คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ขอเห็นต่างนะครับ !!!!
ผมว่าสอน "วิธีการใช้เงิน" ในหลักสูตรการศึกษาดีกว่าครับ
เช่น
-การทำบัญชีรายรับรายจ่าย
-การเก็บออมเพื่อซื้อสิ่งของ (ไม่เอาเงินอนาคตมาใช้ตามใจอยาก)
-การใช้เงินทำงาน ต่อเงิน ลงทุน หรือ ทำอาชีพเสริม
-การลงทุนในกองทุน หรือหุ้น หรือหุ้นเพื่อน
-การทำประกัน อุบัติเหตุ ประกันรถ ประกันชีวิต (เท่าที่จำเป็น และไม่โดนหลอก)
-การลดหย่อนภาษี
-การเก็บออม ยามฉุกเฉิน เจ็บไข้ได้ป่วย อุบัติเหตุ
-การวางแผนในอนาคต แต่งงาน มีลูก
-การวางแผนการเงินหลังเกษียณ
-การคำนวณดอกเบี้ยรูปแบบต่างๆ เช่นอัตรา fix rate , ลอยตัว หรือการผ่อนรถแบบ บินลอยไปเลย (balloooooonnnn)
ทุกคนต้องเจอสิ่งเหล่านี้ แต่ทำไมระบบการศึกษาไทย ไม่เห็นสอนเลยนิ (หรือมีแล้ว)
ส่วนคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว (เช่นผม) จะสื่อสารยังไงให้คนเหล่านี้มีความรู้ด้านการเงิน เช่นสื่อ Social , TV media , แผ่นพับแนบไปกับใบสมัครบัตรเครดิตทุกสถาบัน บลาๆๆ อะไรก็ว่าไป
จะทำเป็นแบบประเมินความรู้ทางการเงิน ก็ได้ ใครผ่านถึงจะทำบัตรเครดิตใบที่ 8-9 ได้ (คล้ายๆกับประเมินความเสี่ยงในการลงทุน)
ลองดูตัวอย่างคนในพันทิปและในกลุ่ม line Dr Review หลายคน มีบัตรเครดิตพอจะซื้อรถยุโรปได้สบายๆ ยังควานหา "กาแฟฟรี" จากโปรบัตรเครดิตเลย (เอาฮานะ)
มันต่างกันตรงไหน
-ระหว่างคนที่มีบัตรเครดิตวงเงินเป็นล้าน แต่กินกาแฟชงเองที่บ้าน ไม่ยอมกิน Starbucks กับคนที่บัตรเครดิตวงเงิน สองสามหมื่น แต่พักเที่ยงกิน Starbucks ทุกวัน
-หรือคนมีบัตรเครดิตวงเงินสองหมื่น มาตั้งกระทู้ว่าทำยังไงให้ผ่อน iphone XXXL ราคา 7 หมื่นได้
แต่คนมีบัตรเครดิตวงเงินเป็นล้าน ยังใช้ iphone 6 อยู่เลย
(ผมพูดเพื่อสมมุติแบบทั่วๆไปนะ มาจากคนที่ผมรู้จักจริงๆ ไม่ได้หมายถึงคนแบบนี้ทุกคน)
ผมไม่อยากให้มองว่าเครื่องอำนวยความสะดวกทางการเงิน (เช่นบัตรเครดิต) มาเป็น "ตัวร้าย" เลยครับ
เหมือนเกมส์คอมอ่ะครับ
อย่าโทษเกมส์ แต่จงโทษคนเล่นเกมส์ดีกว่ามั้ย
ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ไม่ฉลาดเลย
ที่วางมาตรการณ์ป้องกันต่างๆนา ทั้งๆที่รู้ว่าคนมีรายได้น้อย ยิ่งอยากกู้เยอะ แต่ดันไปบีบบังคับหลายๆอย่าง สุดท้ายก็ไปกู้นอกระบบ ดอกเบี้ย 3-10% รายวัน รายเดือน
แย่กว่าเดิมอีก
----- พอละ ระบายอารมณ์พอละผม----
