'หนังดาร์กเเฟนตาซี' มักใช้เค้าโครงที่เกี่ยวกับเวทมนตร์ จินตนาการหรือความฝันเหนือจริง และมักใช้วิธีการเล่าแบบนิทานหรือผ่านคำพูดจากบุคคลที่ 3 ส่วนความพิเศษจะอยู่ที่ตัวเนื้อหาที่มีความจริงจัง ความโหดร้ายที่ผิดไปจากโลกแฟนตาซีอันสวยงาม รวมถึงหลายๆเรื่องจะมีการเซ็ทองค์ประกอบงานภาพทึบๆ หม่นมัวสไตล์หนังโกธิค
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. The Piper (2015)
ผลงานดาร์กแฟนตาซีจากเกาหลีที่องค์ประกอบถูกปรุงแต่งในสไตล์ Guillermo Del Toro ซึ่งหนังดัดแปลงจากนิทานชายเป่าขลุ่ยที่แฝงด้วยเหตุการณ์น่าเศร้าราวกับเป็นโศกนาฏกรรม โดยปมเรื่องพูดถึงชายขาพิการที่ต้องเดินทางพาลูกซึ่งป่วยหนักไปรักษาในกรุงโซล แต่ระหว่างทั้งคู่ได้พบกับหมู่บ้านปริศนาที่กำลังถูกรุกรานจากหนูจำนวนมาก ก่อนโฟกัสไปยังชายเป่าขลุ่ยที่อาสาไล่พวกหนูเหล่านั้นเพื่อแลกกับเงินในการรักษาลูกชาย และจุดไคลแม็กซ์หลังจากนี้จะเต็มไปด้วยเหตุการณ์อันน่าสลดและสยดสยอง ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยปมความแค้นอันเนื่องจากการหลอกลวงและการพลัดพรากสิ่งสำคัญของชีวิต
9. It (2017)
ดัดแปลงจากนิยายฮอเรอร์-แฟนตาซีชั้นเยี่ยมของ Stephen King ที่แก่นสารพูดถึงการคัมมิ่งออฟเอจของกลุ่มเด็ก 7 คนในช่วงรอยต่อของการเติบโต ซึ่งหนังจะพาไปสำรวจปมชีวิตหรือความกลัวของเด็กแต่ละคนที่ซุกซ่อนภายในจิตใจ ก่อนใช้สิ่งๆนั้นที่เปรียบเสมือนกับจุดอ่อนของเหล่าเด็กๆเป็นเครื่องจู่โจมจากปีศาจร้ายที่รูปลักษณ์คล้ายคลึงตัวตลก ที่จะปรากฏตัวให้เห็นในหลายรูปแบบแต่จะมีกลไกสร้างบรรยากาศสยองขวัญคล้ายๆกัน โดยเริ่มจากเล่นแสงและเงาเพื่อสร้างความวิตกหรือความรู้สึกไม่ปลอดภัย ก่อนจะปิดฉากด้วยเทคนิคจั้มสแกร์ ซึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยเหล่าเด็กๆปลดเปลื้องพันธนาการจากปีศาจร้าย คือพวกเขาต้องกล้าเผชิญหน้าและเรียนรู้กับปัญหาเพื่อขจัดความเปราะบางในจิตใจให้หมดสิ้น
8. Edward Scissorhands (1990)
ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยบาดแผลกับมือทั้งสองที่มีกรรไกรอันแหลมคม เป็นรูปลักษณ์ภายนอกอันน่ากลัวที่ต่างไปจากจิตใจใสซื่อของหุ่นมนุษย์ซึ่งเป็นหนึ่งในบทบาทการแสดงยอดเยี่ยมที่สุดของ Johnny Depp โดยหนังเปิดด้วยหญิงชราที่กำลังเล่าที่มาของการเกิดหิมะให้หลานฟัง และย้อนไปยังเหตุการณ์ที่ 'เอ็ดเวิร์ด' มนุษย์มือกรรไกรที่อาศัยอยู่ในปราสาทอย่างเดียวดายและได้ย้ายไปอยู่กับครอบครัวหนึ่งในเมือง ซึ่งจุดที่หนังโฟกัสจะเป็นการเรียนรู้และการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นของตัวละคร ทั้งยังสำรวจมุมมองของคนรอบตัวต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเอ็ดเวิร์ด ก่อนนำไปสู่บทสรุปอันน่าขมขื่นที่ซ่อนไว้ด้วยความงดงาม
7. Crimson Peak (2015)
