกว่าปล่อยให้หายเอง พออีกวันเมื่อไปถึง รพ.วิภาราม (เป็น รพ.ที่ใกล้บ้านเรา เราคลอดที่นี่ ลูกฉีดวัคซีนที่นี่ เจ็บป่วยอะไรเราก็ใช้บริการที่นี่เสมอมาเพราะมีหมอเก่งๆหลายท่านมากๆ) ตรวจเสร็จคุณหมอแนะนำให้แอดมิดเพราะฟังเสียงปอดแล้วได้ยินเสียงเสมหะที่หลอดลมฝอย ซึ่งลูกเราเป็นเด็กเล็ก ขากเสมหะออกเองไม่เป็น ควรได้รับการดูแลใกล้ชิด เคาะปอด ดูดเสมหะออก รับน้ำเกลือ รับยาทางสายน้ำเกลือ พอนอนรพ.ช่วงคืนแรกๆเรารักษาหลอดลมฝอย ลูกยังไม่มีไข้ ยังกินนมแม่ได้ปรกติ และเนื่องจากลูกมีน้ำมูก ทางคุณหมอเลยขอน้ำมูกไปตรวจโรคยอดฮิตไข้หวัดใหญ่กับ RSV ผลเป็น Negative ตัวเรานี่โล่งใจเลยที่ไม่ใช่โรคร้ายแรงนั้น เราแอดมิดไปประมาณสามสี่คืน แบบว่าอีกวันจะออกจากรพ.แล้ว พอตกกลางคืน อยู่ดีๆลูกไข้ขึ้นสูงลิ่วเลย 38.8 เราก็งง ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ สุดท้ายเราก็ไม่ได้ออก รพ.ในอีกวันที่เราตั้งใจไว้ เพราะคุณหมอมาฟังเสียงปอดแล้วบอกว่าเสมหะลงไปที่ปอดแล้ว ใจเรานี่หล่นไปอยู่ตาตุ่มเลย ทำไปเป็นหนักขึ้นนะ แต่เอาเถอะ ไม่ใช่ RSV ก็โอเคล่ะ

จากนั้นคุณหมอก็ยังคงรักษาลูกเราต่อไป เรามองเห็นความทรมานของลูกเรา โดนเจาะหาเส้นในมือทั้งสอง เท้าทั้งสองเพื่อใส่สายน้ำเกลือหลายรู โดนพ่นยา เคาะปอด ดูดเสมหะ ทรมานแทนลูกมาก น้ำตาไหลร้องไห้ไปหลายรอบเลย ลูกก็เริ่มกินนมแม่ไม่ได้แล้ว รับได้เฉพาะน้ำเกลือ เรารักษากันแบบนี้อยู่ต่ออีกหลายวัน ลูกเราหายใจเร็วมาก 80 ครั้งต่อนาที ลูกหอบและเหนื่อยมาก ลูกไอติดกันทีเป็นชั่วโมง ไอไม่หยุด ไอจนหลับไปเลย สุดท้ายอาการลูกก็เหมือนจะแย่ลง เราเริ่มหาทางติดต่อ รพ.รัฐบาลเพราะอยากเจออาจารย์หมอเก่งๆมารักษาลูก แต่ติดต่อไปแล้วเตียงเต็ม ไม่มีที่ว่างเลย จนเพื่อนๆพี่ๆที่รู้จักกันแนะนำให้ไปสมิติเวช ศรีนครินทร์ (เป็น รพ.ที่ขยับไกลออกจากบ้านไปอีกหน่อยที่เราไม่อยากไปเลย เพราะรถติดเหลือเกินแถวนั้น อีกอย่าง ค่ารักษาคงไม่เบาเลยล่ะ เราไม่อยากไปเลยจริงๆ แต่ทั้งเพื่อนและหมอเจ้าของไข้ที่ รพ.เดิมของเราแนะนำว่าที่นี่เป็น รพ.เด็ก มีหมอเฉพาะทางที่รักษาเด็กโดยตรง) เราก็เลยยอมไปและขอให้ทาง รพ.วิภารามประสานงานส่งตัวให้เพราะเราคิดว่าลูกเราจะไม่ไหวแล้ว นอน รพ.มา 9 คืนไม่มีวี่แววจะดีขึ้นกว่าเดิม

