ชีวิตนี้.....เพื่อเธอ

ก่อนอื่น กราบสวัสดี ชาวพันทิพครับ

วันนี้มาเล่าเรื่องของผมตามหัวข้อครับ เพื่อเป็นตัวอย่างและอาจจะขอความเห็นตอนท้าย นี่มาจากสิ่งที่คนแบบผม ตกผลึกแต่เพียงผู้เดียว (ด่าผมได้ แต่อย่าแรง ถ้าผมผิด) เริ่มจากตัวตนผมก่อน ผมเป็นลูกชายคนเดียว อายุผมปีนี้ วัยรุ่ยตอนปลาย 39 ปี หึๆๆ ทำงานหนักมาตั้งแต่ 24 ปัจจุบันก็ดำรงตำแหน่งบ. จำกัดครับ เงินเดือนก็จัดว่าสูง เอาว่าวงเงินบัตรเครดิตผมเกือบ 7 หลักล่ะกัน ที่ว่ามาถึงนี้ไม้ได้จะอวดอะไร จะบอกว่าความกดดันทางด้านการงานไม่ต้องพูดถึง เคยเครียดจน อาเจียนไหมครับ นั่นแหละ ทีนี้ครอบครัวคนรักผม ผมแต่งงานมาได้ 6 ปีครับ คบมาตั้งแต่ทำงานใหม่ๆ ก็ 15 ปีได้ รู้จักกับภรรยามา ตั้งแต่มหาลัย นั่นคือ ร่วม 20 ปี ผมแต่งงานกันเธอ เพราะว่าเธอคือคนที่ใช่ แต่เราไม่มีลูกครับ เพราะผมเป็นลูกคนเดียว ผมทราบดีว่าถ้าเรามีลูก แล้วเราตัดเค้าไม่ได้ ไม่ปล่อยเค้าไป หรือกระทั่งไปจู้จี๊จุ๊กจิกกับเค้า เราจะทุกข์ ลูกจะทุกข์ เราทั้งคู่จึงตัดสินใจไม่มีลูก เราสองคนต่างทำงานหนักทั้งคู่ครับ แทบไม่เวลาไปเที่ยว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นญี่ปุ่น 2 ปีที่แล้ว ถามว่าแล้วเอาเวลาไหนไปเที่ยว ไป relax ไปทำอะไรร่วมกัน ก็เสาร์อาทิตย์ ดูหนังบ้าง ก็ทานข้าวกับบ้านผมบ้าง แต่กับบ้านภรรยาผมไม่ค่อยได้ไป เหตุผลเหรอครับ ก็ผมว่าผมมีประเด็นเรื่องการเงินเล็กน้อยกับที่บ้านภรรยา ไม่ได้ใหญ่โตและผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแต่ผมไม่อยากไปแสดงสีหน้า "หมาไม่รับทาน" ให้ผู้ใหญ่เห็น เลยไม่ไปดีกว่า ประกอบกับที่บ้านภรรยาไม่ค่อยได้ทำให้ผมทราบด้วยว่ากินข้าวกันเมื่อไหร่ เออ ไม่ค่อยได้เขียนอะไรแบบนี้ กลายเป็นน่าเบื่อแฮะ แว๊บ...กลับมาเรื่องทานข้าวกับบ้านผม แม่ผมนี่จะขี้หงุดหงิดกับพ่อง่าย พ่อผมเพิ่งทราบว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก พาคินสัน และอัลไซเมอร์ครับ แกก็จะถามซ้ำๆ (ก่อนเป็นนี่ก็ย้ำคิดย้ำทำปกติ555) ทีนี้บรรยากาศการทานข้าวก็จะหม่นหมองตลอด แม่ผมก็ธรรมดา ไปเหวี่ยงวีนภรรยาบ้างตามประสาแม่ผัวลูกสะใภ้ เมื่อก่อนผมเที่ยวกลางคืนบ่อย ดื่มบ่อยนะ แถมลูกน้องก็มีแต่สาวๆ ผช มีน้อยมาก เลยมีข่าวให้ภรรยาหึงบ้าง แต่สุดท้ายความจริงใจของเราก็พิสูจน์ได้ครับ (ปล. หนุ่มๆเจ้าชู้อย่าไปหลอกเมียๆเลยฮะ เค้ามีเรดาห์ 555) ผมกับภรรยานี่ เดินทางไปทำงานบ่อย เวลาเค้าไม่อยู่นี่ผมถึงกะนอนไม่หลับเลยเชื่อไหม ฟังดูเลอะเทอะนะ แต่กลายเป็นเราอยู่คนเดียว มันเปลี่ยวนะน้อง ผมก็ติดบ้าน เลยไม่มีไรทำ นั่งดู youtube บ้างไรบ้าง แต่ก็นอนเกือบสว่าง เค้ากลับมาแหละ ผมถึงกลับมานอนได้ปกติ ถึงตรงนี้แล้ว เออ ปัญหาเอ็งคือไรวะ!! ใช่มะ