ความรักดั่งเทพนิยายซึ่งถูกนำเสนอสไตล์ฮอนเท็ด เฮ้าส์ที่นิยมกันในช่วงยุคศตวรรษที่ 20 ที่ใช้โลเคชั่นเป็นคฤหาสน์หลังโตและมีเบื้องหลังเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่เชื่อมโยงไปถึงสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ โดยหนังโฟกัสไปที่ตัวเอกสาวซึ่งเป็นบุตรของมหาเศรษฐีที่ได้แต่งงานกับหนุ่มผู้ดีตกยาก ก่อนเธอจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ในศฤหาสน์เก่าแก่ของสามี ที่ดูเหมือนจะมีความชั่วร้ายและความอาฆาตจากบางสิ่งซุกซ่อนอยู่ ทางผู้กำกับ Guillermo del Toro ยังคงยึดองค์ประกอบสยองขวัญที่เป็นสไตล์ของตัวเองโดยเฉพาะรูปลักษณ์ของวิญญาณร้ายที่เน้นความแฟนตาซี ซึ่งเข้าได้ดีกับบรรยากาศสไตล์หนังโกธิคฮอเรอร์ที่ช่วยขับความหลอนชวนขนหัวลุกและความใคร่รู้ถึงปมปริศนาภายในคฤหาสน์หลังนี้
6. The Company of Wolves (1984)
ผลงานต่อยอดจากเรื่องสั้นของ Angela Carter นักเขียนที่โดดเด่นในการถ่ายทอดตำนานพื้นบ้านแนวฮอเรอร์-แฟนตาซีผ่านมุมมองของสตรีเพศ โดยหนังเปิดเรื่องด้วยการพาคนดูเข้าสู่โลกแห่งความฝันของวัยรุ่นสาว กับเนื้อหาที่เต็มไปด้วยการอุปมาอุปไมยของวัยแห่งการเติบโตทางความคิด ร่างกาย และแรงขับทางเพศ โดยใช้มนุษย์หมาป่าที่มาในภาพลักษณ์ของชายโฉมงามซึ่งจะปรากฏตัวตนที่แท้จริงก็ต่อเมื่อถูกด้านมืดครอบงำ เป็นเครื่องสร้างความตระหนักว่าโลกนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์ มันเต็มไปด้วยความรุนแรง การโป้ปด และยังตอกย้ำได้ดีว่ามนุษย์ทุกคนต่างมีสัตว์ร้ายซุกซ่อนไว้ในตัว
5. Sleepy Hollow (1999)
ผู้กำกับ Tim Burton เป็นอีกคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อในการทำหนังแฟนตาซีโทนมืดมนที่สามารถปรับตัวได้เข้ากับหนังแทบทุกประเภททั้งนิทานสุภาพบุรุษมือกรรไกรอย่าง Edward Scissorhands หรือจะเป็นแอนิเมชั่นโรแมนติกสุดดาร์กอย่าง Corpse Bride อีกทั้งยังผสมผสานเข้ากับหนังแนวซัสเพ้นส์อย่าง Sleepy Hollow ที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ Washington Irving โดยใช้ปมความแค้นผูกเข้ากับศาสตร์มนต์ดำเพื่อสร้างเรื่องราวสยองขวัญเหนือธรรมชาติที่เนื้อหามีความพยายามอ้างอิงหลักของเหตุและผลได้อย่างลงตัว โดยโฟกัสไปยังตำรวจมือปราบอาชญากรรมที่ได้รับมอบหมายให้มาสืบคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ที่ผู้คนในเมืองต่างเชื่อกันว่าเป็นฝีมือของผีหัวขาด
4. The Shape of Water (2017)
ผู้ชนะรางวัลเบสท์พิกเจอร์จากเวทีออสการ์ครั้งที่ 90 กับเทพนิยายแห่งความรักและการสูญเสียระหว่างสองสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ โดยเป็นเรื่องราวในต้นยุค 60 ช่วงสงครามเย็นระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐ ภายใต้บรรยากาศที่ตึงเครียด เต็มไปด้วยความขัดแย้งของการแย่งชิงอำนาจได้เกิดเป็นความสัมพันธ์รักอันบริสุทธิ์ระหว่างหญิงใบ้กับสัตว์ในห้องทดลองของสหรัฐ ที่ก่อตัวจากความเงียบเหงา อ้างว้าง และการยอมรับในข้อบกพร่องซึ่งกันและกัน โดยหนังจะโฟกัสไปยังความพยายามในการอยู่ร่วมกันของทั้งสอง ที่ต้องหลบหนี ซุกซ่อนจากกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยที่เกลียดชังและหมายมั่นจะเอาชีวิตสัตว์ทดลองดังกล่าวให้จงได้