หลังจากได้ย้ายมารพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากคุณหมออนุพันธ์ ตัณห์ฑชุนห์ ท่านเป็นคุณหมอเฉพาะทางเรื่องทรวงอก ปอด ทางเดินหายใจเด็กเข้ามารับเป็นคนไข้ในทันที คุณหมอดิ่งตรงมาหาเราที่ ER ทันทีที่เรามาถึง จับ X-Ray ปอด และเจาะเลือดส่งตรวจหาเชื้อไวรัสในทันที เรารู้สึกดีมากเพราะวันนี้เราเจอหมอเฉพาะทางแล้วและจากการค้นหาข้อมูล คุณหมออนุพันธ์ท่านเป็นคุณหมอที่เก่งมาก เราเริ่มมีความหวังว่าท่านจะรักษาลูกเราให้หายได้ หลังจากเอาเลือดไปตรวจจึงพบว่าเป็น RSV ผล X-Ray ปอดเป็นฝ้าขาว โห..ปวดใจมาก เหมือนโดนซ้ำเติม เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ใช่ RSV มาตั้งแต่แรก ลูกหายใจเร็วมาก หอบเหนื่อยตลอดเวลา หน้าอกบุ๋ม ไอตลอดเวลา นอนไม่ได้เลย เราใช้เวลารักษาค่อนข้างนานที่นี่ นอนรพ.ไปทั้งหมด 13 คืน (ห้องธรรมดารวมห้องไอซียู) ขอบอกตรงๆเลยว่าทรมานเหลือเกินกับการเจ็บป่วยของลูก เราเสียน้ำตามองดูลูกเจ็บจากการทำหัตถการต่างๆ ลูกกินไม่ได้เลยมากกว่าสองอาทิตย์เต็มๆ ต้องรับสารอาหาร นม น้ำทางสายน้ำเกลือเท่านั้น เราเหนื่อย เราท้อใจ เรากังวล ทุกอย่างมันรุมมันสุมอยู่ในหัวตลอดเวลาจริงๆ เราวนๆเวียนๆอยู่ใน รพ. เป็นซากซังกะตาย หน้ายับ โทรมมาก มีความหวังเป็นวันต่อวัน เช้าต่อบ่าย (เวลาคุณหมอเข้ามาเยี่ยมไข้) ว่าเมื่อไหร่ลูกเราจะหายเสียที มันทรมานใจจริงๆ สุดท้ายความยากลำบากของ 13 คืนของการรักษาที่สมิติเวชก็ได้เสร็จสิ้นลงเพราะอาการของลูกดีขึ้นเรื่อยๆตามแผนการรักษาของคุณหมอและการดูแลลูกเราเป็นอย่างดีของพยาบาลทุกคน ทั้งอาบน้ำ สระผมให้ ร้องเพลงกล่อมลูกนอน กล่อมแม่ด้วย ฟังแม่ระบายความเครียดอีกต่างหาก เราจึงต้องขอขอบพระคุณคุณหมอและทีมพยาบาลด้วยใจจริงที่ทุ่มเทดูแลรักษาลูกน้อย ดวงใจของเราจนดีขึ้นและเกือบจะหายดีแล้ว

และก่อนจะออกจาก รพ. เรามีความกังวลใจมาอยู่ตลอดเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆว่าประกันจะจ่ายเงินให้ตามความคุ้มครอง 1 ล้านบาทที่เราซื้อไว้ไหม  และถ้าเขาไม่จ่าย เราจะมีเงินพอจ่ายไหม จะหาเงินมาจากไหน คิดเรื่องนี้มาตลอดควบคู่ไปกับความกังวลใจเรื่องความเจ็บป่วยของลูก เรากับสามีนั่งคุยกันว่าเรื่องนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด ลูกเป็นทั้งชีวิต เป็นดวงใจ เป็นทุกๆอย่าง เราไม่อยากให้ลูกเราป่วยซักนิดเลย ถ้าให้เลือกได้ เราขอป่วยแทนเลยยังได้ แต่ไม่ว่ายังไงเราจะต้องผ่านมันไปและเราต้องรักษาลูกให้หาย ต่อให้เราต้องจ่ายเงินรักษาลูกเอง เป็นหนี้เป็นสิน เพื่อแลกกับชีวิตลูกเราก็ต้องทำ นาทีนี้เราต้องเดินหน้าต่อไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราเข้าใจเลยว่าคำว่าขายบ้าน ขายนาเพื่อรักษาลูกมันเป็นอย่างไร