เดือนที่แล้ว เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ ภรรยาผมบอกว่า "เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม เค้าไม่เหลือความรักให้ผมแล้ว เหลือแค่ความผูกพันธ์"

พังไหมครับ
คนที่ผมคิดว่านี่คือคนที่ผมพร้อมจะฝังร่างไปด้วย บอกผมอย่างนี้ "ผมทำอะไรผิดเหรอ" ผมถาม "เปล่าเป็นที่ตัวเราเอง เรารู้สึกห่างกัน เราอึดอัดกับบรรยากาศที่บ้าน เราเคยเอายู (You, หมายถึงผม) สำคุญที่สุด เก็บความรู้สึกต่างๆของตัวเองไว้ นานวันเค้ามันหายไปหมด"
ถึงตอนนี้ ผมหน้าชา น้ำตาไหลพราก แบบไม่รู้ตัว หนึ่งในสองคนที่ผมรักเทิดทูนกำลังจะขอทิ้งผมไป
ผม..รับมันไม่ได้
เราจบการสนทนาเหตุผลต่างๆ ที่ทำให้เค้ารู้สึกแบบนั้น ตอนเช้าของอีกวัน โดยสรุปเหตุผมที่ทำให้ภรรยาผมรู้สึกแบบนั้น คือเรื่องเกี่ยวกับผมทั้งหมดครับ ผมทำงานหนัก ผมทำให้บรรยากาศของครอบครัวทั้ง 3 บ้าน (บ้านผม บ้านพ่อแม่ผม บ้านพ่อแม่เค้า) หายไป ผมไม่ได้ "ปฎิบัติหน้าที่" สามีได้บ่อยไปจนผมลืม ผมล้มเหลว ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนที่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ไม่คิดถึงหัวอกคนอื่น

ถึงตอนนี้ ผมยอมรับและผมพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ขอแค่เธอยู่กับผม ให้ผมได้ชดใช้ แก้ไขสิ่งที่ผมทำพลาด แต่ทุกคนทราบไหมครับ 1 เดือนที่ผ่านมา ผมแก้ไขและผมเป็นทุกข์มากขึ้น เพราะหนึ่งใน ข้อตกลงคือ ผมจะปล่อยให้ภรรยาเป็นตัวของเธอเอง และเธอก็ทำจริง เธอเลิกนอนจับมือ สีหน้าเปลี่ยนไป ดูแลตัวเธอเองด้วยตัวเองสูง แหวนแต่งงานกองไว้ ฝุ่นตลบ ผม...รับมันไม่ได้

ถึงวันนี้ผมกำลังพบจิตแพทย์ที่ รพ สองแห่ง ยานอนหลับเป็นดังวิตตามินของผม ไล่ไปตั้งแต่ Rivotril ยันตัวหนักอย่าง Domicum และอื่นๆ ยังเอาผมไม่ลง แต่เชื่อไหม ผมรู้สึกโดดเดี๋ยวอย่างไม่เคบเป็นมาก่อน ทั้งที่คนในชีวิตผมนับถึงตอนนี้หายไป "คนเดียว" จริงๆ เพื่อนกลุ่มต่างๆ ยังอยู่ครบ แต่ที่ผมต้องการ คือภรรยาผม "คนเดียว"
ผมสามารถพูดได้ว่า ถ้าผมเสียเธอไป ผมไม่สามาถ จะลงไปอยู่แบบนี้กับใครได้อีก ผมเหมือน "หมาแก่ ตากฝน ที่หลบอยู่ตาม ซอกตึก หรือใต้สำพาน เพื่อหลบฝน" ผมสูญเสียทุกๆความมั่นใจ ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ควรพูดกับเธอ อะไรที่ไม่ควร พระเจ้า นี่เหรอสิ่งที่ผมต้องคิด กับภรรยาผมเนี่ยนะ