3. The City of Lost Children (1995)
ผลงานชั้นเยี่ยมจากฝั่งยุโรปที่หลายคนมองข้าม กับหนังดาร์กแฟนตาซีภายใต้โลกอันมืนมนที่ไร้ซึ่งกลางวัน สภาพสังคมสไตล์หนังฟิล์มนัวร์ที่ดูสกปรกเต็มไปด้วยอาชญากรรม ที่เหล่าเด็กๆต้องดิ้นรน ลักเล็กขโมยน้อยเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ และที่สำคัญโลกดิสโทเปียของหนังถูกควบคุมโดย 'ครองค์' นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ชอบลักพาตัวเหล่าเด็กๆเพื่อขโมยความฝัน โดยจุดโฟกัสจะอยู่ที่ 'วัน' ชายร่างยักษ์ที่กำลังสืบหาน้องชายซึ่งถูกกลุ่ม 'ไซคลอปส์' ที่เป็นสมุนของครองค์ลักพาตัวไป ขณะเดียวกันชายร่างยักษ์ก็ได้รับความช่วยเหลือจากสาวน้อยคนหนึ่ง ที่ต่อมากลายเป็นความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ภายใต้โลกที่ดูขัดแย้งและเสมือนเป็นฝันร้ายของเด็กๆทุกคน
2. A Monster Calls (2016)
หนังดาร์กแฟนตาซีที่ขับเคลื่อนโดยใช้ปัญหาชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่กลายเป็นคนนอกสายตาในกลุ่มเพื่อนร่วมห้อง และมักถูกทำร้ายโดยเหล่าเด็กอันธพาล และยังชอบมีปากเสียงกับยายที่ทัศนคติต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เหนืออื่นใดการเจ็บป่วยของแม่ด้วยโรคร้ายเป็นสิ่งที่สร้างความหวั่นวิตกต่อจิตใจได้มากที่สุด โดยแก่นของเป็นหนังจะเป็นการคัมมิ่งออฟเอจของตัวละครที่กลัวการสูญเสียและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต จนสร้างภาพในจิตใต้สำนึกเป็นปีศาจไม้ร่างยักษ์ที่สะท้อนสัจธรรมของชีวิตผ่านการเล่านิทาน 3 เรื่อง ที่จะทำให้ตัวเอกได้เรียนรู้และเยียวยาบาดแผลจนเกิดความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเป็นความจริง
1. Pan's Labyrinth (2006)
ทุกคนต่างตระหนักถึงความสามารถของ Guillermo del Toro ในการทำหนังแฟนตาซีที่มีโทนมืดมนทั้งจากองค์ประกอบงานภาพ การดีไซน์รูปลักษณ์ที่ผิดแปลกและดูน่ากลัวของตัวละคร รวมไปถึงด้านเนื้อหาที่มีความหนักแน่น ซับซ้อนของแก่นสารจนกลายเป็นหนังที่ไม่เหมาะกับกลุ่มผู้ชมวัยเด็ก และหนังเรื่องนี้ก็นับเป็นผลงานมาสเตอร์พีชของผู้กำกับชาวเม็กซิกันรายนี้ กับรูปโฉมนิทานปรัมปราที่เด็กสาวต้องทำภารกิจบางอย่างเพื่อทดสอบตัวเองในฐานะเจ้าหญิงโมอานน่า ก่อนคืนพระจันทร์เต็มดวง ขณะเดียวกันหนังก็เซ็ทฉากหลังที่ดูขัดแย้งกับโลกแฟนตาซีของเด็กอย่างสิ้นเชิง กับยุคสงครามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยการทรมาน การฆ่าฟันกันของมนุษย์โดยผู้กุมอำนาจระบบระบอบเผด็จการ ที่นำไปสู่การตั้งคำถามทางศีลธรรมและจริยธรรม
.
.
.
.
.
.
.

ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังทั่วไปเเละซีรีส์(โดยเฉพาะฝั่งเกาหลี)
ขออนุญาตฝากเพจนะครับ
https://www.facebook.com/Criticalme
เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @review_me__
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือนิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวน
10 หนังดาร์กแฟนตาซี (Dark Fantasy) ยอดเยี่ยมตลอดกาล
'หนังดาร์กเเฟนตาซี' มักใช้เค้าโครงที่เกี่ยวกับเวทมนตร์ จินตนาการหรือความฝันเหนือจริง และมักใช้วิธีการเล่าแบบนิทานหรือผ่านคำพูดจากบุคคลที่ 3 ส่วนความพิเศษจะอยู่ที่ตัวเนื้อหาที่มีความจริงจัง ความโหดร้ายที่ผิดไปจากโลกแฟนตาซีอันสวยงาม รวมถึงหลายๆเรื่องจะมีการเซ็ทองค์ประกอบงานภาพทึบๆ หม่นมัวสไตล์หนังโกธิค
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. The Piper (2015)
ผลงานดาร์กแฟนตาซีจากเกาหลีที่องค์ประกอบถูกปรุงแต่งในสไตล์ Guillermo Del Toro ซึ่งหนังดัดแปลงจากนิทานชายเป่าขลุ่ยที่แฝงด้วยเหตุการณ์น่าเศร้าราวกับเป็นโศกนาฏกรรม โดยปมเรื่องพูดถึงชายขาพิการที่ต้องเดินทางพาลูกซึ่งป่วยหนักไปรักษาในกรุงโซล แต่ระหว่างทั้งคู่ได้พบกับหมู่บ้านปริศนาที่กำลังถูกรุกรานจากหนูจำนวนมาก ก่อนโฟกัสไปยังชายเป่าขลุ่ยที่อาสาไล่พวกหนูเหล่านั้นเพื่อแลกกับเงินในการรักษาลูกชาย และจุดไคลแม็กซ์หลังจากนี้จะเต็มไปด้วยเหตุการณ์อันน่าสลดและสยดสยอง ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยปมความแค้นอันเนื่องจากการหลอกลวงและการพลัดพรากสิ่งสำคัญของชีวิต
9. It (2017)
ดัดแปลงจากนิยายฮอเรอร์-แฟนตาซีชั้นเยี่ยมของ Stephen King ที่แก่นสารพูดถึงการคัมมิ่งออฟเอจของกลุ่มเด็ก 7 คนในช่วงรอยต่อของการเติบโต ซึ่งหนังจะพาไปสำรวจปมชีวิตหรือความกลัวของเด็กแต่ละคนที่ซุกซ่อนภายในจิตใจ ก่อนใช้สิ่งๆนั้นที่เปรียบเสมือนกับจุดอ่อนของเหล่าเด็กๆเป็นเครื่องจู่โจมจากปีศาจร้ายที่รูปลักษณ์คล้ายคลึงตัวตลก ที่จะปรากฏตัวให้เห็นในหลายรูปแบบแต่จะมีกลไกสร้างบรรยากาศสยองขวัญคล้ายๆกัน โดยเริ่มจากเล่นแสงและเงาเพื่อสร้างความวิตกหรือความรู้สึกไม่ปลอดภัย ก่อนจะปิดฉากด้วยเทคนิคจั้มสแกร์ ซึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยเหล่าเด็กๆปลดเปลื้องพันธนาการจากปีศาจร้าย คือพวกเขาต้องกล้าเผชิญหน้าและเรียนรู้กับปัญหาเพื่อขจัดความเปราะบางในจิตใจให้หมดสิ้น
8. Edward Scissorhands (1990)
ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยบาดแผลกับมือทั้งสองที่มีกรรไกรอันแหลมคม เป็นรูปลักษณ์ภายนอกอันน่ากลัวที่ต่างไปจากจิตใจใสซื่อของหุ่นมนุษย์ซึ่งเป็นหนึ่งในบทบาทการแสดงยอดเยี่ยมที่สุดของ Johnny Depp โดยหนังเปิดด้วยหญิงชราที่กำลังเล่าที่มาของการเกิดหิมะให้หลานฟัง และย้อนไปยังเหตุการณ์ที่ 'เอ็ดเวิร์ด' มนุษย์มือกรรไกรที่อาศัยอยู่ในปราสาทอย่างเดียวดายและได้ย้ายไปอยู่กับครอบครัวหนึ่งในเมือง ซึ่งจุดที่หนังโฟกัสจะเป็นการเรียนรู้และการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นของตัวละคร ทั้งยังสำรวจมุมมองของคนรอบตัวต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเอ็ดเวิร์ด ก่อนนำไปสู่บทสรุปอันน่าขมขื่นที่ซ่อนไว้ด้วยความงดงาม