สรุปค่าใช้จ่ายที่ รพ.วิภารามเกือบ 120,000 บาท และที่สมิติเวช ศรีนครินทร์อีกประมารณ 460,000 บาท เมื่อได้รู้ค่ารักษาพยาบาลแล้วมันจุกอยู่ข้างใน จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ระหว่างรอประกันพิจารณา โรงพยาบาลได้กันวงเงินจากบัตรเครดิตที่เรามีอยู่ทั้งหมด 4 ใบออกไป ยังไม่รวมเงินสดที่เราต้องจ่ายเพิ่มอีกเพื่อให้ครบค่ารักษาพยาบาล ในใจก็คิดไปต่างๆนาๆ ว่าถ้าเราต้องจ่ายเอง เงินที่มีอยู่คงจะต้องหมดไปแน่ๆถ้าเราต้องเอาออกมาใช้ และสุดท้ายเมื่อกลับบ้านไปแล้ว ทาง รพ.โทรมาแจ้งว่าในส่วนค่ารักษาพยาบาลของลูกคุณ ไม่มีค่าส่วนเกินที่คนไข้ต้องจ่ายค่ะ โห...เรานี่น้ำตาจะไหลเลย ยืนอยู่แทบล้มเลย เหมือนยกภูเขาเอเวอเรสต์ออกจากอก

กระทู้นี้ เราจึงตั้งใจจะมาบอกเล่าประสบการณ์ที่ได้พบเจอมา มันเป็นทั้งความทุกข์ใจ ความอิ่มใจ ความรู้สึกขอบคุณทุกๆคน ทุกๆอย่างจากใจจริง
และเราอยากจะบอกว่าครอบครัวเราอยากให้ลูกของเรามีสุขภาพแข็งแรง อยากให้ลูกได้ใช้ชีวิตปรกติเหมือนเด็กคนอื่นๆทั่วไป เราไม่อยากนอนรพ.นานขนาดนี้ (สิริรวมนอนไป 2 รพ. 22 คืน) เรายังยืนยันว่าเราไม่อยากให้ลูกเราป่วยเลย เราอยากเอาลูกเราไปเล่นสนามหญ้า ไปวิ่ง ไปใช้ชีวิตให้สนุก มีความสุขเหมือนคนอื่นๆเค้าค่ะ

เราอยากจะขอขอบคุณอีกครั้งกับทีมแพทย์ ทีมพยาบาล ความตั้งใจในการให้บริการอย่างดีเยี่ยมของบุคลากรทุกคนในทั้ง 2 รพ. ขอบคุณจริงๆที่ใส่ใจดูแลลูกเราเป็นอย่างดี

เราขอขอบคุณบริษัท เอ็ทน่า ประกันสุขภาพ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่มีความจริงใจกับลูกค้าโดยได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ลูกเราทั้งหมดตามวงเงินที่เราได้ซื้อประกันไว้ ทีแรกเราไม่คิดว่าบริษัทฯจะจ่ายให้ได้ขนาดนี้จริงๆ ขนาดว่าเราต้องวางแผนกับสามีหาเงินมาจ่ายค่ารักษาลูกเรากันเลยทีเดียว เงินจำนวนมากขนาดนี้ มันมากจริงๆ ตัวเราเองและครอบครัวก่อนที่ลูกจะเข้า รพ. เดิมเราก็คิดกันไว้ว่าจะซื้อประกันกับบริษัทฯตลอดไปอยู่แล้ว เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้เรารู้สึกขอบคุณจากใจจริง ขอบคุณที่รักษาคำมั่นสัญญาที่มีให้ไว้กับเรา ซึ่งเราคิดกันไว้ว่าหากทางบริษัทฯไม่ได้ติดใจในเรื่องการเจ็บป่วยครั้งนี้ของลูกเราว่าเคลมเยอะเคลมมหาโหดเหลือเกิน ครอบครัวเราก็ตั้งใจว่าจะต่ออายุกับบริษัทฯกันทั้งครอบครัวไปตลอดชีพอยู่แล้ว

สำหรับครอบครัวเรา ให้เราจ่ายค่าประกันฟรีทั้งชีวิตเราก็ยอม อะไรก็ได้แค่ขอให้ลูกได้มีสุขภาพแข็งแรง เพราะเมื่อลูกมีสุขภาพแข็งแรง เราก็มีแรง มีกำลังใจเลี้ยงลูก มีกำลังหาเงินเพื่อมาดูแลพวกเขาให้ได้ใช้ชีวิตอย่างปรกติสุข การซื้อประกันสุขภาพเป็นเพียงการซื้อความเสี่ยงไว้เผื่อใช้เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดเท่านั้นแต่เมื่อเกิดเหตุแล้วก็รู้สึกอุ่นใจ มั่นใจ ขอขอบคุณบริษัท เอ็ทนา อีกครั้งจริงๆจากใจครอบครัวเราค่ะ

ขอให้เพื่อนๆทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิตนะคะ

อโรคยา ปรมา ลาภา (ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐจริงแท้แน่นอนค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่