บางคนบอกว่า ไปหาเพื่อน ไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่น (ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์เวลาผมเครียดครับ เวลาเราอยู่ในหมวกกันน๊อคมันคือห้องเล็กๆของผม ไม่ได้แว้น บ้าๆบอๆเหมือนเด็กพ่อแม่ซื้อรถบิ๊คไบค์ให้นะครับ) แต่สิ่งเหล่านั้น ผมไม่ได้ต้องการครับ จิตแพทย์ท่านเริ่มรักษาผม ผมก็ทราบได้ว่าท่านจะพาผมไปทางไหน นั่นก็คือ ผมต้องปล่อยเธอไป ถ้าเธอไม่อยากอยู่ ...

ติดอย่างเดียวครับ ถ้าวันนั้นมาถึง ผมคงจะรับไม่ได้ ทุกวันนี้ก็น้ำตาไหลคนเดียวได้ตลอดเวลาอยู่แล้วครับ
มันจึงเป็นที่มาของหัวข้อ ชีวิตนี้.....เพื่อเธอ หรืออีกนิยามก็คือ ถ้าไม่มีเธอ ผมก็ไม่รู้จะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ฟังดูดราม่า นะครับ แต่ใครไม่เจอไม่รู้ ผมยังไม่คิดเลยว่าผมจะเป็นเยี่ยงนี้

ผมทราบว่าบางท่านอ่านถึงนี่แล้ว ก็คงจะไม่เห็นด้วย และบอกว่า ชีวิตยังมีทางเดินให้เลือกมากมาย พ่อแม่ยังอยู่นะบ้างล่ะ มันโง่สิ้นดีที่คิดแบบนั้นบ้างล่ะ เชื่อเถอะครับ ผมก็ถามตัวเองมาหลายรอบ ว่าผมเนี่ยนะ จบปริญญามาทั้ง ตรี โท ไม่รู้อีกกี่ประเทศที่ไปเรียนโน่นนี่นั่น หัวสมัยใหม่ จะคิดแบบนี้
แต่ถ้าวันที่ "เธอที่คือหัวใจที่ยังเต้นอยู่ได้ อากาศที่ใช้หายใจ ความรักที่ให้เธอ ผมไม่เคยคลายลง แม้ผมจะไม่อยู่" มันหายไป เหตุผล การศีกษาอะไรต่างๆ มันไม่ได้ช่วย ผมไม่คิดว่าผมทำมันได้

วันนี้ผมเริ่มหาทางหลายทางที่ผมจะแก้ไข หรือ "จบมัน" ผมหาได้บ้างแล้วครับ ผมว่า ผมคงจากไปจากโลกมนุษย์ดีกว่าครับ แต่ที่ยังไม่ทำ เพราะผมยังมีความหวัง แม้จะเล็กน้อยจากล้านตอนนี้เหลือ 1  ผมก็ยังแอบหวัง ว่าผมจะได้ภรรยาผมกลับมา

สำหรับท่านที่อดทนอ่านมันจนจบ แลัวมีคนรักแบบผม รักษาไว้นะครับ อย่าปล่อยให้ปัญหามันระเบิด หรือ "ไม่พูด" จนเป็นแบบผม
ถ้าผมเลือกทางเดินนั้นจริงๆ อาจจะได้เห็นข้อความนี้ เป็นเรื่อง เหตุจูงใจ หรือ ไม่ก็ข้อคิด ดีๆสำหรับคนอื่นๆ สำหรับผม เวลามันหมุนไปได้ทางเดียว คือวันข้างหน้าครับ มันเอาวันเก่าๆ มาไม่ได้แล้ว ผม..เขียนมัน ทั้งน้ำตา ...

ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่