7. Crimson Peak (2015)
ความรักดั่งเทพนิยายซึ่งถูกนำเสนอสไตล์ฮอนเท็ด เฮ้าส์ที่นิยมกันในช่วงยุคศตวรรษที่ 20 ที่ใช้โลเคชั่นเป็นคฤหาสน์หลังโตและมีเบื้องหลังเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่เชื่อมโยงไปถึงสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ โดยหนังโฟกัสไปที่ตัวเอกสาวซึ่งเป็นบุตรของมหาเศรษฐีที่ได้แต่งงานกับหนุ่มผู้ดีตกยาก ก่อนเธอจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ในศฤหาสน์เก่าแก่ของสามี ที่ดูเหมือนจะมีความชั่วร้ายและความอาฆาตจากบางสิ่งซุกซ่อนอยู่ ทางผู้กำกับ Guillermo del Toro ยังคงยึดองค์ประกอบสยองขวัญที่เป็นสไตล์ของตัวเองโดยเฉพาะรูปลักษณ์ของวิญญาณร้ายที่เน้นความแฟนตาซี ซึ่งเข้าได้ดีกับบรรยากาศสไตล์หนังโกธิคฮอเรอร์ที่ช่วยขับความหลอนชวนขนหัวลุกและความใคร่รู้ถึงปมปริศนาภายในคฤหาสน์หลังนี้
6. The Company of Wolves (1984)
ผลงานต่อยอดจากเรื่องสั้นของ Angela Carter นักเขียนที่โดดเด่นในการถ่ายทอดตำนานพื้นบ้านแนวฮอเรอร์-แฟนตาซีผ่านมุมมองของสตรีเพศ โดยหนังเปิดเรื่องด้วยการพาคนดูเข้าสู่โลกแห่งความฝันของวัยรุ่นสาว กับเนื้อหาที่เต็มไปด้วยการอุปมาอุปไมยของวัยแห่งการเติบโตทางความคิด ร่างกาย และแรงขับทางเพศ โดยใช้มนุษย์หมาป่าที่มาในภาพลักษณ์ของชายโฉมงามซึ่งจะปรากฏตัวตนที่แท้จริงก็ต่อเมื่อถูกด้านมืดครอบงำ เป็นเครื่องสร้างความตระหนักว่าโลกนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์ มันเต็มไปด้วยความรุนแรง การโป้ปด และยังตอกย้ำได้ดีว่ามนุษย์ทุกคนต่างมีสัตว์ร้ายซุกซ่อนไว้ในตัว
5. Sleepy Hollow (1999)
ผู้กำกับ Tim Burton เป็นอีกคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อในการทำหนังแฟนตาซีโทนมืดมนที่สามารถปรับตัวได้เข้ากับหนังแทบทุกประเภททั้งนิทานสุภาพบุรุษมือกรรไกรอย่าง Edward Scissorhands หรือจะเป็นแอนิเมชั่นโรแมนติกสุดดาร์กอย่าง Corpse Bride อีกทั้งยังผสมผสานเข้ากับหนังแนวซัสเพ้นส์อย่าง Sleepy Hollow ที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ Washington Irving โดยใช้ปมความแค้นผูกเข้ากับศาสตร์มนต์ดำเพื่อสร้างเรื่องราวสยองขวัญเหนือธรรมชาติที่เนื้อหามีความพยายามอ้างอิงหลักของเหตุและผลได้อย่างลงตัว โดยโฟกัสไปยังตำรวจมือปราบอาชญากรรมที่ได้รับมอบหมายให้มาสืบคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ที่ผู้คนในเมืองต่างเชื่อกันว่าเป็นฝีมือของผีหัวขาด
4. The Shape of Water (2017)
ผู้ชนะรางวัลเบสท์พิกเจอร์จากเวทีออสการ์ครั้งที่ 90 กับเทพนิยายแห่งความรักและการสูญเสียระหว่างสองสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ โดยเป็นเรื่องราวในต้นยุค 60 ช่วงสงครามเย็นระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐ ภายใต้บรรยากาศที่ตึงเครียด เต็มไปด้วยความขัดแย้งของการแย่งชิงอำนาจได้เกิดเป็นความสัมพันธ์รักอันบริสุทธิ์ระหว่างหญิงใบ้กับสัตว์ในห้องทดลองของสหรัฐ ที่ก่อตัวจากความเงียบเหงา อ้างว้าง และการยอมรับในข้อบกพร่องซึ่งกันและกัน โดยหนังจะโฟกัสไปยังความพยายามในการอยู่ร่วมกันของทั้งสอง ที่ต้องหลบหนี ซุกซ่อนจากกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยที่เกลียดชังและหมายมั่นจะเอาชีวิตสัตว์ทดลองดังกล่าวให้จงได้