ผมว่าสอน "วิธีการใช้เงิน" ในหลักสูตรการศึกษาดีกว่าครับ
เช่น
-การทำบัญชีรายรับรายจ่าย
-การเก็บออมเพื่อซื้อสิ่งของ (ไม่เอาเงินอนาคตมาใช้ตามใจอยาก)
-การใช้เงินทำงาน ต่อเงิน ลงทุน หรือ ทำอาชีพเสริม
-การลงทุนในกองทุน หรือหุ้น หรือหุ้นเพื่อน
-การทำประกัน อุบัติเหตุ ประกันรถ ประกันชีวิต (เท่าที่จำเป็น และไม่โดนหลอก)
-การลดหย่อนภาษี
-การเก็บออม ยามฉุกเฉิน เจ็บไข้ได้ป่วย อุบัติเหตุ
-การวางแผนในอนาคต แต่งงาน มีลูก
-การวางแผนการเงินหลังเกษียณ
-การคำนวณดอกเบี้ยรูปแบบต่างๆ เช่นอัตรา fix rate , ลอยตัว หรือการผ่อนรถแบบ บินลอยไปเลย (balloooooonnnn)
ทุกคนต้องเจอสิ่งเหล่านี้ แต่ทำไมระบบการศึกษาไทย ไม่เห็นสอนเลยนิ (หรือมีแล้ว)
ส่วนคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว (เช่นผม) จะสื่อสารยังไงให้คนเหล่านี้มีความรู้ด้านการเงิน เช่นสื่อ Social , TV media , แผ่นพับแนบไปกับใบสมัครบัตรเครดิตทุกสถาบัน บลาๆๆ อะไรก็ว่าไป
จะทำเป็นแบบประเมินความรู้ทางการเงิน ก็ได้ ใครผ่านถึงจะทำบัตรเครดิตใบที่ 8-9 ได้ (คล้ายๆกับประเมินความเสี่ยงในการลงทุน)
ลองดูตัวอย่างคนในพันทิปและในกลุ่ม line Dr Review หลายคน มีบัตรเครดิตพอจะซื้อรถยุโรปได้สบายๆ ยังควานหา "กาแฟฟรี" จากโปรบัตรเครดิตเลย (เอาฮานะ)
มันต่างกันตรงไหน
-ระหว่างคนที่มีบัตรเครดิตวงเงินเป็นล้าน แต่กินกาแฟชงเองที่บ้าน ไม่ยอมกิน Starbucks กับคนที่บัตรเครดิตวงเงิน สองสามหมื่น แต่พักเที่ยงกิน Starbucks ทุกวัน
-หรือคนมีบัตรเครดิตวงเงินสองหมื่น มาตั้งกระทู้ว่าทำยังไงให้ผ่อน iphone XXXL ราคา 7 หมื่นได้
แต่คนมีบัตรเครดิตวงเงินเป็นล้าน ยังใช้ iphone 6 อยู่เลย
(ผมพูดเพื่อสมมุติแบบทั่วๆไปนะ มาจากคนที่ผมรู้จักจริงๆ ไม่ได้หมายถึงคนแบบนี้ทุกคน)
ผมไม่อยากให้มองว่าเครื่องอำนวยความสะดวกทางการเงิน (เช่นบัตรเครดิต) มาเป็น "ตัวร้าย" เลยครับ
เหมือนเกมส์คอมอ่ะครับ
อย่าโทษเกมส์ แต่จงโทษคนเล่นเกมส์ดีกว่ามั้ย
ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ไม่ฉลาดเลย
ที่วางมาตรการณ์ป้องกันต่างๆนา ทั้งๆที่รู้ว่าคนมีรายได้น้อย ยิ่งอยากกู้เยอะ แต่ดันไปบีบบังคับหลายๆอย่าง สุดท้ายก็ไปกู้นอกระบบ ดอกเบี้ย 3-10% รายวัน รายเดือน
แย่กว่าเดิมอีก
----- พอละ ระบายอารมณ์พอละผม----
แสดงความคิดเห็น
ธนาคารแห่งประเทศไทยควรออกมาตราการควบคุมธนาคารพาณิชย์ต่างๆในการออกบัตรเครดิตต่างให้มากว่านี้
ฝากไว้พิจาราณาด้วยครับ