3. The City of Lost Children (1995)
ผลงานชั้นเยี่ยมจากฝั่งยุโรปที่หลายคนมองข้าม กับหนังดาร์กแฟนตาซีภายใต้โลกอันมืนมนที่ไร้ซึ่งกลางวัน สภาพสังคมสไตล์หนังฟิล์มนัวร์ที่ดูสกปรกเต็มไปด้วยอาชญากรรม ที่เหล่าเด็กๆต้องดิ้นรน ลักเล็กขโมยน้อยเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ และที่สำคัญโลกดิสโทเปียของหนังถูกควบคุมโดย 'ครองค์' นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ชอบลักพาตัวเหล่าเด็กๆเพื่อขโมยความฝัน โดยจุดโฟกัสจะอยู่ที่ 'วัน' ชายร่างยักษ์ที่กำลังสืบหาน้องชายซึ่งถูกกลุ่ม 'ไซคลอปส์' ที่เป็นสมุนของครองค์ลักพาตัวไป ขณะเดียวกันชายร่างยักษ์ก็ได้รับความช่วยเหลือจากสาวน้อยคนหนึ่ง ที่ต่อมากลายเป็นความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ภายใต้โลกที่ดูขัดแย้งและเสมือนเป็นฝันร้ายของเด็กๆทุกคน
2. A Monster Calls (2016)
หนังดาร์กแฟนตาซีที่ขับเคลื่อนโดยใช้ปัญหาชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่กลายเป็นคนนอกสายตาในกลุ่มเพื่อนร่วมห้อง และมักถูกทำร้ายโดยเหล่าเด็กอันธพาล และยังชอบมีปากเสียงกับยายที่ทัศนคติต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เหนืออื่นใดการเจ็บป่วยของแม่ด้วยโรคร้ายเป็นสิ่งที่สร้างความหวั่นวิตกต่อจิตใจได้มากที่สุด โดยแก่นของเป็นหนังจะเป็นการคัมมิ่งออฟเอจของตัวละครที่กลัวการสูญเสียและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต จนสร้างภาพในจิตใต้สำนึกเป็นปีศาจไม้ร่างยักษ์ที่สะท้อนสัจธรรมของชีวิตผ่านการเล่านิทาน 3 เรื่อง ที่จะทำให้ตัวเอกได้เรียนรู้และเยียวยาบาดแผลจนเกิดความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเป็นความจริง
1. Pan's Labyrinth (2006)
ทุกคนต่างตระหนักถึงความสามารถของ Guillermo del Toro ในการทำหนังแฟนตาซีที่มีโทนมืดมนทั้งจากองค์ประกอบงานภาพ การดีไซน์รูปลักษณ์ที่ผิดแปลกและดูน่ากลัวของตัวละคร รวมไปถึงด้านเนื้อหาที่มีความหนักแน่น ซับซ้อนของแก่นสารจนกลายเป็นหนังที่ไม่เหมาะกับกลุ่มผู้ชมวัยเด็ก และหนังเรื่องนี้ก็นับเป็นผลงานมาสเตอร์พีชของผู้กำกับชาวเม็กซิกันรายนี้ กับรูปโฉมนิทานปรัมปราที่เด็กสาวต้องทำภารกิจบางอย่างเพื่อทดสอบตัวเองในฐานะเจ้าหญิงโมอานน่า ก่อนคืนพระจันทร์เต็มดวง ขณะเดียวกันหนังก็เซ็ทฉากหลังที่ดูขัดแย้งกับโลกแฟนตาซีของเด็กอย่างสิ้นเชิง กับยุคสงครามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยการทรมาน การฆ่าฟันกันของมนุษย์โดยผู้กุมอำนาจระบบระบอบเผด็จการ ที่นำไปสู่การตั้งคำถามทางศีลธรรมและจริยธรรม
.
.
.
.
.
.
.
ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังทั่วไปเเละซีรีส์(โดยเฉพาะฝั่งเกาหลี)
ขออนุญาตฝากเพจนะครับ
https://www.facebook.com/Criticalme
เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @review_me__
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือนิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวน